เวลาเลิกเรียน
ฉันยืนอยู่บริเวณหน้าประตูโรงเรียนพลางชะโงกมองนักเรียนที่ทยอยออกมาเรื่อยๆ ด้วยความหวัง เพราะหลังจากที่ออดดังขึ้น ฉันเห็นว่าโฮคิเดินไปที่ไหนสักที่ และพอฉันแอบตามเขาไปเงียบๆ จึงรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาแค่ไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น และถ้าหากจะยืนรอเขาหน้าห้องน้ำ...นั่นมันก็คงพิลึกใช่ไหมล่ะ
เพราะเหตุนี้แหละ ฉันจึงตัดสินใจมายืนรอเขาที่หน้าโรงเรียน อันที่จริง...มันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมายหรอก เพียงแค่อยากกลับบ้านกับเขาก็เท่านั้นเอง
อันที่จริงเวลานี้ใกล้ถึงเวลาทำงานพาร์ทไทม์ของฉันแล้ว แต่เพราะเวลายังคงเหลืออยู่เล็กน้อย อย่างน้อยฉันก็อยากให้มันหมดไปกับเขา อาจฟังดูงี่เง่าไปนิด แต่ก็นะ...
ฉันยืนแกว่งเท้าไปมาเพื่อฆ่าเวลา ก้มดูเงาของตนเองที่ถูกพระอาทิตย์สีส้มเข้มซึ่งกำลังจะลาลับขอบฟ้าในอีกไม้ช้าสาดส่องลงมา พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยตามประสา จะว่าไปแล้ว โฮคิเขาทำอะไรอยู่นะ ทำไมถึงยังไม่ออกมา หรือว่าเขากลับบ้านแล้ว?
อ้อจริงสิ หลังห้องน้ำชายฉันเห็นว่ามีกำแพงต่ำกั้นเอาไว้ด้วย บางทีโฮคิอาจจะกลับทางนั้นก็เป็นได้นะ...
อา...ถ้าเป็นแบบนั้น
ฉันทอดถอนหายใจออกเบาๆ มองเข้าไปในตัวโรงเรียนอีกครั้ง และสายตาของฉันก็หยุดอยู่ตรงร่างสูงโปร่งกับใบหน้าเรียบนิ่งที่กำลังเดินแบบไม่แคร์ใครมาทางนี้
โฮคินี่นา เขายังไม่กลับ
ฉันฉีกยิ้มอย่างดีใจพลางมองใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มชัดขึ้นตามระยะทางที่ลดลงเรื่อยๆ และในขณะเดียวกันเองที่นักเรียนซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ประปรายเหลือบมองโฮคิด้วยความรู้สึกเกลียดชัง แววตาของพวกนั้นอัดแน่นไปด้วยความไม่ชอบ รังเกียจ และอะไรอีกนะ?
ฉันไม่รู้หรอกว่าโฮคิทำอะไรให้พวกเขา แต่ฉันเห็นสายตาแบบนั้นแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ แต่ฉันจำเป็นต้องเก็บความคุกรุ่นนั่นเอาไว้ในใจเมื่อโฮคิเดินมาถึงฉัน
และเดินผ่านหน้าไป...
เขาไม่แม้แต่จะมองฉันเลย ยอมรับว่ากิริยาเย็นชาที่โฮคิแสดงออกมาแอบทำให้ฉันรู้สึกท้อเล็กๆ แต่ฉันก็เข้าใจ เพราะเขาเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว อีกอย่าง...ยังไงฉันก็ยังชอบเขาอยู่ดี ยิ่งเขามีท่าทีที่เข้าถึงยากมากแค่ไหน ฉันก็ยิ่งอยากเข้าถึงหัวใจของเขาให้มากขึ้นเท่านั้น
ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของฉันทำเอาหลายคนแทบอาเจียนเลยใช่ไหมล่ะ ฮา...
