ร่างบางคิดไปเองว่าคุณชายผู้นี้นั้นคงมิใคร่แข็งแรงนัก นางมีใจใคร่สงสารคนขึ้นมาจึงขยับกายเข้าไปป้อนข้าวคนอีกครั้ง ช้อนดินเผาป้อนลงไปที่ปากแดงๆนั้นอย่างมิรู้ความใด บุรุษลืมดวงตาใสกระจ่างมองนางขึ้นมาแล้วอ้าปากได้รูปขึ้นมาน้อยๆ ค่อยๆกลืนอาหารลงไปอย่างเชื่องช้ามากที่สุดจนคนนั้นหวั่นใจขึ้นมา
“คุณชาย ท่านต้องพยายามทานอาหารให้ได้นะเจ้าคะ แถวเรือนข้านั้นเมื่อป่วยไข้ทานข้าวมิได้ มินานก็หมดแรงไป ท่านนั้นยังหนุ่มแน่นมิสมควรที่จะต้องมานอนเป็นผักอยู่เช่นนี้ “
“อรืม ข้านั้นจะระมัดระวังให้ดี “
บุรุษอ้าปากรับอาหารไปช้าๆยื้อเวลารอคอยจนบิดาของตนเองนั้นมาพบเข้า ท่านแม่ทัพฉู่ตาโตและแอบยืนมองบุตรชายของตนเองนั้นทำท่าทางป่วยไข้มิสบายตนอย่างขบขันในใจ
“เฮอะ มิน่าเล่า ค้นหาสตรีใดๆให้ก็มิชมชอบซักครา ที่แท้แล้วเจ้าลูกพยัคฆ์ร้ายกำลังจะเล่นตนเป็นเสือน้อยห่มหนังแกะอยู่นั่นเอง “
แม่ทัพฉู่หัวเราะเบาๆ ยืนกอดอกมองชมเจ้าบุตรชายตัวร้าย ที่กำลังหลอกลวงสตรีอยู่อย่างน่ามิอายตน ทั้งที่ตัวโตเช่นนั้นแต่กลับทำท่าห่อไหล่และกายสั่นไหวทุกคราที่มีแรงลม สตรีโง่งมนั้นก็เร่งช่วยขยับผ้าห่มให้ราวกับว่าลืมตนเองไปสิ้นว่าหญิงชายนั้นมิควรจะใกล้ชิดกัน แม่ทัพฉู่อารมณ์ดีขึ้นมาหลังจากออกไปสอบสวนความทุจริตในเมืองหลวงอย่างเคร่งเครียด
ยามแรกคิดว่าจะกลับมาก่นด่าบุตรชายเข้าเสียหน่อย ในยามนี้กลับคิดว่าเมื่อบุตรชายนั้นรู้จักหน้าที่ของตนเองแล้ว ก็มิต้องว่ากล่าวกันต่อไป ยามนี้เพียงขยับกายไปสอบถามพ่อบ้านข้างกายตนและให้รายงานทุกสิ่งเกี่ยวกับสตรีผู้นี้เท่านั้นเอง
“สตรีผู้นี้เป็นบุตรของสกุลชุนที่ตกอับมาขายซาลาเปาที่ตลาดถัดไปมิไกลจากจวนของเราขอรับ นางคือบุตรสาวของผู้นำสกุลชุน แต่ทว่าติดขัดการเงินเล็กน้อยเพราะสกุลรองนั้นมีบุตรชายสี่คนและต้องใช้เงินทองมากมายในการมาสอบที่เมืองหลวง ทั้งยังถูกสำนักตำราปี๋ซวนนั้นหลอกลวงขายตำราในราคาแพง ชนชั้นล่างและชั้นกลาง รวมถึงผู้ที่เดินทางมาจากสำนักที่มิมีสำนักศึกษาที่ดี จึงเกิดขัดสนกันขึ้นมา ด้วยนางเป็นเพียงบุตรสาว เช่นนั้นบิดาของนางจึงใช้เงินทุนนั้นช่วยเหลือพี่น้องของตนเองเพื่อผลักดันหลานชายสกุลรองให้สามารถสอบเข้าในเมืองหลวงได้ขอรับ “
“อรืม เช่นนั้นหรือ อีกมินานจะมีการสอบจ้วงหยวนแล้วหากว่าสกุลชุนนั้นสอบเข้าในราชสำนักได้ ก็นับว่ามีผลดีกับสกุลชุนอย่างแน่นอน นางจะมีค่ามีราคาขึ้นมาในยามนั้น เช่นนั้นก็ให้อ้าวเหิงนั้นทดลองเป็นแกะให้นางสงสารไปเสียก่อน จนถึงยามที่นางนั้นเหมาะสมแล้วค่อยให้หมั้นหมายกันอีกคราก็ยังมิสายจนเกินไปนัก “
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
“ไปบอกคุณชายของเจ้าเสียว่าถ้าหากสอบเข้ากองทัพได้ในปีนี้แล้วได้คะแนนสูงที่สุด ข้านั้นจะมิบีบบังคับให้แต่งงานกับสตรีในเมืองหลวงอีก จะแต่งกับสตรีบ้านป่าผู้ใดแถบชายแดนก็ย่อมได้ทั้งนั้น “
แม่ทัพฉู่เอ่ยคำโป้ปดออกไปอย่างนั้น มีหรือที่บุตรชายคนโตในสายตรงสกุลฉู่จะให้มีสตรีบ้านป่าทั่วไปได้จริงๆ
ในยามนี้เพื่อบังคับบุตรแสนเกียจคร้านให้ออกแรงบ้าง จึงต้องงัดไม้ตายออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์เสีย และเมื่อคุณชายฉู่ได้ยินเช่นนั้นก็ปรายดวงตามาทางพ่อบ้านเบาๆ ยกชาขึ้นมาดื่มและดอมดมอย่างพึงใจขึ้นมาและเอ่ยวาจาออกไปอีกครั้ง
“ท่านพ่อบ้านใหญ่ท่านวางใจเถิด สกุลฉู่จะมิได้ดอกไม้ป่าทั่วไปเช่นนั้นหรอก สิ่งที่จะปลูกได้ในจวนนี้ต่อไปคงจะมีเพียงแต่แค่ดอกไห่ถัง ท่านวางใจเถิด หึ หึ หึ “
คำตอบของคุณชายทำให้อาเป่ยอมยิ้มขึ้นมา ก็จวนนี้จะไปมีที่ใดที่จะปลูกดอกไห่ถังได้เสียอีกเล่า นอกจากเพียงที่ว่างๆที่เหลืออยู่ในใจของคุณชายใหญ่เพียงเท่านั้นเอง และที่ว่างในนั้นคงจะต้องเติมเต็มในเร็ววันเสียอีกด้วย
คุณชายนั้นดูจะล่อลวงนางไปทุกวัน เพียงทานอาหารของนางไปแค่สามสี่วัน คุณชายก็จะหาทางกินนางในเร็ววันนี้ไปเสียแล้ว หากว่าปั้นซาลาเปาได้ คุณชายคงไปปั้นแทนนางและช่วยนางนั้นเช็ดมือให้ด้วยเสียอีกล่ะ อาเป่ยคิดนินทานายของตนในใจ ก่อนที่จะหลบดวงตาของคุณชายหนีไปเสีย
“ส่งคนไปติดตามนางเอาไว้ให้ดี อย่าให้ผู้ใดรู้เล่าว่าข้านั้นได้หมายตานางเอาไว้แล้ว มิแน่ว่าผู้ที่หวังให้สตรีในเรือนตนแต่งเข้าสกุลฉู่จะมีอยู่มิน้อย นางยังมิควรจะได้รับอันตรายในยามนี้ “
“ขอรับ ผู้น้อยจะให้คนของเราระมัดระวังดูแลนางให้ดี วันนี้ก็ส่งสตรีแฝงกายไปช่วยนางปั้นซาลาเปาแล้วขอรับ “
“อรืม หากนางเหนื่อยมากก็ให้คนของเรานั้นลดจำนวนซื้อลงมาเถิด อย่างไรหากคุณชายทั้งสี่นั้นมีความเก่งกาจจริงๆย่อมจะสอบได้ในปีนี้แน่ บีบให้นางอ่อนแรงลงหน่อยก็ดี บิดาของนางจะได้มิมีข้อปฎิเสธใดให้มากนัก “
