บทนำ
ณ แคว้นหมิง ฟ่านรั่วเจี๋ยออกมาเก็บสมุนไพรเพื่อปรุงตำรับยาสูตรลับ พร้อมตามหาแมลงเต่าทองกับด้วงกว่าง ยามนี้นางอยู่ห่างจากกำแพงเมืองพอสมควร หญิงสาวเพลิดเพลินใจอยู่นานกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงม้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
เมื่อสืบเท้าไปข้างหน้าเพื่อดูว่าเกิดสิ่งใด หัวใจพลันหล่นวูบไปอยู่ตรงปลายเท้า ภาพที่เห็นคือหายนะครั้งใหญ่ในชีวิต สองมือเรียวงามชื้นไปด้วยเหงื่อ และการเคลื่อนไหวของชายฉกรรจ์เหล่านั้นซึ่งประจักษ์ต่อดวงตากลมโตส่งผลให้สมองขาวโพลนชั่วขณะ
ชีวิตที่อยู่อย่างระแวดระวังภัยมาโดยตลอดนับแต่มารดาสิ้นใจในสภาพ‘คนหมู’ ซึ่งถูกทำให้ตายอย่างอนาถด้วยการตัดหู ปาก จมูก รวมถึงมือและเท้า แล้วโยนลงกองอาจม ถึงนางจะยังเด็กในช่วงเวลานั้น แต่เสียงร้องของมารดายังกรีดก้องในหัวยามนึกถึง ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฟ่านรั่วเจี๋ยจึงมิอาจไว้ใจผู้ใด
และสถานการณ์ตรงหน้านี้นางคาดคะเนว่าคือภัยร้ายต่อคนในแคว้นหมิง แน่นอนมันย่อมส่งผลกระทบถึงนางด้วย ตอนนี้กองกำลังของทหารผู้มาเยือนมีมากจนนับไม่ถ้วน ธงประจำตัวสีดำมีอักษรสีแดงโลหิตโดดเด่นซึ่งแจ้งชัดว่าผู้นำทัพเป็นถึงชินอ๋องแห่งแคว้นต้าหลาง เขาคือชายผู้ที่ถูกขนานนามว่า ‘อ๋องปีศาจหรือหมาป่ารัตติกาล’ คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ราวแปดฉื่อ[1] คือชายผู้กระหายสงครามที่ผีเห็นยังหวั่น โดยเล่าขานกันว่า เขาดื่มเลือดและกัดกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร!
มู่ชิงซาน คือชื่อของเขา เพียงแค่เอ่ยถึงฟ่านรั่วเจี๋ยก็ขนลุกไปทั้งสรรพางค์กาย และนางได้ยินผู้คนโจษขานถึงความโหดเหี้ยมของเขามาช้านานชินอ๋องผู้นี้ต้องการประกาศศักดาของแคว้นต้าหลาง เขาหวังครอบครองแคว้นหมิง แผ่นดินที่มีอารยธรรมมายาวนานหลายพันปี อีกทั้งการแพทย์เจริญก้าวหน้า นับเป็นขุมทรัพย์ของอีกเจ็ดแคว้นที่เหลือ
วันนี้นางโชคร้ายเหลือเกินที่ได้เห็นชายตัวโตนั่งอยู่บนหลังม้าศึก เขาสวมหน้ากากเหล็กซึ่งตอกสลักเป็นรูปหัวหมาป่า ดูดุดันน่าเกรงขาม ความสงสัยใคร่รู้ไหลวนอยู่ในหัวฟ่านรั่วเจี๋ยจนก่อเกิดความเครียดมหาศาล เหตุใดมู่ชิงซานจึงยกกำลังมาที่นี่ ด้วยมีข้อตกลงระหว่างเจ็ดแคว้นว่าห้ามมิให้ยึดครองแคว้นหมิง พร้อมให้อิสระในการปกครองตนเองโดยไม่ต้องขึ้นตรงต่อแคว้นใด
