บทที่4.2

2495 Words
เออจริงสิ!...ถือเป็นครั้งที่สามแล้วนี่นาที่เขาช่วยฉันจากอันตราย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ถูกไอ้พวกใจร้ายพยายามกระทำชำเรา ไหนจะตอนที่ถูกทำร้ายด้วยเจ้าหนี้ และครั้งนี้ เขาดึงฉันไปอยู่ในอ้อมกอดเพื่อหลบจากการถูกรถพุ่งชน ฉันน่าหาเวลาตอบแทนเขาบ้างนะ ทว่า... ฉันกวาดสายตาไปรอบตนเองด้วยความรู้สึกแปลกใจเพราะบริเวณที่ยืนอยู่นี้มันโหวงแปลกๆ จนได้คำตอบว่าโฮคิน่ะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว อ้าว... ฉันตัดสินชะโงกหน้ามองไปยังอุโมงค์ใต้สะพานด้านหน้าซึ่งปรากฏเห็นแผ่นหลังอันแสนคุ้นเคยสไลด์สเก็ตบอร์ดไปด้านหน้า ขณะที่สองมือของเขาล้วงเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง ฉันคลี่ยิ้มให้กับแผ่นหลังที่ไกลห่างออกไป สองเท้าทำท่าจะก้าวตามไป แต่ต้องหยุดชะงักเสียก่อนเมื่อสมองซีกซ้ายของฉันย้ำเตือนในอะไรบางอย่าง งาน... ใช่แล้ว!! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย ฉันยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาจึงพบว่าตอนนี้ห้าโมงกว่าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นฉันจึงรีบสปีดเท้าทันที แต่ก็ไม่วายหันกลับไปมองเหตุการณ์ดังกล่าวอีกครั้ง... ‘Close’ ฉันยืนอ้าปากมองป้ายสีขาวที่มีตัวอักษรสีแดงแจ๋เขียนไว้ว่า ‘Close’ ซึ่งแปะอยู่ตรงบานประตูด้านหน้าของร้านความรู้สึกตกใจที่มีในตอนแรกเริ่มเหือดหายไปและกลายเป็นความโมโหเข้ามาแทนที่ โมโหตัวเองชะมัด! จะว่าไป...ฉันเองที่ผิดน่ะ เพราะเมื่อวานผู้จัดการร้านบอกแล้วว่าจะปิดร้านภายในสามถึงสี่วัน ใช่ ฉันเองแหละที่ลืมคำพูดนั่นของผู้จัดการ “ยัยบ้าเอ๊ยยย “ ฉันขยี้ผมยาวๆ ของตัวเองอย่างหัวเสีย หันหลังกลับด้วยความรู้สึกโมโหอย่างที่ไม่เคยเป็น สองเท้าย่ำลงพื้นคอนกรีต ส่วนสองมือก็ไขว้กันบริเวณหน้าอก สายตากวาดมองไปรอบกายตนเองอย่างเบื่อหน่าย ให้ตายสิ ถ้าหากสมองของฉันจดจำคำพูดของผู้จัดการเมื่อวานได้เร็วกว่านนี้ล่ะก็นะ ป่านนี้คงได้เดินข้างๆ โฮคิอย่างที่ตั้งใจไปแล้ว พูดแล้วอารมณ์เสียจริงๆ! ถ้าไปย่าน park ตอนนี้ก็กลัวว่าจะไม่เจอโฮคิ เพราะล่าสุดที่เห็นเขา เขาเดินไปทางอุโมงค์ใต้สะพานซึ่งเป็นทางคนละเส้นทางกับย่าน park และก็ฉันไม่รู้ด้วยว่าเขาไปไหน ฉันย่นปากอย่างเหนื่อยหน่ายพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ และในเวลานั้นเองที่สายตาชะงักเข้ากับร้านเกมเซนเตอร์ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน ฉันไม่ได้เข้าไปในร้านเกมนั้นก็นานใช้ได้ทีเดียว ก่อนหน้านี้ เมื่อนานมาแล้วฉันเคยไปร้านเกมเซนเตอร์บ่อยมาก และฉันมักจะเจอ ‘เขา’ ทุกวันซึ่งนั่งอยู่ที่เดิมบริเวณด้านในสุดของร้าน จะว่าไป...’