ตอนที่ 7

3511 Words
ญาณิญเดินออกจากห้องแต่งตัวโดยมีเพียงเสื้อคลุมสวมทับกาย เธอตรงไปหาคะนึงนิจที่กำลังเก็บที่นอนข้างเตียงตัวเอง และกำลังจะเก็บที่เหลือคือเตียงของญาณิญ แม้ว่าพวกเธอจะนอนร่วมห้อง แต่กลับไม่นอนร่วมเตียง ซึ่งภายในห้องนี้มีเตียงขนาดใหญ่สองหลังตั้งอยู่ สำหรับคนสองคน "สูทของฉันล่ะ" "ก็อยู่ที่เดิมแหละค่ะ" ตอบโดยไม่มองหน้าแถมด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชา "ฉันหาแล้วไม่มี" "งั้นก็คงส่งซักอยู่ค่ะ" ญาณิญส่งเสียงถอนหายให้ออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความไม่พอใจ "คุณก็รู้ว่าช่วงนี้ฉันต้องให้สัมภาษณ์" "ขอโทษค่ะ ที่ฉันไม่ทราบเรื่องงานของคุณ" "นี่คุณ! เมื่อไหร่จะหายงอนสักที ฉันชักจะหมดความอดทนแล้วนะ" และสิ่งที่ได้รับตอบกลับจากคะนึงนิจคือความเงียบ เงียบจนคนที่ยืนข้างหลังมีอารมณ์โกรธขึ้นมา "โอ้ย! เจ็บนะ" ความอดทนของญาณิญหมดลงแล้วจริงๆ คะนึงนิจถูกคว้าแขนและกระชากให้หันมาเผชิญหน้า "เกลียดกันนักใช่มั้ย ถึงขั้นไม่อยากมองหน้ากัน" "ใช่ ฉันเกลียดคุณ ปล่อย! " และยิ่งคะนึงนิจขัดขืนมากเท่าไหร่ ก็ถูกบีบแขนแน่นกว่าเก่า "ไม่ปล่อย! ไหนๆ คุณก็เกลียดฉันอยู่แล้ว มันก็ไม่จำเป็นที่ฉันทำดีกับคุณ" พูดพร้อมกับดึงรั้งร่างเล็กๆ ของคะนึงนิจเข้ามาใกล้ตัว "จะทำอะไร ปล่อยนะ! " คะนึงนิจหน้าตาตื่น กลัวว่าญาณิญจะข่มเหงน้ำใจเธออีก "ทำแบบที่เราเคยๆ ไงล่ะ" "ไม่! อย่าทำแบบนี้" คะนึงนิจปฏิเสธเสียงดังลั่น เพราะใบหน้าของญาณิญกำลังเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น "ฉันให้คุณไปซื้อเอาข้างนอกยังไม่พอใจอีกรึไง! " "ไม่พอ! เพราะฉันอยากได้คุณ ฉันไม่อยากได้ใครทั้งนั้น" ซอกคอของคะนึงนิจกำลังถูกญาณิญจู่โจม เธอถูกซุกไซร้จูบอยู่แบบนั้น ยิ่งคะนึงนิจเบี่ยงหนีเท่าไหร่ญาณิญก็ยิ่งชอบใจ จนดันร่างของคนที่กำลังพยศให้ล้มลงบนเตียงและตามขึ้นคร่อมทันที จากเตียงที่เรียบตึงกลายเป็นยับยู่ยี่ เพราะญาณิญคิดจะทำเรื่องที่คะนึงนิจกลัว "อย่า! อย่าทำแบบนี้กับฉัน" ด้วยเรี่ยวแรงที่น้อยนิด คะนึงนิจได้แต่ตะเบ็งออกมาจนสุดเสียงพร้อมกับทั้งจิกทั้งดันตัวญาณิญให้ออกห่างตัว ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เสื้อสวยของคะนึงนิจถูกกระชากดึงออกจากตัวจนขาดวิ่น เสียงคะนึงนิจกรี้ดลั่นออกมาด้วยทั้งตกใจและกลัวจนตัวสั่น  ญาณิญดึงหน้าของคนใต้ร่างมาประกบจูบอย่างไม่คิดจะทะนุถนอม  "อ อื้อ..." เสียงคะนึงนิจอู้อี้พร้อมกับขัดขืนเบี่ยงหลบ ทั้งทุบทั้งตีเพื่อให้ญาณิญหยุดการกระทำคนที่ทาบทับอยู่บนตัวรู้สึกร้าวระบม "เห้ย! หยุดดิ้น" ญาณิณผละออกจากการบังคับจูบคะนึงนิจและตวาดใส่คะนึงนิจด้วยความเหลืออดเพื่อให้เธอหยุดขัดขืน พร้อมรวบมือทั้งสองข้างของคนใต้ร่างไว้ไม่ให้ได้ขยับ "ฉันไม่ยินยอม ปล่อย!" ตะโกนกลับใส่หน้าญาณิญบ้าง แม้จะหวาดกลัวกับน้ำเสียงข่มขู่ของคนด้านบน "เล่นตัวงั้นเหรอ คนเป็นเมียก็ต้องปรนนิบัติผัวสิ" "ฉันก็ทำให้ทุกอย่างแล้วไง! ทั้งเรื่องลูก เรื่องงานบ้าน ฉันไม่ได้บกพร่อง แล้วจะเอาอะไรอีก" "เรื่องบนเตียงไง เคยชอบที่ฉันทำให้ แล้วจะขัดขืนทำไม" น้ำเสียงเย้ยหยันออกจากปากญาณิญ ซึ่งมันยิ่งทำให้คะนึงนิจเจ็บช้ำใจ เมื่อก่อนนี้เธอขาดเรื่องเซ็กซ์เพราะสามีคนแรก มันจึงทำให้คะนึงนิจต้องไขว่คว้าจากนอกบ้าน และสุดท้ายก็มาหยุดที่ญาณิญ "ก็เพราะว่าฉันเกลียดสิ่งที่คุณทำกับฉัน ยิ่งคุณทำแบบนี้ ฉันก็ยิ่งเกลียด เกลียดจนไม่อยากเห็นหน้า อยากให้คุณตายๆ ไปซะ!" คะนึงนิจพูดในสิ่งที่ตนเองคิดออกมา และมันก็ยิ่งทำใหคนฟังโกรธเกรี้ยวกว่าเก่า "ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก แต่ถ้าฉันจะตาย ฉันจะทำให้คุณตายไปพร้อมกับฉันด้วย!" ญาณิญพูดออกมาก่อนจะก้มลงซุกไซร้ซอกคอด้วยความโกรธ เธอเอาความโมโหมาลงกับการข่มเหงน้ำใจคะนึงนิจ 'กรี้ดดด' คะนึงนิจร้องกรี้ดอีกครั้งราวกับต้องการจะร้องขอความช่วยเหลือ ญาณิญทั้งจูบและข่มเม้มเนื้อขาวสะอาดของคนใต้ร่างด้วยคมเขี้ยวโดยไม่สนใจเสียงร้องของคนใต้ร่าง แถมตอนนี้คะนึงนิจกำลังมีน้ำตา ทั้งโกรธและเจ็บแค้น เพราะเธอเองก็คน มีจิตใจ มีเลือดเนื้อ ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของญาณิญ แม้จะแต่งงานและอยู่กินกันมาเป็นปี พร้อมจะเปิดใจ แต่ญาณิญดันทำลายความเชื่อใจนั้น 'ก๊อก ก๊อก ก๊อก' เสียงรัวเคาะประตูหน้าห้องทำให้ญาณิญยอมหยุดด้วยความหัวเสีย พร้อมกับหันไปที่ประตู "มีอะไร!" ญาณิญตวาดคนด้านนอกเสียงดัง