คุณชายฉู่หมายความถึงในยามที่จะสู่ขอนางหรือหมั้นหมายนางเอาไว้ บิดาของนางยากจนเล็กน้อยก็จะยินยอมปล่อยนางให้เข้าปากตนเองโด้โดยง่ายดายขึ้น อาเป่ยใบหน้าเลี่ยนน้อยๆคิดว่าคุณชายนั้นช่างร้ายกาจขึ้นทุกที คิดแล้วก็เร่งออกไปสั่งคนให้ทำตามคำสั่งของคุณชายไปทั้งสิ้น
เมื่อยามถัดมาร้านซาลาเปาของนางนั้นมีคนมาต่อแถวซื้อไปน้อยลง คุณหนูชุนเลยต้องมุ่งมั่นกับการแสดงฝีมือทำอาหารให้คุณชายฉู่ถึงในครัว และในวันนี้มีน้ำแกงปลากับเต้าหู้ผัดสามรสและอาหารอ่อนสามสี่อย่าง
คุณชายฉู่ก็ออกมานั่งทานอาหารกับบิดาที่ในห้องโถงใหญ่เอ่ยสนทนากันไปเบาๆ และที่น่าแปลกตาก็คือ ในยามนี้นางนั่งอยู่ติดคุณชายและนั่งตัวลีบอยู่ในโต๊ะอาหารที่มีผู้คนของสกุลฉู่มากมายพร้อมหน้ากัน
“ท่านพ่อขอรับ ลูกขอแนะนำคุณหนูชุน คุณหนูชุนมาเป็นแม่ครัวให้ลูกได้หลายวันแล้ว เคยป่วยจนลิ้มอาหารมิรู้รส แต่หลังจากที่ลิ้มรสอาหารของนาง ลูกคล้ายหายป่วยไข้ขึ้นมาจริงๆเลยขอรับ มิหนาวกายทั้งยังมีแรงกำลังมากจนล้นเหลือ หากได้นางมาเป็นแม่ครัวของเราจริงๆ ลูกต้องหาป่วยและกลับมาเดินได้คล่องอย่างแน่นอนขอรับ “
ฉู่อ้าวเหิงทำท่าป่วยไข้ไอค่อกแค่กขึ้นมามิอายตน ผู้อื่นในสกุลฉู่จึงหันมองไปที่สตรีจืดชืดที่นั่งตัวลีบเล็กอยู่ข้างๆกายคุณชายฉู่และไต่ถามออกมาในทันที
“โอว คุณชายป่วยไข้มากเช่นนั้นหรือ ป้าสามนั้นมิรู้เลยจริงๆนะนี่ เหตุใดเจ้ามิบอกแก่พวกเรากัน ต่อไปท่านป้าสมจะต้มโสมแดงมาให้เจ้า คนที่เคยแข็งแรงดีมาก่อนจะมาป่วยไข้อย่างกระทันหันไปเช่นนี้มิได้นะ ป้าสามห่วงอ้าวเอ๋อร์มากจริงๆ ฮึ่ก “
ท่านป้าสามผู้มิรู้ความใดๆเอ่ยอย่างตกใจขึ้นมาในทันที ฉู่อ้าวเหิงมิใส่ใจทำท่าป่วยไข้ขึ้นมาเสียอีกนิดและไอค่อกแค่กขึ้นมา
“ท่านป้าสามอย่าห่วงใยหลานเลยขอรับ หลานอกตัญญูมิดูแลตนเองไว้ให้ดี หากมิได้อาหารของคุณหนูชุนในหลายวันมานี้ มิแน่ว่าหลานนั้นคงป่วยตายไปเสียแล้ว “
ฉู่อ้าวเหิงทำท่าบีบน้ำตาขึ้นมาอย่างมิอับอายตน เช่นนั้นพี่น้องทั้งหลายที่คราแรกคิดว่าคุณชายใหญ่นั้นป่วยไข้ขึ้นมาจริงๆก็มิเชื่อใจคุณชายใหญ่อีกต่อไปแล้ว
“ชิส์ ท่านพี่ใหญ่นั้นช่างมิอายตนเองบ้างเสียเลย น่าทุเรศนัก “
“ชู่ว เจ้าอยากหลังหักหรืออย่างไรกัน ดูก็รู้ว่าพี่ใหญ่ทุ่มเทแสดงงิ้วน่ามิอายนี้ออกมาก็เพราะนาง เจ้าจะเปิดโปงพี่ใหญ่มิได้เลย “
สองร่างที่ปลายโต๊ะสนทนากันเบาๆกระซิบกระซิบกันแบบมีความลับขึ้นมา