จากนั้นความรู้สึกเย็นเยียบก็เข้าปกคลุมจิตใจหญิงสาว หากเกิดศึกสงคราม นางจะเอาตัวรอดอย่างไร แผ่นดินที่นางเกิดอ่อนด้อยเรื่องการศึกกว่าทุกแคว้น นอกจากนั้นพืชผักและสมุนไพร รวมถึงสัตว์หลายชีวิตที่นางเลี้ยงไว้ อาจถูกจับไปเป็นของบรรณาการแก่เหล่าทหารเลวต่างบ้านต่างเมืองเพียงแค่คิดนางก็ครั่นคร้ามใจ
สองขาของฟ่านรั่วเจี๋ยรีบก้าวหนีกลิ่นอายชั่วร้าย นางกึ่งก้าวกึ่งวิ่งอย่างรวดเร็ว กระทั่งเจียนถึงปากถ้ำเล็กๆ มันคือทางลับเข้าสู่ตำหนักซึ่งเป็นที่อยู่ของตน เป็นห้วงเวลาเดียวกันที่จู่ๆ มีร่างหนึ่งเซถลาเข้ามาปะทะนางก่อนอีกฝ่ายจะเสียหลักล้มพับลงต่อหน้า
หัวใจหญิงสาวหล่นหาย ฟ่านรั่วเจี๋ยมองร่างดังกล่าวด้วยความประหลาดใจ ชายผู้นี้สูงเพรียว มีผ้าดำปกปิดใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ กระนั้นดวงตาดำขลับกับคิ้วเรียวสวยได้แจ้งชัดว่าเขางามกว่าบุรุษทั่วไป เมื่อเขาค่อยๆดึงผ้าปิดหน้าออก ฟ่านรั่วเจี๋ยก็เหมือนถูกสะกดจุดให้นิ่งค้าง
ริมฝีปากบางของเขาเป็นกระจับงาม จมูกโด่งเป็นสัน พิศแล้วชวนให้หลงใหล ผิดแต่ยามนี้ใบหน้าเขาไร้สีเลือด มันขาวซีดราวกับได้รับอันตรายเจียนจะทำให้สิ้นชีพ
“ชะ ช่วยข้าด้วย แม่นาง ข้ามิอาจตายอย่างสูญเปล่า”
หญิงสาวนึกชั่งใจ คราแรกอยากก้าวหนี แต่ด้วยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บจึงไม่อาจเพิกเฉย หากผู้ใดต้องการมีชีวิตและไม่สมควรตาย นางคงต้องยื่นมือช่วยเหลือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูก็ตาม
“หากช่วยท่าน ข้าจะมีความผิดหรือไม่” ฟ่านรั่วเจี๋ยถามออกไป แน่นอนนางย่อมต้องการคำตอบที่น่ารับฟัง
“แม่นาง ได้โปรดจงเห็นแก่ชีวิตผู้คน อย่าให้มีใครต้องล้มตายเลย รีบนำป้ายหยกนี้ไปส่งให้ถึงมือชินอ๋องชิงซาน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินการ!!”
เขาเอ่ยจบจึงกระอักเลือดออกมา และยามนี้เขาตกอยู่ในเงื้อมมือของสตรีซึ่งไม่ใช่พระโพธิสัตว์หรือเทพเซียน หากนางคือ...ฟ่านรั่วเจี๋ยอัปลักษณ์แห่งตำหนักเย็น!