เขา’ หายไปไหนกันนะ ตั้งแต่ที่ฉันสูญเสียเพื่อนสาวสองคนเมื่อสองปีที่แล้วฉันก็ไม่เห็นเขาอีกเลย นั่นสิ...มันนานมากแล้วล่ะ เพราะเขาเป็นเพื่อนอีกหนึ่งคนของฉัน ฉันจึงยังคงจดจำเขาได้ แม้อาจจะเรือนลางไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพื่อนหน้าตาหล่อแบบนั้นจะให้ลืมง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ จริงไหม? ฉันตัดสินใจเดินข้ามไปอีกฟากด้วยทางม้าลาย เดินเข้าไปในร้านเกมเซนเตอร์ขนาดกลางที่จุคนไว้หลายสิบคน แน่นอนว่าภายในนี้มีแต่เด็กผู้ชายอายุราวๆ มอต้น มอปลายทั้งนั้น ถึงแม้จะถูกจ้องมอง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าเด็กผู้หญิงมันไม่น่าเข้ามาอยู่ในร้านแบบนี้ ฉันเลือกเล่นเกมต่อสู้ซึ่งเป็นเกมเพียงเกมเดียวที่ฉันเล่นได้ดีที่สุด ในระหว่างกดปุ่มรัวๆ และโยกตัวบังคับการเคลื่อนไหว แผ่นหลังของฉันก็ร้อนวาบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนลมหายใจอันแผ่วเบาจะพ่นเบาๆ ข้างแก้มฉันจนฉันสะดุ้งและรีบลุกจากที่นั่งหันไปยังด้านหลังทันที และทันทีที่หันมอง... “ไงสีเทียน ☺“ “นาย!”ฉันเบิกตาพร้อมส่งเสียงเรียกเขาด้วยความตกใจ แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ...เพราะฉันรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกเลยล่ะในเวลานี้ ‘คินโซ’ เขาคือเจ้าของรูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีน้ำผึ้งอ่อน คิ้วดกดำ ดวงตาเล็กเรียวกับนัยน์ตาสีนิลที่ฉันมองว่ามันมีเสน่ห์อย่างเหลือล้น เขาเป็นคนที่จัดว่าหล่อมากๆ คนหนึ่งทีเดียวเชียวล่ะ ถึงแม้หน้าตาจะแอบกวนเล็กๆ และสายตาคล้ายคนเจ้าเล่ห์หน่อยๆ แต่เขาก็เป็นผู้ชายที่น่ารักคนหนึ่ง เขาคนนี้แหละคือเพื่อนที่ฉันเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ คินโซคนนี้แหละ... “เฮ้! ทำไมทำหน้าตาน่าเกลียดแบบนั้นล่ะ ฉันไม่ใช่ผีนะ” คินโซพูดติดตลก เอื้อมท่อนแขนหนามาโอบรอบคอฉันพลางกดขยี้เรือนผมอย่างหมั่นเขี้ยว ให้ตายสิ! คินโซยังนิสัยเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยนะ ว่าแต่... “นายหายไปมาเหรอคินโซ “ ฉันถามเขาด้วยความสงสัย และไม่ใช่แค่สงสัยธรรมดาด้วยนะ เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมาฉันไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา กระทั่งข่าวคราวจากคนที่รู้จักเขา แล้วอยู่ๆ ก็โผล่มาแบบนี้...แถมยังโผล่มาหลังจากที่ฉันนึกเขาได้เพียงห้านาทีอีกต่างหาก “ไปหาที่คุยกันเถอะ ในนี้คนมันเยอะ” “อึก! อ้า!