โมโหคนที่มาขัดจังหวะ "ชุดมาส่งแล้วค่ะ" เสียงแม่บ้านตะโกนเข้ามาด้านใน คะนึงนิจจึงรีบผลักร่างญาณิญให้พ้นตัวทันที และรีบตรงไปหน้าประตู เพื่อหลีกหนีการเผชิญหน้าโดยไม่สนใจสภาพตนเอง  เธอไม่จำเป็นต้องอายคนรับใช้ เพราะทุกคนคงจะชินกับเหตุการณ์แบบนี้  ญาณิญเดินเข้าสำนักงานทนายความในยามเช้าพร้อมกับสวมใส่สูทตัวโปรด หลายวันที่ผ่านมา เธอต้องคอยตอบคำถามนักข่าวที่มาดักรอหน้าสำนักงานเรื่องคดีที่กำลังเป็นกระแสสังคม จนเธอเริ่มจะชิน วันนี้ก็เช่นกัน "คุณทนายคะ ขอสัมภาษณ์ได้มั้ยคะ" "ได้สิคะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว" "ทางพ่อของเหยื่อบอกกับเราว่าจะสู้คดี และจะฟ้องศูนย์ดำรงธรรมค่ะ" ญาณิญจึงดึงหน้าจริงจังขึ้นมาต่อหน้ากล้อง "อยากให้มองว่าคนที่เป็นเหยื่ออีกคนหนึ่งก็คือลูกความของดิฉันค่ะ และศาลก็ให้ความยุติธรรมกับทุกคนและทุกฝ่าย ดังนั้น เลิกเขียนข่าวให้ร้ายลูกความดิฉันเพียงเพราะเขาเป็นผู้ชายเถอะค่ะ" นักข่าวกลุ่มนั้นหน้าเจื่อนลงทันที "ขอตัวนะคะ ยังมีอีกหลายคดีรอฉันอยู่" นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมญาณิญจะต้องโวยวายตามหาเสื้อตัวโปรดของตนเองมาสวมใส่ ทนายคนเก่งเดินห่างจากวงสัมภาษณ์มาภายในสำนักงานกฎหมาย เพื่อจะขึ้นห้องทำงานตนเอง "คุณใหญ่ครับ ทนายคดี 1426 มาขอพบครับ" เลขาหน้าห้องรายงานอย่างกระตือรือร้น "ฉันไม่อยากเจอ ไล่ไปซะ" ญาณิญบอกออกไปโดยไม่มองหน้า และเปิดเข้าห้องตนเองไป โดยที่ไม่สนเสียงทักท้วงของเขา ซึ่งเขามักจะได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากญาณิญอยู่เนืองๆ  "สวัสดีครับรุ่นพี่" ไม่ทันที่จะกวาดสายตามองไปทั่วทั้งห้อง ก็ได้ยินเสียงของคนที่ไม่อยากเจอทักทายขึ้น ญาณิญไม่ได้ดูตกใจที่พบหน้าเขาในห้องตนเอง แต่รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าจนถอนหายใจออกมา ก่อนจะเปิดประตูห้องตนเอง และยื่นหน้าออกไปหาเลขาคนเดิม "ฉันไล่นายออก! เก็บข้าวของและไสหัวออกไปซะ" พูดแค่นั้นก็ปิดประตูเสียงดังใส่หน้าเขาและเดินเข้าห้องตนเอง ทิ้งตัวลงนั่งประจำที่ "ไม่เห็นจะต้องพาลใส่ลูกน้องเลยนี่ครับ เขาห็แค่ทำตามหน้าที่" ทนายรุ่นน้องทักขึ้นด้วยความไม่เห็นด้วย "ไม่ใช่เรื่องของนาย" คำพูดของญาณิญทำให้เขาต้องเงียบกริบทันที "ฉันมีเวลาให้ห้านาที มีอะไรจะต่อรองก็ว่ามาคุณทนาย" ก็เขาพยายามจะติดต่อขอเข้าพบเธอหลายครั้งแต่ญาณิญก็ผฏิเสธตลอด แต่ไหนๆ ตอนนี้ก็เจอกันแล้ว จึงยอมให้เพื่อตัดความรำคาญ "ผมมาในฐานะรุ่นน้อง ไม่ใช่ทนาย" "จะฐานะไหน ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ" "รุ่นพี่" เขาเริ่มเสียงอ่อนลง เพราะอยากจะให้ญาณิญได้เห็นอกเห็นใจ "ผมไม่อยากให้รุ่นพี่ต้องเดือดร้อน อย่าแหย่กรงเสือเลยครับ" "ยิ่งนายพูดแบบนี้ฉันยิ่งไม่อยากยอมแพ้" "ท่านส.ส. อดิศรไม่ใช่คนธรรมดา และผมคิดว่าเราน่าจะต่อรองกันได้" เขาวางกระเป๋าหนังใบใหญ่เบื้องหน้าญาณิญ พร้อมกับช่วยเปิดให้เธอได้สำรวจดูสิ่งของภายใน "เหอะ! เป็นถึงคนดัง รวยเป็นแสนแสนล้าน คิดว่าแค่นี้จะซื้อฉันได้เหรอ" "รุ่นพี่ต้องการเท่าไหร่แลกกับการล้มคดี" เขาจำต้องเปิดประเด็นออกมาอย่างหยั่งเชิง "ฉันลงทุนลงแรงกับคดีนั้นไปไม่น้อย" "ท่านให้ได้มากสุด สิบล้าน" "เห็นว่าฉันกินดินกินหินหรือไง เงินแค่นั้นไม่กี่วันฉันก็หาได้ ถ้าอยากจะมาต่อรองต้องไม่ใช่แค่เศษเงิน" "แค่นี้มันก็มากพอแล้วนะพี่ ถ้าเทียบกับการซื้อชีวิตตัวเอง" 'ปั้ง! ' ญาณิญทุบโต๊ะฉาดใหญ่ "ชีวิตฉันมีค่าแค่นั้นเหรอ! " เธอไม่เคยกลัวอยู่แล้วกับพวกนักการเมือง และผู้มีอิทธิพล "ยังไงฝ่ายของนายก็ผิดอยู่แล้ว นายก็ควรจะยอมๆ ไปซะ" "รุ่นพี่ก็ทำเป็นหลับหูหลับตาไปอีกสักคดีไม่ได้หรือไง ทุกทีพี่ก็ไม่เคยมีปัญหา" "แต่ครั้งนี้ฉันอยากมีปัญหา" พูดพร้อมส่งยิ้มกวนๆ ให้ "ไปบอกท่าน ส.ส. นะ ว่าฉันจะสาวไส้ทุกคนมารวมตัวกันในคุกให้ได้" "รุ่นพี่ก็มีลูกมีเมียไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยพี่ก็น่าจะห่วงครอบครัวตัวเองบ้าง พี่ก็รู้ว่าท่านทำอะไรได้บ้าง" "แล้วไง" "ผมเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมคนรอบตัวถึงเกลียดพี่" "ฉันไม่แคร์อยู่แล้ว" วันชัยขอตัวกลับพร้อมกระเป๋าเงิน ก็แค่อยากมาตักเตือนในฐานะรุ่นน้อง เขาทำงานกับท่านส.ส. อดิศร และรู้ดีว่าเจ้านายเลือดเย็นเพียงใด จึงไม่อยากเห็นญาณิญมีจุดจบแบบคนอื่น แต่คงจะไร้ประโยชน์ เพราะเขาไม่เห็นถึงสายตาสั่นไหวสักนิด ขนาดเอาเรื่องครอบครัวมาต่อรองด้วยแล้ว ญาณิญยังไม่คิดจะเปลี่ยนใจ คะนึงนิจจงใจลงรองพื้นและแป้งหนาๆ ที่ลำคอตนเอง เพื่อปกปิดรอยแดงจากฝีมือญาณิญเมื่อเช้า วันนี้เธอไม่ต้องการจะพันผ้าพันคอ เพราะมันดูขัดแย่งกับสภาพอากาศของเมืองไทย 'ก๊อก ก๊อก' "ขออนุญาตค่ะคุณนิด" เสียงเลขาดังแว่วเข้ามาภายในห้องทำงาน คะนึงนิจรีบเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าลงกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว "คุณตรีประดับมาถึงแล้วค่ะ กำลังจะขึ้นมา" "อืม ขอบใจ เดี๋ยวเตรียมกาแฟดำให้น้องตรีที่นึง และจัดห้องรับรองให้ผู้ติดตามเธอด้วย" "ค่ะ" "เอ่อ.." ก่อนที่เลขาของคะนึงนิจจะออกจากห้องเธอหันมาหาเจ้านายอีกครั้ง "มีอะไร" "น้องส่งอาหารที่ชื่อรินรออยู่ด้านล่างค่ะ คุณนิดจะลงไปพบมั้ยคะ หรือจะให้ดิฉัน.." "แล้วทำไมพึ่งจะบอก" "พอดี เมื่อกี้ ดิฉันติดสายอยู่น่ะค่ะ" "เดี๋ยวฉันจะลงไป เธอต้อนรับน้องตรีไว้ก่อนแล้วกัน" พารินเดินมานั่งรอที่โต๊ะตัวเดิมในห้องอาหารของโรงแรม เพื่อรอคะนึงนิจ ไม่นานหล่อนก็มาถึง แต่ลักษณะเหมือนดูจะรีบร้อน เพราะใบหน้าตื่นๆ พารินแอบสังเกต "รอนานมั้ย" "ไม่ค่ะ" คะนึงนิจยิ้มส่งยิ้มน้อยๆ ให้ ก่อนจะนั่งลง "วันนี้กินข้าวในโรงแรมพี่นะ พี่มีเวลาไม่นาน" "ค่ะ" "เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้เงียบๆ " "เปล่าค่ะ" "ขอเมนูหน่อยจ้ะ" ในเมื่อคนตรงข้ามเอาแต่พูดน้อย เธอจึงต้องเบี่ยงเบนความสนใจ และเปลี่ยนเป็นสั่งอาหารแทน เพราะกลัวจะเสียเวลา "แล้วก็เอาข้าวต้มมัดไปใส่จานให้ที" เธอหมายถึงข้าวต้มมัดที่อยู่ในถุงบนโต๊ะตรงหน้าพาริน ทุกครั้งที่เจอกันพารินมักจะนำมาฝากเธอ พนักงานจึงรีบทำตามอย่างกระตือรือร้น "อยากออกไปข้างนอกเหรอ" คะนึงนิจเริ่มชวนคุย "ไม่เลยค่ะ จะที่ไหนก็ได้ขอแค่มีพี่สาว" "แล้วเป็นอะไร ไม่ได้มาหาพี่หลายวันแล้ว งานเยอะเหรอ หรือว่าไม่สบาย" "เปล่าค่ะ" "เอาแต่ปฏิเสธแบบนี้ แสดงว่ามีอะไรอยู่ในใจใช่มั้ยเนี่ย" "ทำไมถึงรู้ล่ะคะ" "ก็หน้าน้องมันฟ้องไงล่ะ" "พี่สาวมีลูกแล้วใช่มั้ยคะ" อยู่ๆ พารินก็ตัดสินใจโพล่งขั้นมา จริงๆ อยากจะถามออกมาตรงๆ ด้วยซ้ำว่าหล่อน แต่งงานมีสามีแล้วใช่มั้ย ก็เพราะเรื่องนี้ยังค้างคาอยู่ในใจ จากครั้งก่อนที่มีผู้หญิงสูงอายุทักคะนึงนิจด้วยคำว่าลูกสะใภ้ และเพราะคำๆ นั้น จู่ๆ ก็ทำให้พารินหมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ คิดไปต่างๆ นาๆ ว่าคะนึงนิจไม่ใช่สาวโสดเหมือนที่จินตนาการไว้ตั้งแต่แรก ในหัวมีแต่คำว่าเสียใจ ผิดหวัง จนทำให้ไม่อยากเจอหน้าคะนึงนิจอีก ไม่อยากมาสู้หน้า จึงหายไปหลายวัน จนวันนี้ พึ่งจะมาคิดได้ ว่าคะนึงนิจไม่ผิดเลยที่จะมีสามี หล่อนเพียบพร้อม ทั้งฐานะ และความสวย มีแต่ตัวเธอเองเท่านั้นแหละที่บ้าบออยู่คนเดียว "ถ้าอยากรู้ งั้นเราขึ้นไปบนห้องมั้ย ขึ้นไปคุยเรื่องนี้และก็กินข้าวไปด้วย" พารินเดินเคียงไปกับคะนึงนึจถึงห้องพักประจำของคะนึงนิจ พร้อมกับอาหารที่กำลังทยายเสิร์ฟอีกครั้ง "โห.. วิวสวยจัง" พารินนั่งไม่ติด เพราะห้องนี้อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม แถมเมื่อมองผ่านหน้าต่างที่เป็นกระจกบานใหญ่ ก็มองเห็นได้ทั่วแทบจะทั้งจังหวัดกรุงเทพฯ พารินคิดแบบนั้น เพราะไม่เคยพบเจอกับความอลังกาลขนาดนี้ "โรงแรมนี้ของพี่สาวคนเดียวจริงๆ ใช่มั้ย" คะนึงนิจแอบยิ้มกับคำถามมี่ตนได้ยิน "จริงๆ ก็มีผู้ถือหุ้นอีกหลายท่าน ไม่ใช่พี่คนเดียว" "อ๋อ.." พารินพยักหน้าเข้าใจพร้อมคิดตาม "มากินข้าวเถอะ" คะนึงนิจตัดสินใจเรียกคนที่ยืนหันรีหันขวางมาร่วมโต๊ะ เพราะตนเองยังมีเรื่องงานต้องทำต่อ ซึ่งพารินก็ทำตามอย่างว่าง่าย เธอนั่งลงฝั่งตรงข้ามคะนึงนิจ "ทำไมทุกครั้งที่เจอกันพี่สาวกินนิดเดียว" "พี่ก็กินแบบนี้มานานแล้ว" พารินพยักหน้าให้น้อยๆ พร้อมตักอาหารเข้าปาก ราวกับหลงลืมเรื่องในใจ ซึ่งจริงๆ แล้ว เธออยากรู้ใจจะขาด แต่ตอนนี้ดันขี้ขลาด "แล้วเราล่ะ ทำไมวันนี้กินน้อย" "สงสัยจะแปลกที่น่ะค่ะ วิวดีเกิ๊น.."  "แปลกนะ มีแต่วิวดีแล้วจะเจริญอาหาร" "งั้นหนูจะกินเยอะๆ" พูดจบก็ตักอาหารเข้าปากคำใหญ่ เรียกรอยยิ้มจากคะนึงนิจ "นี่! เดี๋ยวก็ติดคอหรอก" จนเธอต้องเอ่ยปราม "อื้มม อร่อยนะคะ อาหารที่โรงแรมพี่สาวอร่อยกว่าที่เราไปกินกันครั้งก่อนอีก" "ก็มากินได้บ่อยๆ บอกำนักงานในห้องอาหารได้เลยว่าเป็นแขกของพี่" "หูยย ไม่เอาหรอกค่ะ กลัวคนจะหมั่นไส้" จีบปากจีบคอบอกออกมา "พี่ก็เริ่มจะหมั่นไส้แล้วสิ" คะนึงนิจพูดออกมาทีเล่นทีจริง "แล้ว.. เรื่องที่ถามพี่ข้างล่าง" "โอ้.. อันนี้อร่อย" จู่ๆ พารินก็โพล่งออกมาราวกับต้องการจะเบี่ยงเบนประเด็นที่คะนึงนิจกำลังจะพูด และคะนึงนิจก็ดูออก จึงไม่เซ้าซี้ เวลาล่วงเลยมาเกือบชั่วโมง มื้ออาหารจบลง พร้อมกับสายฝนที่กระหน่ำเทลงมา "จะกลับเลยเหรอ" คะนึงนิจเป็นฝ่ายถามออกมาก่อนด้วยความเป็นห่วง "ค่ะ ช่วงเย็นคนจะเริ่มสั่งอาหาร" พารินบอกตามตรง "แต่ฝนตกหนักแบบนี้ ไม่กลัวหรือไง" "ยิ่งในตกคนก็ไม่ออกไปซื้ออาหารค่ะ ดังนั้น คนส่งอาหารอย่างหนูจึงมีประโยชน์" "ขยันจังเลยนะ" "ก็ต้องใช้เงินนี่คะ" "จะเอาเงินไปทำอะไร ไม่สิ.. มีภาระอะไรต้องรับผิดชอบหรือเปล่า" "น้องสาวกำลังเรียนค่ะ ยายก็แก่มากแล้ว หนูอยากให้น้องมีอนาคตที่ดี และอยากให้ยายสบาย" เมื่อพูดถึงทั้งสองคนนี้ ก็ทำให้พารินเผลอยิ้มออกมา "งั้น.. พี่มีงานให้น้องรินทำ วันนี้สะดวกมั้ย"  "สะดวกค่ะพี่สาว!" โพล่งออกมาแบบไม่ต้องคิด "ดีเลย" คะนึงนิจเปรยออกมา ก่อนจะก้มมองนาฬิกาข้อมือตนเอง ตอนนี้สี่โมงเย็น "ปกติ รินเลิกงานกี่โมง" "สี่ทุ่มก็ขี่มอไซค์เข้าบ้านแล้วค่ะ" "งั้นพี่จ้างรินหลังจากนี้ไปจนสี่ทุ่ม ชั่วโมงละสองพันพอมั้ย"  เ"โหวว" พารินร้องออกมาอย่างไม่ปิดบัง เพราะเมื่อคำนวนจำนวนเงินที่จะต้องได้แล้วมันมากเกินไป แล้วมีหรือว่าพารินจะปฏิเสธ "ได้เลยค่ะ พี่สาวอยากให้หนูทำอะไร หนูทำได้หมดเลยนะคะ" เมื่อได้ยินแบบนั้นคะนึงนิจก็เผลอยิ้มออกมาด้วยความพอใจ "พี่จะต้องไปประชุม รออยู่ในห้องนี้ก่อนแล้วกัน และถ้าอยากได้หรืออยากกินอะไรก็ยกหูสั่งพนักงานได้เลยนะ" "ค แค่ อยู่ในห้องนี้น่ะเหรอคะ"  "ใช่ ทำตัวตามสบายได้เลย เดี๋ยวพี่กลับมาหา น้องรินจะได้ทำงาน" จากทีแรกคนที่จะต้องออกจากห้องนี้ไปก่อนคือพาริน แต่มันกลับกลายเป็นคะนึงนิจแทนที่เป็นคนเดินออกไปก่อน เธอปล่อยให้พารินอยู่ในห้องโดยเฝ้ารองานที่คะนึงนิจว่าจ้าง ญาณิญกำลังจะก้าวขึ้นรถของตนเอง แต่ก็ต้องเปลี่ยนความสนใจ "เห้ย! อีทนาย" เสียงนี้รบกวนความตั้งใจ "หึ! นึกว่าใคร" เธอเปรยออกมาพร้อมกอดอกมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า "นี่มึงยังกล้าทำปากดีอยู่อีกเหรอ" เขาคือคู่กรณีของญาณิญเมื่อตั้งแต่สมัยเรียน และตลอดไป  "ไม่ต้องยุ่งเรื่องของฉันหรอก และแกควรจะเอาเวลาที่คอยส่งจดหมายมาข่มขู่ฉัน ไปสั่งสอนลูกสาวสำส่อนของตัวเองดีกว่า" เขาคือพ่อของเด็กสาวในคดีพรากผู้เยาว์ พ่วงด้วยเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ทำร้ายร่างกายญาณิญและข่มขืนคีตา "บอกแล้วไงว่าลูกกูถูกข่มขืน!"  "ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็สมควร เพราะพ่อทำอะไรไว้ เวรกรรมก็คงจะตกไปถึงลูกสาว" "มึงพูดอะไร!" ญาณิญเริ่มขยับเดินเข้าใกล้เขาช้าๆ "เมื่อสิบเก้าปีที่แล้ว มึงทำเลวอะไรไว้กับเพื่อนกู เพื่อนกูต้องหมดอนาคตเพราะถูกมึงกับเพื่อนข่มขืน แค่นี้ไม่ไม่สมสมกับเรื่องเลวๆ ที่มึงทำไว้ด้วยซ้ำ" เขาหน้าซีดเผือกทันทีที่ได้ยินเรื่องของตนเอง "ล แล้วลูกกูเกี่ยวอะไรด้วย ทำไมต้องไปลงกับลูกกู มีอะไรก็มาทำกูสิโว้ย" "แบบนั่นมันก็ไม่สนุกน่ะสิ และรู้ไว้เลยนะ ไม่ใช่แค่ลูกมึงที่จะโดน แต่เมียมึง แม่มึง พ่อมึง โคตรเหง้ามึงกูก็ไม่เว้น" พูดพร้อมส่งยิ้มเย็นๆ ให้ คนฟังไม่อาจคุมสติตัวเองได้ เขาควักมีดเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง "งั้นก็ตายซะเถอะมึง" เมื่อเห็นแบบนั้น ญาณิญก็เผลอแสดงออกทางสายตาเล็กน้อยด้วยความตกใจ ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติพร้อมกับดึงสติตัวเอง พยายามมองรอบข้าง "หึ! มีปัญญาทำได้แค่นี้เหรอ คิดจะฆ่าฉันด้วยมีดโสโครกเล่มแค่นั้น" ไม่ได้พูดเปล่าญาณิญยังทำเป็นเดินเข้าใกล้เขาช้าๆ ซึ่งเขาก็ดูจะตกใจกับท่าทางก้าวย่างสามขุมของญาณิญ "เห้ย! อย่าเข้ามานะเว้ย ไม่งั้นกูแทงจริงๆ นะมึง" "เอาซี้ ถ้ากล้าก็เอาสิ เอาเล้ย!" 'ฉึก!' และเขาก็ทำจริงแบบที่ไร้ซึ่งสติ  'ว้าย!' ญาณิญร้องเสียงหลง ก่อนจะแสร้งล้มลง เพียงแค่ถูกปักมีดลงที่หัวไหล่  เขารีบทิ้งมีดลงพื้นทันทีด้วยความตกใจ เวลานี้ผู้คนเริ่มทยอยลงจากตึกเพื่อจะเดินทางกลับบ้านเพราะเลิกงาน "ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ฉันถูกทำร้าย ช่วยด้วยค่ะ" เสียงญาณิญร้องลั่น เพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่นานผู้คนบริเวณรอบ ก็ตรงมาทางเธอ  และตัวผู้กระทำก็หนีไปทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD