ขณะที่ก้าวออกมาด้านหลังกระโจม เขาก็ขึ้นควบอาชาศึกโดยสั่งห้ามไม่ให้มีผู้ติดตามรวมถึงองครักษ์ บรรยากาศในยามบ่ายแก่ๆ เย็นสบาย แสงอาทิตย์งดงามชวนให้คิดถึงความสำราญใจเมื่อเขาเป็นหนุ่มน้อย และได้อยู่ใกล้ชิดเหล่าหญิงงาม
ทั้งที่ต้องการขี่ม้าอย่างสงบเพื่อชมดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ แต่เสียงหวีดร้องที่ดังจากในป่าทำให้เขาขุ่นใจ ภาพเบื้องหน้าคือสาวงามหลายนางวิ่งกระหืดกระหอบหนีตาย โดยฝีมือกลุ่มทหารจากต้าหลาง แน่นอนว่ามันไม่ใช่คำสั่งของเขา การข่มเหงผู้อ่อนแอกว่ามู่ชิงซานไม่นิยม เขาเพียงแค่ต้องการนางบำเรอ และสตรีที่สนใจคือฟ่านเยี่ยฉี เมื่อเห็นภาพดังกล่าวเบื้องหน้า ย่อมแสดงว่าคำสั่งของเขามีผู้บิดเบือน จนเป็นเหตุให้ทหารปลายแถวพรากลูกสาวชาวบ้านเพื่อไปย่ำยี
ดวงตาดุจพญานกอินทรีมองเหตุการณ์บนหลังม้าเงียบๆ ทหารหลายนายกำลังไล่ต้อนสาวชาวบ้านที่หาของป่า และสตรีนางใดถูกจับตัวได้ก็นำตัวขึ้นรถม้าคันใหญ่ และจุดหมายคือการเป็นโสเภณีในค่ายทหาร แต่แรกเขาหวังจะสั่งสอนพวกทหารปลายแถวเสียเอง ทว่าหากด่วนลงมือจะทำให้เขามิอาจทราบว่าใครเป็นผู้บงการ ดังนั้นเรื่องนี้เขาคงให้หยวนซางสืบในภายหลัง
ชายหนุ่มบังคับม้าให้หมุนตัวไปอีกด้าน เขาควบขี่ต่อไป กระทั่งพบกับร่างหนึ่งที่วิ่งกระหืดกระหอบหนีตายมา ร่างนั้นเป็นสตรีรูปร่างอรชร ทว่าเสื้อผ้านั้นขาดวิ่น จึงเผยเห็นหัวไหล่นวลเนียนและหน้าอกหน้าใจอันอวบอิ่มสองเต้านั้นเด้งไหวตามการเคลื่อนตัว ทว่าพอนางเงยหน้าขึ้นมองมาทางเขา ดวงตาคมกริบพลันประหลาดใจ ยามนั้นหัวคิ้วเข้มๆ ของเขาขมวดมุ่นใบหน้านั้นหาใช่สาวงาม!
ฟ่านรั่วเจี๋ยไม่อยากเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ แต่เมื่อมีหมากตัวสำคัญหลุดเข้ามาอยู่ในมือก็เหมือนสวรรค์ชี้ทางสว่าง และนางจำเป็นต้องรักษาบ้านเกิดของตน ยามนี้กองกำลังของเกาเจียวหั่วซุ่มตัวอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมือง นางต้องหาวิธีแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายนี้ด้วยการส่งข่าวแก่เขา เพราะภายในแคว้นหมิงมีไส้ศึกที่พร้อมเปิดประตูเมืองให้แก่พวกต้าหลาง ซึ่งนางจะยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ด้วยทุกชีวิตจะไร้ซึ่งอิสรภาพ อีกทั้งสตรีที่อยู่ในตำหนักซึ่งไร้คนเหลียวแล ไม่มีอำนาจใด ย่อมถูกปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
แต่ระหว่างทางที่นางพยายามไปให้ถึงกองกำลังของเกาเจียวหั่วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน สตรีชาวบ้านหลายคนถูกพวกทหารเลวไล่ปลุกปล้ำ ตัวนางไร้วรยุทธ์แต่ไม่ใช่พวกที่จะงอมืองอเท้าเห็นคนอ่อนแอกว่าถูกข่มเหง
“ปล่อยพวกนางเสีย พวกเจ้ายังเป็นชายอกสามศอกอยู่หรือไม่”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่แค่อกสามศอก น้องชายข้ายังยาวใหญ่ดั่งม้าศึก เจ้าอยากพิสูจน์หรือไม่” ทหารกลุ่มนั้นมองสตรีตรงหน้า นางนุ่งชุดคล้ายหมอยา สวมหมวกและมีตาข่ายอำพรางใบหน้า กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่าทรวดทรงเย้ายวนใจโดยเฉพาะหน้าอกนางซึ่งอวบอิ่มสะดุดตา
“ก่อนที่เจ้าจะได้แสดงให้ข้าได้เห็นว่าขาที่สามของเจ้ายาวใหญ่และแข็งแกร่ง ข้าเกรงว่ามันคงเน่าจนต้องตัดทิ้งเสียก่อน” ฟ่านรั่วเจี๋ยเอ่ยจบจึงล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ ในมือนางมีขวดเล็กๆ พอเปิดจุกออกก็มีกลิ่นของสมุนไพรลอยออกมา จากนั้นไม่นานด้วงกว่างหลายสิบตัวก็บินเข้าไปรุมจัดการทหารต้าหลาง
“จะ...เจ้าเป็นนางมารโดยแท้!” ทหารโฉดเอ่ยออกมาเช่นนั้น และเกิดความโกลาหลในเวลาต่อมา
ฟ่านรั่วเจี๋ยใช้ช่วงเวลาดังกล่าวหลบหนีไปด้วย แต่ถึงนางจะคล่องแคล่วเพียงใดทว่ามิอาจสู่แรงบุรุษ อีกทั้งคนพวกนั้นยังเป็นทหารเสียด้วย หัวไหล่บางถูกกระชากจากด้านหลัง ตัวนางลอยหวือหล่นลงไปตกอยู่บนผืนหญ้าที่มีหนามแหลมคม
“เจ้าทำให้ข้าต้องเสียเวลา ฉะนั้นเย็นนี้ข้าจะชดเชยทุกสิ่งที่เสียไปกับเจ้าแทน เป็นเมียข้าก่อน จากนั้นก็แขวนป้ายรับแขกในค่ายทหาร”
“ยะ...อย่า ข้ามีหน้าที่นำจดหมายไปส่งมอบให้แก่ชินอ๋องชิงซาน” นางประกาศออกไปเพื่อหวังป้องกันภัย
“เหลวไหล เจ้าเป็นใครถึงจะได้รับเกียรติสำคัญนั้น”
“แต่ข้ามีสิ่งนี้” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะแสดงป้ายหยก มือใหญ่ของทหารเลวได้ต่อยเข้าที่ท้องน้อยของนางด้วยต้องการทำให้สิ้นฤทธิ์
ฟ่านรั่วเจี๋ยรู้สึกปวดมวนท้อง อาการดังกล่าวส่งผลให้นางมิอาจขยับตัวหนีไปไหน
“อยากเป็นจอมยุทธ์หญิงพิทักษ์คุณธรรมใช่หรือไม่ ข้าชอบนักสตรีดื้อด้าน ไม่กลัวความตาย”
ทหารคนเดิมแลบลิ้นน่าเกลียด ดวงตาของมันวาววามและมองฟ่าน-รั่วเจี๋ยด้วยความหื่นกระหาย
“บัดซบ เจ้ามันก็แค่เศษสวะ คิดว่าจะข่มเหงข้าได้รึ”
“ฮ่าๆ เหตุใดจะไม่ได้ ตอนนี้ใครกันที่ขึ้นคร่อมเจ้าอยู่” มันว่าและฉีกเสื้อผ้านางอย่างไม่ปรานี ตามด้วยการดึงหมวกตาข่ายออก
ดวงตากลมโตของฟ่านรั่วเจี๋ยแดงก่ำ นางมองคนเลวแสนกักขฬะอย่างชิงชัง
“เอ ไฉนถึงมีผ้าปกปิดใบหน้าเอาไว้อีก เจ้าเป็นใครกันแม่นางน้อย”
ทหารโฉดเอ่ยถาม มือใหญ่ข้างหนึ่งพยายามกระชากเสื้อผ้าออกจากร่างนาง พอฟ่านรั่วเจี๋ยดิ้นขัดขืนมันก็คิดจะตบลงบนหน้านาง
“ดิ้นแรงๆ อย่างนี้ เดี๋ยวข้าจะจัดการให้สาสมความพยศของเจ้า แต่ก่อนอื่นขอชมใบหน้างามๆ นี้ก่อนว่าคุ้มค่าเหนื่อยแค่ไหน”
มันเอ่ยจบจึงดึงผ้าผืนบางที่นางผูกติดใบหน้าออก และพริบตาต่อมาเสียงร้องโหยหวนพลันดังลั่น
“ผะ...ผีหลอก!”
ทหารผู้นั้นเกือบเสียสติ ภาพที่ประจักษ์ต่อสายตามันยากลบเลือนได้ง่ายๆ ราวกับเป็นคำสาปร้ายที่จะติดตัวมันไปจนวันตาย
“อัปลักษณ์โดยแท้ เจ้าช่างเสียชาติเกิด ข้าสมควรควักลูกตาทิ้ง!”
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหยียดหยามจึงทำให้นางได้สติกลับคืน
ฟ่านรั่วเจี๋ยสบโอกาสที่อีกฝ่ายตกใจ นางใช้เข่ากระแทกเข้ากลางจุดบอบบางใต้แท่งหยกของมัน เป็นเหตุให้ทหารคนนั้นจุกเจ็บ พอมันดิ้นปัดไปมาบนพื้น นางเลยเคลื่อนตัวหนีและมุ่งหน้าตั้งใจไปส่งข่าวให้แก่แม่ทัพเกา
“จับตัวนางไว้ อย่าให้หนีรอดไปได้”
เสียงที่ดังก้องจากด้านหลังมิอาจทำให้ฟ่านรั่วเจี๋ยหยุดฝีเท้าตน นางต้องไปให้ถึงกำแพงเมืองทางทิศใต้ซึ่งมีกองทัพของแคว้นหมิง แล้วส่งข่าวให้แก่แม่ทัพหนุ่มเกาเจียวหั่วทราบว่านางจับตัวชายผู้หนึ่งเอาไว้ได้
ทว่าความตั้งใจของนางคงไม่เป็นผล เมื่อวิ่งไปได้ราวๆ ครึ่งลี้ เบื้องหน้าก็มีทหารของต้าหลางปิดล้อมทางเอาไว้ ดังนั้นนางจึงมิอาจฝ่าไปได้ จำเป็นต้องวิ่งหลบไปอีกทาง
หัวใจนางเต้นแรงเหลือเกิน ในหัวคิดถึงแม่ทัพเกา ยามนี้นางกำลังเดินหมากครั้งสำคัญ ซึ่งต้องใช้ทั้งชีวิตเดิมพัน