~ สดชื่นชะมัด” ฉันหันมองคินโซที่กำลังกระดกน้ำอัดลมด้วยความกระหายอย่างนึกขำ เขาทำอย่างกับว่าไม่ได้ดื่มน้ำมาเป็นปีๆ อย่างนั้นแหละ อ้อ ในตอนนี้ฉันและคินโซนั่งยู่ที่สวนสาธารณะที่อยู่ห่างจากร้านเกมเซนเตอร์ประมาณสองร้อยเมตร ซึ่งตอนนี้ก็หกโมงกว่าแล้ว ท้องฟ้าจึงกลายเป็นสีส้มเข้ม บรรยากาศในช่วงเย็นที่มักจะเย็นเยียบเป็นปกติเริ่มคืบคลานเข้ามาทีละเล็กละน้อย จนฉันต้องลูบแขนตัวเองเบาๆ และในเวลานั้นเองที่ฉันได้ยินเสียงบีบกระป๋องน้ำอัดลมซึ่งมาจากน้ำมือของคนข้างๆ ฉันนี่เอง “อย่าใช้ความรุนแรงกับกระป๋องน้ำสิ” ฉันเอ่ยขำๆ จนคินโซหัวเราะแล้วหันหน้ากลับมามอง “อะไรของเธอเล่า” “ฮ่ะๆๆ” ฉันหัวเราะร่าเมื่อคินโซยู่ปากเหมือนเด็กอย่างที่เขาชอบทำ แต่เสียงหัวเราะของฉันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อคินโซจงใจนั่งลงข้างๆ ก่อนใช้ท่อนแขนหนานั่นโอบรอบคอ แต่ที่ฉันหยุดเสียงหัวเราะไม่ใช่เพราะการกระทำของเขาหรอก แต่เป็นรอยสักบริเวณแขนของเขาต่างหาก รอยสักรูปตัวไอใหญ่(I)ขนาดเล็กกว่าฝ่าเล็กน้อย ฉันขมวดคิ้ว หันหน้ากลับไปเพื่อจะถามเขา ทว่าเขากลับขยับริมฝีปากเอ่ยตอบเสียเอง “ฉันสักเอง” คินโซพูดทั้งรอยยิ้มราวกับภูมิใจในรอยสักนี้เหลือเกิน “ สวยดีใช่ไหมล่ะ?” เขาถาม “ก็สวยดี ว่าแต่ทำไมนายถึงสักล่ะ” “ก็นี่แหละ...มันเกี่ยวกับการที่ฉันหายไปสองปีไง” “??” ฉันเอียงคอมองพร้อมกับเครื่องหมายคำถามลอยเต็มไปหมด คินโซยกยิ้มเล็กๆ ล้วงมืออีกข้างหนึ่งเข้าไปในกางเกงคล้ายกับต้องการจะเออาะไรออกมา ทว่าไม่ทันที่เขาจะล้วงสิ่งนั้นออกมาได้ เสียงๆ หนึ่งก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “หยุด” ทั้งฉันและคินโซต่างก็ชะงักด้วยกันทั้งคู่ หันหลังมองเจ้าของเสียงทุ้มอันแสนเรียบนิ่งนั่นทันที และรู้อะไรไหม...ทันทีที่ฉันเห็นบุคคลด้านหลังปุ๊บ ขนอ่อนตามร่างกายก็ลุกชันอย่างห้ามไม่อยู่ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ตื่นเต้นเพราะดีใจที่เป็นเขา โฮคิ...ใช่! เขาคนนั้นคือโฮคิ แต่ทำไม... ฉันจ้องมองใบหน้าหล่อของเขาด้วยความแปลกใจ เพราะสายตาของเขาในตอนนี้มันไม่เหมือนโฮคิที่ฉันเคยรู้จัก แววตาของเขาคมและดุดันราวกับปีศาจ ริมฝีปากของเขาซึ่งเปรอะเลอะเลือดคล้ายกับโดนใครชกมาทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจจึงตัดสินใจผลักคินโซออกจากตนเอง แต่เปล่าเลย...คินโซกลับไม่ยอมปล่อยฉันไปไหน อะไรกัน... “นายเองเหรอ...โฮคิ” คินโซยกยิ้มให้โฮคิ รอยยิ้มนั้นฉันเห็นความน่ากลัวซุกซ่อนอยู่จนเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจ และอีกหนึ่งสิ่งคือ คินโซรู้จักโฮคิด้วยเหรอ? “ปล่อยเธอ” โฮคิไม่ได้สนสิ่งที่คินโซพูดแต่กลับใช้โทนเสียงหนักแน่นอันน่าเกรงขามเอ่ยพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี อีกทั้งกิริยาและแววตาของโฮคิในตอนนี้มันช่างน่ากลัว ใช่ น่ากลัวมากจริงๆ “อะไรกันโฮคิ อย่ามาแย่งงานกันสิ” แย่งงาน? ฉันขมวดคิ้วมองคินโซอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่ทันที่โฮคิจะตอบอะไร เป็นโฮคิเองที่ล้วงเอาปืนสั้นออกมาจากกางเกงนักเรียนพร้อมจ่อมาทางคินโซ ใบหน้าที่เจือไปด้วยความดุดัน แววตาของผู้ชายที่ไม่เคยหวั่นเกรงต่ออะไรนั่นกำลังแข็งกร้าวและโหดเหี้ยม โฮคิ...