ตอนที่ 6

3649 Words
คะนึงนิจเปิดประตูออกจากห้องนอนตัวเอง เพราะได้ยินเสียงคุ้นเคยจากด้านล่าง "ไม่คิดว่าวันนี้คุณจะไปรับลูกกลับบ้าน" คะนึงนิจเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าญาณิญกำลังอุ้มลูกสาวอยู่กลางห้องโถง โดยมีพี่เลี้ยงคอยอำนวยความสะดวกไม่ห่าง "คิดถึงค่ะ" คะนึงนิจไม่ได้สนใจอยากจะรู้เหตุผลด้วยซ้ำ เธอแค่ถามไปแบบนั้น ก่อนจะเดินไปใกล้และยื่นมือไปรับลูกสาวแทน "คุณไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวฉันพาลูกเข้านอนเอง" นั่นจึงทำให้ญาณิญยอมปล่อยลูกสาวให้ไปอยู่ในอ้อมแขนของคะนึงนิจ ญาณิญยืนดูแผ่นหลังของภรรยาที่กำลังเดินอุ้มลูกอยู่เพียงครู่ "วันนี้คุณไปไหนมา" นั่นทำให้คะนึงนิจเผลอดึงหน้าตกใจ เพราะคิดว่าญาณิญจะรู้ในสิ่งที่ตนเองเพิ่งจะทำผ่านญาณิศา "ฉันไปรอที่โรงแรม แต่ไม่เจอคุณ" "คือ ฉันไป.." "คุณบอกว่าช่วงนี้ยุ่ง คงจะไปหาลูกค้า ใช่มั้ย" พูดแค่นั้นก็เดินเข้าใกล้คะนึงนิจเรื่อยๆ ไม่วายหันไปทำท่าพยักเพยิดให้คนรับใช้ออกจากห้องไป "จริงๆ แล้ว ฉัน อุ้ย.." คะนึงนิจร้องเสียงหลง เพราะเมื่อหมุนตัวกลับไปดันเจอญาณิญอยู่ใกล้ไม่ห่าง "ช่างเถอะ ฉันก็ไม่ได้อยากรู้ว่าคุณจะไปไหนมาไหน" ซึ่งญาณิญก็ดันพูดตัดบทออกมา ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาคาดคั้นกันในเวลานี้ "คุณได้เจอคุณแม่คุณรึยัง" "ฉันเลิกติดต่อท่านหลายเดือนแล้ว มีอะไรหรือเปล่า ท่านมาก่อกวนคุณอีกแล้วเหรอ" "เปล่าหรอก" คะนึงนิจปดออกมา ก็ตอนนี้ญาณิญกำลังพยายามจะเอาใจเธอ กลัวว่าญาณิญจะไปโวยวายใส่คนเป็นแม่ที่มาไถเงินเธอ และหล่อนอาจจะปากโป้งเรื่องที่เธอไปกับพาริน "คุณไปอาบน้ำเถอะ ฉันก็จะพาลูกเข้านอนแล้ว" คะนึงนิจต้องย้ำอีกครั้ง และเดินห่างออกมาเพื่อจะขึ้นห้อง คะนึงนิจตั้งใจจะนอนกับลูกสาว ไม่อยากจะเห็นหน้าญาณิญจนต้องเอาลูกมาอ้าง แต่ก็เหมือนว่าจะผิดคาด เพราะเธอถูกโอบกอดจากทางด้านหลัง "นี่.. ปล่อย" คะนึงนิจเอ่ยออกมาไม่ดังนัก เพราะไม่อยากจะให้ลูกสาวตื่นขึ้นมากลางดึก แถมตัวเธอยังโอบกอดลูกไว้อยูด้วย "ฉันอยากจะกอดลูก แต่คุณมานอนขวางอยู่" ญาณิญยียวน พร้อมกับกระชับกอดคะนึงนิจแน่นกว่าเก่า "ฉันอึดอัด" คนแสนกวนไม่ยอมห่างออกง่ายๆ แถมยังจรดริมฝีปากที่แก้มของคะนึงนิจด้วย "อื้อ.. นี่คุณ! " "ฝากหอมแก้มลูกด้วยค่ะ" เสียงถอนหายใจอย่างกระฟัดกระเฟียด แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะมีลูกสาวอยู่ในอ้อมกอด เมื่อสองปีก่อน ญาณิญเดินเข้าบ้านที่อาศัยมาตั้งแต่เด็ก เป็นครั้งแรกที่เธอกลับมาที่นี่หลังจากเรียนจบ และคนเป็นแม่ก็รีบออกมาต้อนรับขับสู้ "พวกแกรีบไปเตรียมน้ำเตรียมขนมมาให้ลูกฉันเร็ว" หันไปสั่งคนรับใช้ ก่อนจะหันมาหาลูกสาว "จะมาพักกี่คืนดีลูก แม่ให้คนเตรียมห้องไว้ให้แล้ว" "ใหญ่มาไม่นานค่ะ" คนแม่หน้าเจื่อนลงทันที "ใหญ่จะแต่งงาน" "ห๊า! แต่งงาน" "แค่พรุ่งนี้ แม่ต้องไปเป็นผู้ใหญ่สู่ขอให้" "อะไรนะ! นี่แกจะแต่งงานกับใคร ทำไมฉันต้องไปเป็นผู้ใหญ่สู่ขอเจ้าบ่าวให้แก" ทีแรกที่ได้ยินว่าจากปากญาณิญว่าจะแต่งงาน เธอก็ตกใจ แต่ก็ปนไปด้วยความดีใจ เพราะหากเป็นแบบนั้น เธอคงจะสามารถโก่งค่าสินสอดจากเจ้าบ่าวได้มหาศาลเพราะลูกสาวทั้งสวยทั้งเก่ง แถมยังเป็นคนดังด้วยอาชีพอีก "ใหญ่จะแต่งงานกับคุณคะนึงนิจ เจ้าของโรงแรมเดอะควอเตอร์ ลูกสาวคุณหญิงพิมพ์แข" "ตายแล้ว! ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน นังผู้หญิงคนนั้นคงจะมาจับแกใช่มั้ย คนรวยสมัยนี้มันเป็นยังไง" "หยุดพูดแบบนั้นนะ! ใหญ่ทำคุณนิดท้อง" ใบหน้าของคนแม่ซีดลงทันที "ห้ามต่อว่าเมียใหญ่ด้วย ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน" ญาณิญในวัยเด็ก ภายในห้องอาบน้ำหลังจากวิชาว่ายน้ำ "ใหญ่มีจู๋" "ใหญ่มีจู๋" "ใหญ่มีจู๋" "ใหญ่มีจู๋" เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงวัยห้าขวบ รุ่นราวคราวเดียวกับญาณิญต่างส่งเสียงล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน คนหนึ่งที่ไม่สนุกด้วยคือญาณิญ เธอกำลังส่งเสียงร้องไห้ออกมา เพราะตัวเองตอนนี้กลายเป็นตัวประหลาดแตกต่างจากเพื่อนๆ "อะไรกันเด็กๆ ทำไมล้อเพื่อนแบบนั้น ว้าย! " อาจารย์ประจำวิชาที่ได้ยินเสียงโวยวายของทุกคนต้องเข้ามาระงับเหตุ แต่เมื่อเจอต้นเหตุกลับร้องว้ายออกมา พร้อมกับเข้าไปรวบตัวญาณิญ และว่ากล่าวตักเตือนเด็กๆ ที่มุงดูอยู่ หลังจากวันนั้น ญาณิศา ก็มารับตัวญาณิญกลับบ้าน พร้อมกับย้ายที่เรียนทันที "แกห้ามไปแก้ผ้าให้ใครเห็นเด็ดขาด โดยเฉพาะพ่อของแก" "ทำไมใหญ่ถึงมีไอ้นั่น ไม่เห็นเหมือนของเพื่อนเลย" ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "เพราะแกพิเศษไงล่ะ และจำไว้นะว่าห้ามบอกใครเด็ดขาดไม่งั้นฉันจะเอาแกไปปล่อยวัด" เด็กวัยห้าขวบพยักหน้าหงึกหงักกับคำขู่ของคนแม่ จนเลยวัยมาถึงช่วงเจริญพันธ์ ญาณิญเข้าเรียนชั้นมัธยม เธอตัวสูงใหญ่กว่าเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน และเป็นที่สนใจเพราะผิวพรรณสวยผุดผ่อง และใบหน้าที่เก๋แปลกตา มีเด็กผู้ชายมาขายขนมจีบเป็นพรวน แต่ญาณิญไม่สนใจเลยสักคนแถมไม่มีความรู้สึกเสน่ห์หาด้วย ต่างจากการมองผู้หญิง ญาณิญรู้สึกอยากสัมผัสและใกล้ชิดผู้หญิงมากกว่า "ถ้าขีดเส้นแบบนี้โดยไม่ใช้ไม้บรรทัดจะไม่ตรงนะใหญ่" เสียงหวานของเพื่อนสนิทต่างห้องช่วยบอก พร้อมกับดึงสมุดของญาณิญไปแก้ไขและทำใหม่ให้ "อ้ะ เสร็จแล้ว" พูดออกมาพร้อมส่งสมุดคืนให้ "มองหน้าเราอีกแล้วนะใหญ่" เวลานี้เย็นมากแล้ว นักเรียนก็กลับบ้านกันไปเกือบหมด ทั้งโรงเรียนจึงไม่มีเสียงรบกวน ญาณิญขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าใสๆ ของเพื่อนสนิท โดยริมฝีปากนั้นห่างกันไม่ถึงคืบ "เราขอจูบเค้กได้รึเปล่า" "เพื่อนกัน เค้ามะ อื้ออ" ไม่ทันที่จะพูดจบประโยคญาณิญก็จู่โจมประกบปากเพื่อนทันที โดยจูบแบบไม่ประสา เพราะขาดประสบการณ์กันทั้งคู่ ก่อนที่ต่างคนจะผละกันออกมา เพื่อนสนิทต่างห้องรีบลุกขึ้นทันทีพร้อมหันไปอีกทาง "เราว่า เราไม่ได้คิดกับใหญ่เกินไปกว่าเพื่อน และเราก็ชอบผู้ชาย" พูดจบก็คว้ากระเป๋า และหนีไปทันที ญาณิญถูกปฏิเสธ ทั้งอายและเสียใจ นั่นเพราะเป็นเธอคนเดียวที่คิดไปไกล และหากเธอได้เป็นผู้ชาย เรื่องระหว่างเธอกับเค้กคงจะเป็นไปได้ คิดแบบนั้นก็รีบเดินตามเพื่อนไปทันที เธอต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ตัวเองสมหวังในความรัก ซึ่งปกติทั้งคู่จะเดินกลับบ้านด้วยกัน แต่วันนี้ "อย่าตามเรามานะ! " เค้กแว้ดใส่เสียงดัง เมื่อเห็นว่าญาณิญที่เพิ่งจะจูบเธอไปหมาดๆ กำลังเดินตามมา แต่มีหรือที่ญาณิญจะยอมละความตั้งใจ วันนี้ไม่ได้คุยหรือเดินเคียงกันก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ได้เดินตามหลังก็พอ ทางที่คุ้นเคยตอนนี้กลับมีฝนตกลงมาเม็ดใหญ่ ทั้งคู่ต่างวิ่งเข้าไปหลบฝนในตึกร้างด้วยกัน และจึงได้มีโอกาสพูดคุย "ใหญ่ชอบเราเหรอ" "อืม ชอบมาตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรกแล้ว" "แต่เราเป็นผู้หญิงเหมือนกันนะ" "จริงๆ แล้ว เราไม่ใช่ผู้หญิง เราเป็นผู้ชาย" "หืม.. " เค้กส่งส่งเสียงพร้อมใบหน้าฉงนออกมา ก็ใครจะไปเชื่อว่าคนตรงหน้าจะเป็นผู้ชาย "อย่ามาโกหก