“โฮคิ” ฉันเรียกชื่อตามหลังเมื่อเขาเดินไปโดยไม่คิดที่จะชายตามองฉันแม้แต่นิด ฉันเพิ่มความถี่ของการก้าวเท้าเพื่อให้เดินตามทันเขา และใช้เวลาไม่นานนักฉันก็พาร่างของตนเองมาเดินข้างๆ เขาได้สำเร็จ
โฮคิไม่ได้หันหน้ากลับมา เขามองไปด้านหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่งอย่างคนไม่คิดอะไร อันที่จริงฉันว่าเขาต้องมีอะไรในใจบ้างสักนิดแหละ เพียงแต่มันดูยากมาก...ก็เท่านั้นเอง
“นี่โฮคิ...” ฉันตัดสินใจเอ่ยเรียกเขาอีกครั้งหนึ่งเพราะรู้สึกเงียบเชียบเกินไป ถึงแม้รอบกายของเราจะเต็มไปด้วยผู้คนก็เถอะ แต่คนข้างกายของฉันกลับปิดปากเงียบกริบ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว แม้แต่เสียงพ่นลมหายใจเบาๆ ก็แทบจะไม่ได้ยิน
“...” โฮคิยังคงปิดปากเงียบ ไม่สนใจฉันเสมือนฉันเป็นสายลมเบาๆ ที่พัดผ่านไปเท่านั้น
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพลางครุ่นคิดถึงวิธีที่จะทำให้เขาหันกลับมา และในวินาทีต่อมานั้นเอง ฉันตัดสินใจเลื่อนฝ่ามือไปแตะเบาๆ ที่แขนของเขาซึ่งแนบเจ้าสเก็ตบอร์ดคู่ใจเอาไว้ ทันทีที่ฉันสัมผัสเขา โฮคิถึงกับสะดุ้งเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง
เมื่อเห็นเช่นนั้นฉันจึงรับชักมือกลับมาพลางมองเขาตาปริบๆ ด้วยความแปลกใจ ทำไมเขาถึงต้องสะดุ้งแบบนั้นด้วยล่ะ พอฉันลองสัมผัสมือของตนเองก็พบว่ามันไม่ได้ผิดปกติอะไร ไม่เย็นหรือร้อนพอที่จะทำให้เขาสะดุ้งมากขนาดนั้น
“เธอ...” โฮคิหันมองฉันพลางหรี่ตามอง ใบหน้าอันแสนเรียบนิ่งนั่นฉายความสงสัยเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “แตะฉันทำไม”
“ก็นาย...ไม่ได้ยิน” ฉันพูดเบาๆ พร้อมเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งเพราะสายตาอันน่าดึงดูดของคนเบื้องหน้าจ้องฉันไม่วางตา และผ่านไปสักพักหางตาของฉันเหลือบเห็นว่าเขาได้หันหน้ากลับไปดังเดิมแล้ว ฉันจึงหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง
“กลับบ้านไป” โฮคิพูดเสียงเรียบก่อนเดินจากไปอย่างไม่สนใจ ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ลืมก้าวเท้าตามเขาไปด้วย ซึ่งเมื่อฉันเดินไปและหยุดอยู่ในระดับเดียวกับเขา โฮคิก็เหลือบมองฉันอีกครั้งด้วยสายตาหน่ายเล็กๆ และดึงสายตาไปโฟกัสกับเส้นทางด้านหน้าต่อ
“นายกำลังจะไปไหนเหรอ?” เพื่อปัดบรรยากาศอันน่าอึดอัดออกไป ฉันจึงหาเรื่องคุยโดยเริ่มที่คำถามเมื่อครู่เป็นประโยคแรก โฮคิไม่ได้หันหน้ามามองฉันแต่ก็ยอมขยับริมฝีปาก
“เกี่ยวกับเธอ?”
“เกี่ยวสิ!” ฉันเอ่ยต่อจากประโยคของเขาอย่างฉับพลันด้วยเสียงชัดเจน และเป็นเวลาเดียวกันที่กระแสลมอันบางเบาพัดผ่านร่างกายฉันและโฮคิไป เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้คนรอบข้างจะส่งเสียงพูดคุย และมีเสียงของรถยนต์แล่นตามท้องถนน แต่ทว่า...ในบริเวณที่ฉันกับโฮคิยืนอยู่กลับเงียบจนน่าแปลกใจ
โฮคิเลื่อนระดับสายตาของเขาหยุดอยู่ที่ฉัน ริมฝีปากติดคล้ำตามนิสัยคนชอบสูบบุหรี่ยกมุมปากเพียงเล็กน้อย ทำให้เขาเหมือนคนที่กำลังยิ้ม ตาของฉันมองค้างอย่างห้ามไม่อยู่ หัวใจที่เดิมเต้นแรงอยู่แล้วก็ทวีหนักกว่าเดิมจนแทบทะลุออกจากอก
...นั่นโฮคิยิ้มใช่ไหม!? สิ่งฉันเห็นอยู่ตอนนี้คือรอยยิ้มของโฮคิใช่ไหม...
แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น โฮคิได้ปรับเปลี่ยนสีหน้าของตนเองให้เรียบนิ่งอย่างที่เคยเป็น ใบหน้าเรียบตึงเหมือนคนยิ้มยากและไร้ความรู้สึกใดๆ
“ทำไม” โฮคิเอ่ยปากถาม ขณะที่ยังคงจ้องมองฉันอย่างไม่ละไปไหน ตอนนี้ขาฉันแข็งไม่ต่างจากหิน บริเวณใบหน้าร้อนฉ่าเสียยิ่งกว่าถูกพระอาทิตย์เผาเสียอีก
ฉันก้มหน้าลงมองพื้นที่ทาทับด้วยต้นหญ้าต้นเล็ก ไม่กล้าที่จะสบมองดวงตาอันแสนมีเสน่ห์นั่น
“ก็.../เฮ้ยหนู!! ระวัง!”
คำพูดของฉันถูกกลบด้วยเสียงตะโกนของชายคนหนึ่ง ด้วยความแปลกใจจึงหันหลังกลับไปมอง และเมื่อสายตามองไปยังด้านหลังจึงพบว่ามีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังพุ่งมาทางนี้คล้ายกับกำลังเสียหลักซึ่งคนที่กำลังบังคับรถนั้นมองมาทางฉันด้วยสีหน้าตื่นตระหนกในขณะที่ปากของเขาตะโกนบอกฉันเสียงดัง
และ...
พึ่บ! โครม!
ด้วยความรวดเร็ว
ฉันหลับตาปี๋เพราะระยะห่างที่รถคันนั้นพุ่งมามันใกล้และเร็วมาก และเสียงโครมที่ดังเมื่อครู่เล่นเอาหัวใจของฉันกระตุกวูบคล้ายกับถูกเครื่องช็อตก็ไม่ปาน
อา...
“นี่...” เสียงทุ้มและลมหายใจแผ่วค่อยอันเจือด้วยกลิ่นของบุหรี่ที่เป่ารดปลายจมูกทำให้สติของฉันกลับคืนมา ครั้นเมื่อลืมตาขึ้น...
...ลมหายใจของฉันแทบหยุดกลางอากาศเลยก็ว่าได้
เบื้องหน้าคือบุคคลที่ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใบหน้าหล่อคมคายกับเรียวตาเฉี่ยวเหมือนเหยี่ยว นัยน์ตาสีสนิมประกายกำลังจ้องหน้าฉันด้วยความรู้สึกอันเฉื่อยชา แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น การที่ปลายจมูกของเราสองคนอยู่ใกล้กันมากขนาดนี้เล่นเอาร่างกายของฉันสั่นเทิ้มเสียยิ่งกว่าอะไร
ไหนจะท่อนแขนหนาของโฮคิที่กำลังโอบรอบเอวของฉันไว้ แรงกดจากแขนแข็งแกร่งทำให้ร่างกายแนบชิดกับแผงอกที่ทีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวคั่นกลางเอาไว้ อุณหภูมิผิวกายของเขาร้อน....ร้อนมาก แต่ฉันคิดว่ามันช่างอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
“โฮคิ...” ฉันเอื้อนเอ่ยชื่อของเจ้าของท่อนแขนหนาด้วยน้ำเสียงบางเบา ดวงตาเบิกมองเขาด้วยความรู้สึกตกใจ ตื่นเต้น ร้อนวาบ และ...เขิน
พึ่บ
แต่ไม่ถึงห้าวินาทีหลังจากเอ่ยชื่อเขา โฮคิก็ผลักร่างฉันออกอย่างแรงจนเซถอยหลัง เจ้าของการกระทำเหลือบมองฉันเล็กน้อย
“อยากตายหรือไง”
คำพูดของโฮคิทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ผนวกกับเสียงร้องโอดโอยที่ดังเข้ามาในโสตประสาท ฉันเลื่อนสายตามองยังต้นตอของเสียงซึ่งดังมาจากเบื้องหลังของตนเองอันปรากฏเป็นชายมีอายุคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้นโดยด้านบนของตนเองมีมอเตอร์ไซค์ทับร่างของเขาเอาไว้
เฮ้ย...!
ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาลุงคนนั้นทันทีเพื่อจะยกมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวออกจากร่าง คนที่เห็นเหตุการณ์เองต่างก็รีบวิ่งมาดูเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และไม่ทันที่ฉันจะสัมผัสกับตัวรถ กลับมีมือของใครบางคนทำแทนฉันเสียก่อน และเมื่อเลื่อนสายตามองตั้งแต่ข้อมือขึ้นไปถึงใบหน้า คำตอบก็ชัดเจนทันที
ตึกตักๆ ตึกตักๆ
พลันหัวใจขยับถี่อีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ตาของฉันโฟกัสอยู่ที่ใบหน้าของเขาด้วยหัวใจสั่นระรัวยิ่งกว่ากลองชุด แต่ฉันก็ต้องดึงให้มันกลับมาเป็นปกติเมื่อเขาเป็นฝ่ายหันหน้ากลับมามอง
“เธอประหลาด” โฮคิพูดหลังจากยกมอเตอร์ไซค์ออกจากร่างของลุงคนนั้น ทุกคนแถวๆ นั้นดูตื่นตระหนกไม่น้อยทีเดียว อาจเป็นเพราะลุงคนดังกล่าวดูมีอายุมากแล้วก็เป็นได้
แต่ว่านะ...เมื่อกี้โฮคิว่าฉันประหลาดอย่างนั้นเหรอ?
อ่า สงสัยเขาเห็นตอนที่ฉันมองเขาด้วยความชื่นชมแน่ๆ เพราะปกติแล้วฉันไม่เคยเห็นโฮคิจะยุ่มย่ามอะไรกับใครเท่าไหร่เลย แต่การที่เขาเข้ามาช่วยยกมอเตอร์ไซค์เมื่อครู่นี้ทำให้ฉันมองเห็นความอ่อนโยนจากตัวเขา
ถึงแม้แววตาของเขาจะมีความแข็งกระด้างแลดูหยิ่งทระนงและไม่ยี่หระอะไรสักอย่าง แต่เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขาก้มมองลุงซึ่งนอนร้องโอดโอยเพราะทรมานกับความเจ็บปวดกับบาดแผล ฉันเห็นนะว่ามันอ่อนโยนจริงๆ
ว่าแล้วก็อดยิ้มไม่ได้