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเขา... “โฮคิ นายจะทำอะไรน่ะ” ฉันถามเขาด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ เจ้าตัวจึงตวัดตากลับมาเหมือนต้องการสื่ออะไร ว่าแต่มันคืออะไรกันล่ะ? ฉันพยายามอ่านสายตาของเขาแต่ทำยังไงก็ไม่ประสบผล โฮคิจึงเลื่อนสายตาไปยังคินโซซึ่งยังคงโอบรอบฉันอยู่เช่นเดิม คินโซลุกจากม้านั่งเป็นส่งผลให้ฉันต้องลุกขึ้นตามเพราะแรงกอดรอบคออันมหาศาล ตอนนี้ฉันชักรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ แล้วว่าเหตุการณ์ในตอนนี้มันต้องมีอะไรแฝงอยู่เป็นแน่! “ปล่อยเธอ” โฮคิพูดเสียงเย็น ปลายนิ้วสัมผัสไกปืนพร้อมเหนี่ยวยิงได้ทุกเมื่อ “อันดับสองอย่างแกอย่ามาบังอาจสั่งฉัน!! งานนี้ ‘คุรัน’เป็นคนมอบให้ฉันทำ แกจะมาสะเออะทำไมไม่ทราบ!?” “อยากสะเออะ” โฮคิเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเข้ามาเรื่อยๆ “ปล่อยเธอ” หัวใจของฉันสั่นระรัวในทุกๆ ก้าวที่โฮคิขยับเข้ามา ความรู้สึกที่เขาสื่อออกมาถึงฉันจะไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกแอบปลื้มกับคำพูดของเขาที่แสดงออกมาคล้ายกับไม่อยากให้คินโซแตะต้องฉัน แต่ว่านะ...ลึกๆ แล้วฉันกลับสัมผัสได้ว่าโฮคิรู้อะไรบางอย่าง และคินโซเองก็เช่นกัน พวกเขาเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ฉันไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชื่อ ‘คุรัน’ ที่คินโซเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ “หึ...” พึ่บ! “อะ...” อยู่ๆ คินโซก็ผลักกันอย่างแรงจนร่างฉันเซไปชนกับโฮคิอย่างจัง แต่ดีหน่อยที่โฮคิรับฉันไว้เสียก่อน ไม่งั้นฉันอาจจะลงไปนั่งฟุบกับพื้นก็เป็นได้ “...” โฮคิไม่พูดอะไรและเอาแต่จ้องหน้าคินโซ สายตาของทั้งคู่จ้องกัน มันเต็มไปด้วยความน่ากลัว ดุดันอย่างที่ฉันไม่เคยได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นโฮคิที่มีเพียงแววตาเรียบนิ่ง หรือคินโซที่มีแววตาขี้เล่น บัดนี้ทั้งสองต่างออกไป...ต่างอย่างกับเป็นคนละคน พวกเขามีความลับอะไรปิดซ่อนเอาไว้นะ ให้ตาย “ปกป้องเหยื่อ...เห็นใจเหยื่อ แกมันไม่เหมาะสมกับตำแหน่งสักนิด” คินโซเอ่ยพร้อมเหยียดริมฝีปากคล้ายดูแคลน และในวินาทีถัดมาคินโซก็เลื่อนสายตามายังฉัน เขายิ้มอย่างที่เคยยิ้มให้ มันน่ารัก ร่าเริง ทว่า... “ตายช้าตายเร็ว สุดท้ายก็ต้องตาย” “หมายความว่ายังไง?” ฉันถามคินโซ เขาเบือนสายตาไปอีกทาง รอยยิ้มน่ากลัวผุดขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันไม่ใช่เพื่อนผู้แสนดีของเธออีกแล้วล่ะสีเทียน คนเมื่อสองปีที่แล้วน่ะ...