มู่ชิงซานผู้ดำรงตำแหน่งชินอ๋องแคว้นต้าหลาง นำทหารสามหมื่นชีวิตมาตั้งฐานทัพอยู่ไม่ห่างจากประตูเมืองแคว้นหมิง การยกทัพมาครั้งนี้ทำตามความประสงค์ของฮ่องเต้มู่เส้าซือผู้เป็นบิดา
เกือบสองปีที่ผ่านมามีรายงานถึงความกระด้างกระเดื่องของแคว้นหมิงมิขาด อีกทั้งผู้นำยังคิดร่วมมือกับสิบสองเผ่าคนเถื่อนเพื่อจะได้มีความเข้มแข็งทางการศึกดั่งเช่นแคว้นอื่นๆ ดังนั้นมู่ชิงซานจำเป็นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ห้ามมิให้แผ่นดินนี้ได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มกำลังใดๆ ด้วยอาจส่งผลร้ายในภายภาคหน้า
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่กลางกระโจมบัญชาการแม่ทัพสายตาคมกริบจ้องแผนที่จำลองการออกศึก ก่อนหันไปมองภาพวาดสาวงามที่บุรุษทั่วหล้าต่างหมายปอง
“เหล่าสาวงามที่อ๋องชิงซานต้องการมาแล้วขอรับ” หยวนซางเอ่ยขึ้นอีกฝ่ายคือผู้ติดตามเขา เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นกุนซือประจำตัวมู่ชิงซาน หลายครั้งยังทำหน้าที่เงาให้แก่เขาด้วย
“ในนั้นมีองค์หญิงเยี่ยฉีหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถาม องค์หญิงใหญ่เยี่ยฉีนับว่าเป็นไซซีล่มเมือง นางคือผู้อยู่เบื้องหลังการแข็งข้อต่อแคว้นต้าหลางดังนั้นเขาจึงอยากปราบความโอหังของนางลง
“เกรงว่าจะทำให้ท่านอ๋องกริ้ว องค์หญิงเยี่ยฉีบอกว่าให้ประทานแพรขาวสามฉื่อหรือไม่ก็เหล้าพิษ ด้วยนางไม่ต้องการมารับใช้ท่าน”
มู่ชิงซานรู้ว่าที่นางกล่าวเช่นนั้นเพียงต้องการโก่งค่าตัวและหาทางถ่วงเวลา นางคงคิดว่าตนเก่งและเหนือกว่าผู้ใด ทว่าคนอย่างเขาไม่เคยยอมให้สตรีนางใดยื่นข้อเสนอมาต่อรอง
“ฮ่าๆ นางจะไม่ได้สิ่งใดจากข้า แต่จะถูกข้ามัดมือแล้วตีให้ขาหัก สั่งคนให้จับตัวนางมาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะบุกเข้าไปหานางด้วยตัวเอง”
หยวนซางตกใจต่อคำพูดมู่ชิงซานจึงรีบเอ่ยค้าน
“ท่านอ๋อง เพียงแค่เรามาตั้งกองทัพเช่นนี้ก็บีบบังคับแคว้นหมิงเกินไปแล้ว ชาวเมืองต่างหดหัวอยู่ในบ้าน หากท่านต้องการได้ใจคนที่นี่ ควรให้พวกเขายอมแพ้แต่โดยดี ตามแนวทางของอ๋องหรูซื่อ” หยวนซางเป็นสหายมู่หรูซื่อ น้องชายมู่ชิงซาน ทั้งสองสนิทกัน หยวนซางเห็นว่ามู่หรูซื่อมีความประนีประนอมสูง ผิดกับคนเป็นพี่ชายที่มักมองว่ามู่หรูซื่ออ่อนแอ ทั้งนี้คงเป็นเพราะเขาได้นิสัยบิดา และฮ่องเต้มู่เส้าซือแห่งต้าหลางมีเมตตาสูง ซึ่งหลายครั้งนำมาซึ่งภัยใหญ่น้อยในหมู่เครือญาติ
“บ้านเมืองที่อดีตผู้ปกครองบ้าตัณหาจนเกือบถูกข่านแห่งสิบสองเผ่าคนเถื่อนยึด พอหมิงอ๋องคนใหม่นั่งบัลลังก์ก็ไร้ซึ่งความเข้มแข็งเพราะถูกพี่สาวกุมอำนาจไว้ในมือครึ่งหนึ่ง หากปล่อยไว้นานกว่านี้ แคว้นหมิงคงล่มสลาย นับว่าบิดาข้ามองการณ์ไกลที่ให้ข้ามาเตรียมรับมือสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้ข้าไม่เข้าไปจัดการหมิงอ๋องและพี่สาวของเขาให้ยอมก้มหัวสวามิภักดิ์ ก็นับว่าเห็นแก่สัญญาที่ทั้งเจ็ดแคว้นเคยลงนามไว้มากแล้ว”
หยวนซางถอนหายใจแรงๆ เขามิอาจเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มได้ ตอนนี้คงต้องรอให้มู่หรูซื่อกลับมาเสียก่อน ฝ่ายนั้นคงมีวิธีทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด ทว่าผ่านไปหลายชั่วยาม เหตุใดองค์ชายสามแห่งแคว้นต้าหลางยังไม่ปรากฏตัว
“หามิได้ท่านอ๋อง อย่างไรข้าคงขอให้ท่านทบทวนเรื่องนี้ใหม่”
“เฮ้อ ข้าเบื่อที่จะฟังเจ้า หากไม่มีสาวงามเป็นที่พอใจ ข้าจะยิ่งหงุดหงิดกว่านี้”
หยวนซางเข้าใจอารมณ์ผู้เป็นนายดี เขาชอบความงามของสตรีพอๆกับการกรำศึกหนัก มู่ชิงซานถือดาบกวัดแกว่งฟาดฟันศัตรูพร้อมเสพสมกับสตรีก็เคยกระทำมาแล้ว แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ คนที่เขาต้องการกลับขู่จะฆ่าตัวตาย
“หากเจ้าพาตัวเยี่ยฉีมาไม่ได้ จงไปคัดเลือกสาวงามในแคว้นหมิงมาอีกหากข้าพึงใจนางใดก็จะใช้เป็นนางบำเรออุ่นเตียง แต่ถ้าไม่ได้เรื่อง จงโยนพวกนางให้ไปรับใช้ในค่ายทหารเถอะ!” คนที่มีอำนาจสูงสุดในกองทัพประกาศเสียงดัง
มู่ชิงซานก้าวออกจากกระโจมขนาดใหญ่ เขาเบื่อหน่ายอย่างหนักแผ่นดินหมิงไม่มีสิ่งใดชวนให้อภิรมย์ คราแรกตั้งใจเข้าไปยึดที่นี่ แต่บิดาสั่งให้ซื้อใจพวกคนขี้ขลาดเอาไว้ อีกทั้งไม่อยากมีปัญหากับแคว้นที่เหลือ ดังนั้นมู่หรูซื่อจึงอาสาเข้าไปเจรจากับหมิงอ๋องด้วยตนเอง
และถ้าหากต้องทำศึกกันจริงๆ แคว้นหมิงที่เล็กอาจได้รับความเสียหาย เขาจำเป็นต้องรักษาแผ่นดินนี้ไว้ไม่ให้บอบช้ำ เพราะเป็นสถานที่ซึ่งปลูกสมุนไพร อีกทั้งพืชผักผลไม้งอกงาม อากาศไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไปมีแม่น้ำไหลผ่านเหมาะแก่การทำเกษตรและค้าขาย ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือต้องทำให้ชาวเมืองยอมก้มหัวให้โดยไม่ใช้กำลังเข้าข่มเหง
ซึ่งในอนาคตเขาหวังจะให้ชาวหมิงส่งบรรณาการให้แก่ต้าหลาง และเป็นสถานที่สำคัญเพื่อให้เขาใช้ตั้งกองทัพเพื่อยกไปปราบสิบสองเผ่าคนเถื่อน
[1] แปดฉื่อ = 181.6 - 184.8 เซนติเมตร