ดูก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง" ญาณิญมีใบหน้าหนักใจเล็กน้อยก่อนจะกลั้นใจบอกออกมา "เราเป็นผู้ชายจริงๆ เค้กก็รู้ว่าเราไม่เคยโกหก" คนฟังรู้ดีว่าน้ำเสียงและหน้าตาจริงจังแบบนี้ ญาณิญไม่โกหก "แล้ว แล้วทำไม" "เราทำตามคำสั่งแม่ แม่อยากให้เราเป็นผู้หญิง และอยากแก้แค้นพ่อ" "มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย" เพื่อนสนิททำท่าคิดยกใหญ่ "เราเป็นผู้ชายแล้วนะ แล้วเค้กจะชอบเราได้มั้ย" "เราจะยอมทะเลาะกับแม่ ยอมให้แม่เอาไปปล่อยวัด และจะเปิดเผยกับทุกคนว่าจริงๆ แล้ว เราเป็นผู้ชาย" "ไม่รู้สิ มันไวเกินไป เราตามไม่ทัน" "แค่เค้กไม่รังเกียจ และให้โอกาสเราเหมือนผู้ชายคนอื่นก็พอ" "ได้มั้ย" ญาณิญย้ำถาม "อืม ลองดูก็ได้" ญาณิญยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบัง พร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือกับคนข้างๆ  แต่ไม่ทันที่ทั้งคู่จะปรับความเข้าใจกันได้นาน "เห้! สาวๆ " เสียงขัดจังหวะจากชายฉกรรจ์ที่สวมโม่งคลุมหัว พร้อมกับที่เหลืออีกสี่คนกำลังเดินเข้ามาใกล้ สองสาวลุกพรวดขึ้นพร้อมกันทันที ทั้งตกใจทั้งกลัว พวกนั้นมากันหลายคน คิดดีไม่ได้เลย ญาณิญรีบมาขวางหน้าเพื่อนไว้ทันที "ไม่ต้องกลัวนะเค้ก เราจะปกป้องเค้กเอง" หันไปบอกเพื่อนให้คลายกังวล "แหมๆ จะขอก่อนเหรอน้องสาว" พูดพร้อมจับเนื้อต้องตัวญาณิญไปด้วย 'เพี้ยะ' ใบหน้าเขาหันขวับตามแรงตบ ญาณิญรู้ดีว่าคนพวกนี้ต้องการสิ่งใด และเธอก็อยากจะปกป้องคนด้านหลัง แต่ก็คงจะหลงลืมไปว่าตอนนี้ตนเองนั้นเป็นเพศที่อ่อนแอในเรื่องของแรงกำลัง 'เพี้ยะ' "ว้าย! " คนด้านหลังร้องเสียงหลงเพราะญาณิญถูกตบกลับจนล้มลง "เก่งนักนะมึง! ดูซิ จะช่วยเพื่อนมึงยังไง" เอ่ยออกมาแค่นั้น ก็หันไปสั่งลูกน้องให้จับตัวเค้กไว้ และกดลงให้นอนบนพื้นแข็งๆ เสียงกรีดร้องของเพื่อนสนิทดังเป็นระยะ ราวกับจะขาดใจ ทั้งแขนและขาถูกตรึงไม้ด้วยมือของชายพวกนั้น ภาพเพื่อนสนิทที่ถูกดึงรั้งเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่าอยู่ในสายตาของญาณิญ ตามด้วยร่างของชายฉกรรจ์ที่ผลัดกันขึ้นคร่อม มือหนาๆ ของคนพวกนั้นกำลังลูบคลำและบีบขยำเรือนร่างของคนที่เธอรัก ทุกคนกำลังย่ำยีความเป็นผู้หญิงแบบที่ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ เสียงนั้นก้องดังอยู่ในหูของญาณิญ "เห้ย! " และผู้ชายคนที่กำลังคร่อมอยู่บนตัวญาณิญก็ส่งเสียงร้องออกมา นั่นเพราะเขาเห็นอวัยวะเพศภายใต้กระโปรงนักเรียนของญาณิญที่เหมือนกับตนเอง เขารีบถอยออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน "มึงเป็นตัวเหี้ยไรเนี่ย" ทั้งยังสบถออกมา ญาณิญไม่ได้สนใจที่เขาได้เห็นความเป็นชายในร่างกายตนเอง เอาแต่มองเหตุการณ์ที่เพื่อนสนิทถูกย่ำยีด้วยความเจ็บใจ โดยไม่สนใจตนเองเลยสักนิด จากที่เขากำลังจะย่ำยีญาณิญก็เปลี่ยนเป็นรุมซ้อมและทุบตีเธอแทน ทั้งปากก็กร่นด่า ต่อว่าเธอว่าเป็นตัวประหลาด วิปริต ผิดเพศ ความเจ็บกายไม่เท่าความเจ็บใจ เธอพยายามจดจำคนพวกนั้นเท่าที่จำได้ และสิ่งที่ติดตาตอนนี้คือรอยสักรูปหัวกระโหลกคาบบุหรี่ที่ข้อมือของทุกคน ญาณิญตื่นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลด้วยสภาพที่อิดโรยและบอบช้ำ เธอสลบไปห้าวันห้าคืนเต็มๆ "ลูกฉันฟื้นแล้ว หมอ หมอ พยาบาล ลูกฉันฟื้นแล้ว" เสียงญาณิศาตะโกนเรียกทั้งหมอและพยาบาล ไม่นานก็เข้ามาตรวจเช็กร่างกายเธออย่างละเอียด "คงต้องรอดูอาการอีกสักสัปดาห์นะครับคุณแม่ เพราะอวัยวะภายในยังบอบช้ำจากการโดนทำร้าย" เขาบอกก่อนจะเดินออกไป และญาณิญก็หลับไปอีกครั้ง คงจะเพราะยาที่พยาบาลเพิ่งจะฉีดให้เธอ ผ่านการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเกือบเดือน ญาณิญกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน และสิ่งที่เธออยากรู้ที่สุดคือเรื่องของเพื่อนสนิท "เค้กล่ะแม่ เค้กเป็นยังไงบ้าง" "ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว คงจะอายชาวบ้าน" "แล้วย้ายไปอยู่ที่ไหน! แม่รู้ข่าวเค้กบ้างมั้ย" "แกห้ามไปยุ่งกับมันเลยนะ ตัวซวยชัดๆ " "เค้กโดนข่มขืนนะแม่ เราควรจะเห็นใจเหยื่อ ไม่ใช่ซ้ำเติมเค้าแบบนั้น" "แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ขนาดพ่อแม่มันยังไม่เห็นใจมันเลย ดีนะ วันนั้นแกโดนแค่นี้" "ใหญ่เจ็บปางตายขนาดนี้แม่ยังบอกว่าดีเหรอที่โดนแค่นี้ และถ้าใหญ่โดนเหมือนเค้กล่ะ แม่จะทำยังไง แม่จะไล่ใหญ่ออกจากบ้านมั้ย หรือแม่จะตีใหญ่ให้ตายเลยใช่มั้ย" "ไม่มีทางที่ไอ้คนพวกนั้นจะทำอะไร เพราะแค่มันถอดกระโปรงแกออก มันก็กระเจิดกระเจิงกันหมดแล้ว" "ก็เพราะสภาพใหญ่เป็นแบบนี้ไง คนที่ซวยเลยกลายเป็นเค้ก ถ้าแม่ยอมให้ใหญ่เป็นผู้ชาย ใหญ่คงจะได้ดูแลเค้ก เค้กก็คงจะไม่ถูกข่มขืน" 'เพี้ยะ' ญาณิญถูกตบจากคนเป็นแม่จนหน้าหัน "ที่ฉันทำไปก็เพื่อแก แกต้องเป็นผู้หญิง อย่าสงสัยอะไรทั้งนั้น! " "และก็กินให้ครบด้วย ถ้ารักษาตัวจนหายดีแล้ว ฉันจะพาแกไปอยู่ที่อื่น" สิ่งที่คนแม่ส่งให้ลูกคือแผงยาคุม และยาเพิ่มฮอร์โมนผู้หญิง นั่นเพราะญาณิญไม่ใช่ผู้หญิงมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นคนเป็นแม่จึงสรรหาทั้งยา และทุกวิถีทางเพื่อทำให้ญาณิญเหมือนผู้หญิงมากที่สุด และเรื่องนี้มีแค่เธอและคนแม่เท่านั้นที่รู้ เพราะเมื่อมีคนเริ่มรู้เห็นหรือระแคะระคาย สองแม่ลูกก็อันตธานหายตัวไป กลับมาปัจุบัน ญาณิญเดินเข้ามาภายในโรงพยาบาลรักษาอาการจิตเวช เป็นประจำที่เธอจะมาที่นี่ในช่วงที่มีเวลาว่างหรือทุกครั้งที่ทำเรื่องที่ค้างคาใจสำเร็จ เธอนั่งมองคนคนคุ้นเคยที่เคยแอบหลงรักตั้งแต่ในวัยเด็ก นั่นคือ คีตา หรือ เค้ก อดีตดาวโรงเรียน คนสวยมี่ใครๆ ต่างหมายปอง ซึ่งหากไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น คีตาคงจะมีอนาคตที่สดใสกว่าการเป็นผู้ป่วยจิตเวชเหมือนในวันนี้ "รออีกนิดนะเค้ก เราใกล้จะทำสำเร็จแล้ว" "ใหญ่เหรอ นี่ใหญ่ใช่มั้ย" จากที่นั่งเหม่อลอย เปลี่ยนเป็นหันมามองหน้าญาณิญ  "ใช่ นี่ใหญ่เอง เค้กเป็นไงบ้าง" "เราอยากกลับบ้าน เราอยากกลับเรียน พาเรากลับบ้านนะ" แน่นอนว่าตอนนี้อายุของผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่วัยเรียน แต่เพราะความทรงจำสุดท้ายคือการเป็นนักเรียน "รออีกนิดนะ เราจะมารับเค้กกลับบ้าน" ญาณิญเพียงพูดให้คีตาสบายใจ แม้จะรู้ดีว่าอาการของเพื่อนไม่ดีขึ้นเลย "พวกมันจะต้องชดใช้สิ่งที่ทำกับเค้ก" ผู้ชายห้าคนในวันนั้นที่ทำร้ายญาณิญและคีตา กำลังจะกลายเป็นเหยื่อของญาณิญในวันนี้ เธอตามหาคนกลุ่มนั้นจนเจอ และไล่กำจัดไปทีละคน จนเหลืออีกหนึ่งคน หัวหน้าแก๊ง แม้คดีจะล่วงเลยมาเกินสิบปี ไม่อาจตามจับผู้ก่อเหตุได้เพราะหมดอายุความ แถมผู้ปกครองของคีตาไม่คิดเอาความ เนื่องจากอับอาย และญาณิญไม่ใช่คนที่จะมารอคอยกฎแห่งกรรม  เธอขอใช้กฎของตนเอง ในการตัดสินความผิดของคนอื่นเท่าที่ตนเองต้องการ ในการพิจารณาคดีความที่มีญาณิญเป็นทนายให้กับจำเลย คดีพรากผู้เยาว์ "ศาลที่เคารพคะ ดิฉันขอเบิกตัวพยานปากสำคัญ" "เชิญ" เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าพยานปากสำคัญที่ญาณิญพามาด้วยนั้นอายุยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ "ท่านผู้พิพากษาครับ ผมว่าคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเด็ก เนื่องจากเป็นเรื่องชู้สาวและเด็กคนนี้ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กระผมคิดว่าเด็กอาจจะมีความสับสน และสามารถชักจูงได้ง่าย" "ขอนุญาตค่ะท่าน ในเมื่อคดีนี้เป็นเรื่องของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และ ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 ผู้ที่จะเป็นพยานในศาลได้จะต้อง สามารถเข้าใจและตอบคำถามได้ และ เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยินหรือทราบเรื่องที่ตนจะมาเป็นพยานโดยตรง" "และ พยานคนนี้ เป็นประจักษ์พยาน รู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยตาตนเองค่ะ" "ขอให้ท่านผู้พิพากษาช่วยพิจารณาด้วยค่ะ" "เชิญเข้าแท่นพยานได้เลย" ญาณิญจึงเผลอยิ้มมุมปากอย่างพอใจ "สวัสดีจ้ะ หนูน้อย ช่วยแนะนำตัวกับทุกคนที" "สวัสดีครับ ผมชื่อณดล การละพล อายุเจ็ดขวบ ผมเป็นเด็กดีและสอบได้ที่หนึ่งทุกปีครับ" ประโยคหลังนั่นดูจะไม่ค่อยจะเป็นทางการเท่าไหร่ จนคนฟังต่างส่ายหัวให้ แต่ญาณิญกลับพอใจที่ได้ยิน "พี่จะเริ่มถามแล้วนะ พร้อมใช่มั้ย" "พร้อมครับ" "วันที่สิบหก ธันวาคม วันที่น้องณดลสอบวันสุดท้าย น้องเห็นอะไรหลังจากที่ออกจากห้องสอบคะ" "ผมเห็นพี่ผู้หญิงคนนั้น" พูดพร้อมชี้ไปที่โจทย์ "พี่ผู้หญิงคนนั้นไปกับผู้ชายหลายคนในโรงเรียน" "แล้วผู้ชายหลายคน มีคนคนนั้นมั้ย" เธอพูดพร้อมกับชี้ไปที่จำเลยฝ่ายตนเอง "ไม่มีครับ" "นั่นแสดงว่า วันที่โจทย์กล่าวอ้างว่าไปกับลูกความของดิฉัน ไม่เป็นจริงค่ะ" "โจทย์มีนิสัยส่วนตัวเป็นคนรักสนุก และมีผู้ชายหลายคนมาติดพัน แต่เพราะลูกความของดิฉันที่โจทย์กล่าวอ้าง ไม่เล่นด้วยและมีฐานะทางการเงินที่ดี โจทย์จึงต้องการจะใช้หลักฐานเท็จมาผูกมัดลูกความของดิฉันให้ต้องรับผิดชอบตนเอง" "ท่านครับผมขอค้าน ทนายฝ่ายจำเลยกำลังใส่ความลูกความผมครับ" "ดิฉันพูดความจริงค่ะท่าน พฤติกรรมของโจทย์ไม่เพียงแต่เด็กเจ็ดขวบที่รับรู้ หากสอบถามกับนักเรียนคนอื่นก็มีคำตอบเดียวกันค่ะ ว่าโจทย์เป็นคนแบบไหน" "ดังนั้น ลูกความของดิฉันไม่มีความผิด จากผลการตรวจภายใน ลูกความของดิฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสำส่อนแบบนั้นค่ะ" "ทนาย ระวังคำพูดด้วย" "ขอโทษค่ะท่าน" การพิจารณาเป็นไปด้วยความตึงเครียด และยาวนาน แต่คนหนึ่งที่สบายอกสบายใจคือญาณิญ เพราะเธอรู้และทำนายผลการพิจารณาได้อย่างแม่นยำ และสุดท้าย เธอเป็นผู้ชนะ จากคนผิดกลายเป็นคนถูก ลูกความของญาณิญมีส่วนผิด แต่การพิจารณากลับตรงข้ามความจริง ญาณิญสามารถเอาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามมาปรุงแต่งเพิ่มความร้อนแรงเข้าไป ทำให้ท่านผู้พิพากษาและคนที่นั่งฟังการพิจารณาคดีคล้อยตามไปด้วย "มึง! อีทนาย กูจะฆ่ามึง" เมื่อการพิจารณาจบลง ก็มีผู้ชายร่างใหญ่วิ่งตรงมาทางเธอ และจงใจบีบคอ พร้อมกับเสียงกร่นด่าหยาบคาย สถานการณ์ดูจะชุลมุนเพราะมีผู้คนเริ่มเข้ามาแยกตัวเขาออก และต่างคนก็ต่างรุมเห็นใจญาณิญ "ลูกกูไม่ผิด ไอ้เด็กนั่นข่มขืนลูกกู" เขาตะโกนลั่น ญาณิญแสร้งทำตีหน้าน่าสงสารต่อหน้าทุกคน และยืดตัวยืนเต็มความสูง เดินเข้าหาเขาที่กำลังถูกจับตัวไว้ "คุณพ่อต้องใจเย็นๆ นะคะ จากที่ฉันพอจะทราบมา คุณคงจะไม่ได้เลี้ยงดูลูกสาวมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่ได้ใกล้ชิดและรู้จักพฤติกรรมของลูกสาวดีพอ ยังไงต่อไปนี้ก็ดูแลกันดีๆ นะคะ" ญาณิญบอกแค่นั้น ก่อนจะชำเลืองดูรอยสักที่แขนของเขา รอยสักที่จำมาตลอดชีวิต วันนี้ได้ถูกสะสางแล้ว บาร์เหล้าหรู ต้อนรับเฉพาะลูกค้าระดับวิไอพี ญาณิญก้าวเข้ามาภายในร้าน และเดินลงชั้นใต้ดิน สถานที่ที่เธอมาเป็นประจำ  "โธ่ คุณใหญ่ ผมล่ะเกือบจะหัวใจวาย คุณทำเรื่องสุ่มเสี่ยงมากนะ" นั่นคือเสียงของทนายฝ่ายโจทย์ที่เธอเพิ่งจะเจอเขาวันนี้ในห้องพิจารณาคดี ญาณิญขยับเข้าไปนั่งข้างเขา ก่อนจะส่งสัญญาณสั่งเครื่องดื่มอย่างคุ้นเคยและหันไปหาเขา "คุณก็ทำได้ดีนี่คะ" พูดพร้อมวางกระเป๋าหนังเบื้องหน้าเขา "ตามที่ตกลงกันไว้"  เขารีบคว้ากระเป๋าไปเปิดดู และนับธนบัตรหลายปึกด้วยสายตาตนเอง  "ครบครับ และยินดีที่ได้ทำธุรกิจร่วมกัน" "ช่วงนี้คุณก็ไปพักร้อนต่างประเทศสักเดือนสองเดือนก็ได้นะคะ หลบหน้าหลบตานักข่าวสักหน่อย จะได้ไม่ต้องเจอพวกกระแสสังคม" แน่นอนว่าคดีพรากผู้เยาว์เป็นที่สนใจของทุกสำนักข่าว ดังนั้น หลังจากนี้ ญาณิญก็ต้องตั้งรับเป็นอย่างดี และเธอก็ยอมแลกมันมาด้วยความสะใจ พ่อเหยื่อ คือ หัวหน้าแก๊งที่ข่มขืนคีตาและทำร้ายร่างกายเธอเมื่อหลายปีก่อน สิบแปดปีที่จะสะสางความแค้นยังไม่สาย และเธอก็พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้คนพวกนั้นพังพินาศ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD