หนึ่ง
บุปผาน้อยผลิบานในชิวเทียน
ม่อลี่ได้ยินดังนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้น จับจ้องชินอ้ายตาเขม็ง “พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามีแผนการ?”
ดรุณีน้อยยกมุมปากเผยลักยิ้มอันแสนมีเสน่ห์ “เหตุใดข้าจึงต้องคิดแผนการด้วยเล่า ในเมื่อพี่สาว...”
ผู้ฟังกลอกตาขึ้นมองเพดาน “พอๆ ๆ เจ้ากำลังจะพล่ามเรื่องนี้ให้ข้าฟังอีกแล้ว ข้าฟังมาเก้าปีจนแทบจะละเมอออกมาเป็นคำว่า ‘พี่สาว’ อยู่รอมร่อ ขืนฟังเจ้าพูดอีกมีหวังข้าได้เห็นภาพหลอนกันพอดี”
“เจ้ากล้าว่านางเป็นภาพหลอนได้อย่างไรกัน พี่สาวของข้าน่ะเป็นเทพธิดานะ มิใช่ภูตผี เจ้าไม่เคยเห็นนางมาก่อนด้วยซ้ำ”
เด็กสาววัยเดียวกันอ้าปากเตรียมจะเถียง แต่มิทันไรก็ต้องปิดปากเงียบด้วยสีหน้าขัดใจเป็นอย่างยิ่ง
ใครบอกว่านางไม่เคยพบพี่สาวของชินอ้ายมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่สามารถพูดออกไปได้ ผู้ที่คันปากอยากพูดจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนอย่างสุดความสามารถ เรื่องนี้นับว่ายากยิ่งกว่านั่งฟังผู้เป็นป้าบ่นเสียอีก
“เจ้าค่ะแม่นางตู้ พี่สาวของเจ้างดงามปานเทพธิดาบินร่อนลงมาจากสรวงสวรรค์ ความงามเลิศล้ำสยบเทพสยบมาร แถมยังเสกคนบางคนให้กลายเป็นเต่าเป็นลาได้ด้วย”
“เสี่ยวลี่!” ชินอ้ายถลึงตา
ผู้ล้อเลียนกลับผุดลุกขึ้นก่อนจะส่ายก้นยั่วเย้า “มาได้แล้วเจ้าลาน้อย วันนี้เจ้ารับปากว่าจะไปวัดเอ้อร์เหยียนกับข้านะ”
แล้วมิทันไรม่อลี่ก็วิ่งออกไปจากห้อง เพราะเกรงว่าจะถูกคนลัทธิบูชาพี่สาวจับตัวนางมาลงโทษ
เจ้าของดวงหน้าหมดจดมองร่างที่วิ่งจากไปด้วยสีหน้าหลากหลาย ทั้งโกรธเคืองแต่ก็ขำจนอยากหัวเราะไปในคราเดียวกัน การมีม่อลี่เป็นสหายนั้นสร้างสีสันแก่ชีวิตของนางไม่น้อย
ความจริงวัดเอ้อร์เหยียนมิใช่วัดชื่อเสียงโด่งดังมากเท่าวัดอื่นๆ ในเมืองหลวง ทว่าสาเหตุที่ดึงดูดให้หลานสาวแห่งโรงน้ำชาชอบมาที่นี่ก็เพราะคิดถึงเกี๊ยวน้ำที่นางแสนโปรดปราน
ระหว่างการเดินทาง ถนนสายหลักของเมืองถูกปิดกั้นให้ขุนพลและนายกองทั้งหลายสัญจรมุ่งหน้าไปยังประตูวังหลวง สีหน้าทุกคนล้วนเคร่งเครียดจริงจัง จนผู้พบเห็นพากันใจไม่ดีตามไปด้วย
“เห็นว่าแคว้นหยางกับแคว้นฝูประกาศเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการ...” ม่อลี่เว้นจังหวะเพื่อเป่าลมใส่เกี๊ยวน้ำที่ส่งควันร้อนฉุย พอส่งมันเข้าปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ เสียพูนแก้ม “อีกไม่นานสัญญาสงบศึกระหว่างแคว้นหยางกับแคว้นอู๋ก็จะหมดลง แคว้นเหลียวกับแคว้นอู๋ตั้งแง่มึนตึงใส่กันมานาน ต่อให้ไม่เคยมีสงครามกระทบกระทั่งกัน แต่เรื่องนี้คงทำให้ฮ่องเต้หวั่นพระทัยไม่น้อย คงเกรงว่าแคว้นอู๋จะขยายอาณาเขตสู่แคว้นเหลียว”
“ข้าไม่ชอบสงครามเลย” ชินอ้ายไม่ชื่นชอบการรบราฆ่าฟัน พอได้ยินสหายกล่าวเช่นนี้จึงเผยสีหน้าเคร่งเครียด มือจับตะเกียบคีบเกี๊ยวน้ำขึ้นมาจ้องมองอย่างเหม่อลอย
อีกฝ่ายกลับซดน้ำแกงด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ชินอ้าย เราจะห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นก็คงไม่ได้หรอก เรื่องจะรบหรือไม่รบอยู่ที่เบื้องบนตัดสินใจ”
ผู้ฟังได้ยินก็ทอดถอนใจ ครั้นเมื่อของอร่อยเข้าปากนางก็เบือนสายตาจากม่อลี่ไปยังทิวทัศน์รอบข้าง ยังคงจดจำการมาเมืองหลวงครั้งแรกได้อย่างชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
เถ้าแก่เฉินถูกทางการจับตัวไปแล้ว ป่านนี้คงยังชดใช้ความผิดเรื่องการซื้อขายทาสอย่างผิดกฎหมายอยู่ในคุกหลวง...
เด็กสาวครุ่นคิด ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ที่เดินตรงเข้ามาในร้านเกี๊ยว เรือนผมสีดำของเขาทอดยาวเลยแผ่นหลัง ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหมวกผ้าโปร่งสีขาว เผยให้เห็นเพียงโครงหน้ารูปไข่ ทวงท่าของเขาช่างงามสง่าเสียจนนางนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
‘พี่สาว...’
แม้ในใจจะร้องบอกว่ารูปร่างของอีกฝ่ายเป็นบุรุษ แต่ความคล้ายคลึงกันอย่างประหลาดส่งผลให้นางมองตามเขาอย่างไม่ละสายตา ราวกับเขารู้ตัวว่าถูกมองอยู่จึงผินหน้ามาหา แต่เพียงครู่เดียวก็ละความสนใจ ร่างในอาภรณ์สีขาวนั้นเดินตรงเข้าไปซื้อเกี๊ยวน้ำจากท่านยายถู ครั้นจ่ายเงินเสร็จแล้วก็หายลับไปกับฝูงชน
“อ้าย...ชินอ้าย!”
เจ้าของชื่อได้สติรีบหันกลับมา ก่อนจะพบว่าม่อลี่กินเกี๊ยวน้ำจนหมดเกลี้ยงแล้ว
“ใจลอยอันใดอยู่หรือ” อีกฝ่ายเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่ชินอ้ายยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ ม่อลี่จึงหยิบเงินส่วนหนึ่งออกมาจากถุงเงินแล้ววางลงบนโต๊ะ “นี่ค่าเกี๊ยวส่วนของข้า เดี๋ยวข้าจะไปซื้อเป็ดย่างไปฝากท่านป้าก่อน รีบๆ ตามมาล่ะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะแอบไปซื้อซาลาเปา” ผู้เป็นสหายดักคออย่างรู้ทัน
“ก็มันยังไม่อิ่มท้องนี่นา เจ้าห้ามข้าไม่ได้หรอก” นางกล่าวจบก็รีบเดินลัดเลาะจากไป ปล่อยให้เด็กสาวจัดการเกี๊ยวในชามของตนก่อนจะเดินไปจ่ายเงินกับท่านยายถู
“ท่านยาย ค่าเกี๊ยวน้ำสองชาม”
หญิงชราเงยหน้าขึ้นมาจากหม้อน้ำ โบกมือไปมาอย่างกระฉับกระเฉง “ไม่ต้องหรอกยายหนู มีคนจ่ายให้พวกเจ้าแล้ว”
“จ่ายให้?” ชินอ้ายมีสีหน้าฉงนสงสัย “ผู้ใดกันหรือท่านยาย”
เรื่องมากินเกี๊ยวที่นี่นางมิได้แจ้งท่านลุงลั่วหรือเถ้าแก่เนี้ย แล้วผู้ใดกันที่จะจ่ายเงินให้พวกนาง
ผู้ถูกถามลงมือลวกเกี๊ยวต่อขณะที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็คุณชายหมวกขาวเมื่อครู่นี้อย่างไรเล่า”
ชินอ้ายกลับมาถึงห้องในยามสาย เรื่องที่มีคนแปลกหน้าจ่ายค่าเกี๊ยวน้ำให้นางกับสหายยังคงคาใจ ผิดกับม่อลี่ที่เก็บเงินอีแปะเข้าถุงผ้าอย่างชื่นมื่นและแยกไปพักผ่อน
‘คุณชายหมวกขาว...’
ดรุณีน้อยคิดพลางส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นก็สาวเท้าไปที่เตียงแล้วก้มลงหยิบกล่องไม้ขนาดกลางออกมาอย่างทะนุถนอม แม้มันจะถูกเก็บเอาไว้ใต้เตียงแต่ก็ได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดีจึงไม่เปื้อนฝุ่น ร่างเล็กทรุดกายนั่งบนเตียงก่อนจะเปิดฝากล่องออก เผยให้เห็นด้านในที่มีของอยู่ทั้งหมดห้าสิ่ง
ดวงตาหวานมองกวาดดูอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างไม่ชำรุดเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นหวีหยก ปิ่นทองคำ ต่างหูไข่มุก หรือสร้อยลูกปัด นางยิ้มย่องอย่างพึงพอใจที่ของเหล่านั้นล้วนไม่สึกหรอ จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับกำไลเงินที่ห้อยด้วยจี้รูปดอกเหมยเล็กๆ จดจำได้ว่าตนรับของขวัญชิ้นนี้เมื่ออายุสิบขวบ แม้จะชอบแต่ก็ไม่เคยแตะต้องด้วยขนาดของมันยังใหญ่เกินไป
มือเรียวเล็กเคลื่อนไปหยิบกำไลเงินวงนั้นขึ้นมา บรรจงสวมมันเข้าที่มือข้างซ้าย พบว่าบัดนี้ขนาดของมันพอดีกับข้อมือและเรียวแขนของตน ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา
สรรพสิ่งทุกอย่างยังคงเคลื่อนไหว แต่เวลาเดียวกันก็กลับหยุดนิ่ง
เด็กสาวหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ที่ผ่านมานับว่าโชคดีเหลือเกินที่นางได้รับความเมตตาและโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ นางรำลึกถึงสิ่งนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากสักวันได้ตอบแทนคุณคงจะดีไม่น้อย
“อ้ายเอ๋อร์”
เสียงแหบทุ้มอันคุ้นเคยส่งผลให้ผู้ที่กำลังจมอยู่ในห้วงคำนึงผุดลุกจากเตียง นางเร่งปิดฝากล่องไม้แล้วดันมันเข้าใต้เตียงอย่างรีบร้อนผิดวิสัย ครั้นร่างของลั่วสื่อปรากฏขึ้นที่หน้าห้อง นางก็รีบไพล่มือข้างซ้ายไปด้านหลัง ซ่อนของขวัญสำคัญมิให้ท่านลุงได้เห็น
ไม่ใช่เพราะว่าการมีสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้ถือเป็นความผิด แล้วก็ไม่ใช่ว่านางกลัวว่าของจะถูกขโมยไป แต่เป็นเพราะนางรู้สึกเคอะเขิน หากต้องบอกกล่าวเรื่องของขวัญเหล่านี้กับผู้อาวุโสต่างหาก
“ทะ...ท่านลุงลั่วเรียกข้าหรือเจ้าคะ”
เถ้าแก่แห่งโรงน้ำชามองท่าทีแปลกๆ ของผู้ที่ตนรับเลี้ยงดูมาหลายปีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จนผู้ถูกมองเริ่มใจเสีย ทว่าจังหวะต่อมาเขากลับคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“อ้ายเอ๋อร์ ‘นาง’ มาแล้ว”
เพียงได้ยินคำว่า ‘นาง’ ออกมาจากปากของลั่วสื่อ ชินอ้ายก็สาวเท้าเข้าไปหาชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็วประหนึ่งนกน้อยโผบิน แล้วเขย่าแขนของเขาเบาๆ อย่างตื่นเต้น
“จริงหรือท่านลุงลั่ว ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่ไหมเจ้าคะ”
“เรื่องเช่นนี้ใครจะกล้าหลอกเจ้ากันเล่า” ผู้อาวุโสกลั้นหัวเราะ มองเด็กสาวอย่างขบขันระคนเอ็นดู
“ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ” ชินอ้ายคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวสะอาด
พี่สาวมักมาเยี่ยมนางที่โรงน้ำชาปีละครั้ง แม้การพบเจอจะมีการพูดคุยกันไม่กี่ชั่วยาม ทว่าก็เป็นช่วงเวลาที่นางเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อมากที่สุดในรอบปี แต่ดีใจได้ไม่นานนางกลับหุบยิ้ม พร้อมกับค่อยๆ ปล่อยแขนของลั่วสื่ออย่างเชื่องช้า
“เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ” ครานี้เป็นทีของลั่วสื่อบ้างที่ประหลาดใจเมื่อเห็นสีหน้าดังกล่าว
ปกติตู้ชินอ้ายมักจะดูสดใส ยิ่งเมื่อกล่าวถึงพี่สาวก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากกว่าปกติเป็นสิบเท่ายี่สิบเท่า เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ก็มีท่าทีตรงข้ามเช่นนี้แล้วเขาก็พลอยรู้สึกไม่สบายใจไปด้วย
“ดีใจเจ้าค่ะ เพียงแต่...” ชินอ้ายเผยสีหน้าลังเลออกมาหลายส่วน “ปกติพี่สาวมักจะมาพบข้าช่วงต้นตงเทียน แต่หนนี้นางกลับมาหาข้าช่วงต้นชิวเทียน ข้าจึงรู้สึกแปลกใจ”
ชายวัยกลางคนมองใบหน้าเป็นกังวลของเด็กสาว แล้วก็ยื่นมือออกมาลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อเจ้าสงสัย ก็ออกไปถามเจ้าตัวเองไม่ดีกว่าหรือ”
ชินอ้ายเงยหน้าขึ้นสบตาเขา สีหน้าผ่อนคลายลง “ท่านลุงลั่ว พี่สาวอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
“นางรอเจ้าอยู่ที่สวน รีบไปเถิด”
“เจ้าค่ะ”
ลั่วสื่อยืนมองร่างเล็กๆ ที่เร่งรุดจากไปอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นไพล่หลัง
‘อ้ายเอ๋อร์ เจ้าช่างมีวาสนานัก...’
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ ขณะสายตาเคลื่อนไปจับจ้องกลุ่มเมฆาที่จับตัวเป็นก้อนอยู่บนผืนฟ้า ล่องลอยไปมาอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่กลับอยู่ไกลแสนไกลสุดจะเอื้อมมือไขว่ขว้า
มารุตร้อนปะทะเข้ากับอากาศหนาวเย็นชวนให้รู้สึกไม่สบายตัว ฤดูกาลเช่นนี้...เอาแน่เอานอนไม่ได้