ตายไปจากโลกนี้แล้ว” “...” “หลงเหลือเพียง...” คินโซหยุดเพียงแค่นั้นก่อนยกแขนข้างที่สักรูปตัวไอขึ้น เขายกยิ้มอีกครั้ง ยักคิ้วให้โฮคิที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉัน “อยากรู้เหมือนกันว่าความซื่อสัตย์กับความทรยศ...สิ่งไหนจะเหนือกว่ากัน” พูดจบคินโซก็หันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งเอาไว้เพียงความเงียบงัน ทว่าแผ่นหลังที่ไกลห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกว่าจะสูญเสียเขาไป คล้ายกับว่าเขาจะกลับมาอีกครั้ง แต่ในลักษณะไหนกันล่ะ... พึ่บ โฮคิยัดปืนสั้นสีดำมันปลาบด้ามนั้นใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนถอนหายใจออกเบาๆ คล้ายกับกำลังเหนื่อย ยิ่งบวกกับใบหน้าขาวๆ ของเขาที่เปรอะไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ ฉันยิ่งรู้สึกเป็นห่วง “นาย...โอเคใช่ไหม?” ฉันถาม ตั้งใจเอื้อมมือไปสัมผัสเบาๆ ที่ใบหน้าเขา ถึงแม้จะตื่นเต้นแค่ไหนก็ตาม แต่วินาทีนี้ความห่วงใยที่ก่อเกิดขึ้นมาทำให้ค่อยๆ ลบล้างความตื่นเต้นให้เหือดหายไป แต่ไม่ทันที่มือจะสัมผัสโดน ข้อมือของฉันก็ชะงักคาอากาศเมื่อเขาเอื้อมมือมาจับไว้เสียก่อน ก่อนจะใช้ดวงตาคู่คมมองฉัน “รีบกลับบ้าน” เขาเอ่ยเสียงนิ่ง จากนั้นก็ดึงแขนฉันไปตามแรงขับเคลื่อนของเขา เขาเดินนำหน้าฉันไปในขณะที่ยังคงจับข้อมือของฉันไว้แบบนั้น ร้อน... ตอนนี้ฉันบอกได้คำเดียวว่าร่างกายของฉันร้อนเสียยิ่งกว่าอะไร ฝ่ามือที่ค่อนข้างหยาบกร้านเพราะไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองนั้นสามารถทำเอาหัวใจของฉันสั่นสะท้าน และถ้าให้เดา ใบหน้าของฉันคงแดงเถือกไปทั้งหน้าแน่ๆ “มันเกิดอะไรขึ้น...เหรอ? นายกับคินโซน่ะ” อยู่ๆ ฉันก็ตัดสินใจเอ่ยถามเพราะยังข้องใจกับเหตุการณ์เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านพ้นมา โฮคิไม่ได้หันหน้ากลับมามองฉันและยังคงลากฉันไปตามแรงของเขาเช่นเคย “อยู่ห่างๆ มันเอาไว้” เขาพูดเบาๆ โดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา “มันจะฆ่าเธอ” “ว่าไงนะ?” ฉันเบิกตาด้วยความตกใจ ไม่นานเขาก็หันกลับมา ฝีเท้าที่เคยเคลื่อนไหวหยุดลง จนฉันที่กำลังเดินอยู่ชนเข้ากับแผงอกเขาอย่างแรง โฮคิจ้องหน้าฉันด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย หากแต่ในความเรียบเฉยนั่นเคลือบแฝงบางอย่างไว้ และฉันก็ไม่รู้ว่ามันมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ “ต่อไปนี้...อย่าห่างจากฉัน” “...” “ถ้าเธอไม่อยากตาย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD