วันต่อมา
หลังจากเลิกเรียนช่วงเช้าแล้วเพื่อนสาวทั้งสองของฉันก็พามาร้านเสริมสวยที่ฉันแทบจะไม่เข้าเลยในรอบสิบเก้าปี จำได้ว่าครั้งสุดท้ายก็ตอนมัธยมต้นเพราะอยากลองตัดผมสั้นสักครั้งในตอนนั้น
"พี่ป่านคนสวยคะ แปลงโฉมให้นางหน่อย เปลี่ยนสีผมด้วย แล้วก็ตัดสั้นขึ้นจากเอวมาอยู่กลางหลังค่ะ" ปาล์มมีเอ่ยปากทักทายช่างอย่างสนิมสนมแล้วสั่งทรงผมให้เสร็จสรรพ ส่วนฉันก็สนใจรูปโปสเตอร์ทรงผมสวยๆภายในร้านที่ดูน่าสนใจไปหมด
"อืม อยากได้สีอะไรคุณน้อง"
"เอาสีของคนอกหักค่ะ" ทิวลิปตอบแทนฉันจนต้องหันขวับไปมองมัน
"ฉันไม่ได้อกหักนะ"
"มันต่างกันตรงไหนชะนี ก็คนที่แกชอบเขาไปชอบแม่นั่นไม่ใช่" ตอกย้ำทำไมกันเนี่ย เรื่องนี้ยังสรุปไม่ได้เลยด้วยซ้ำอีกอย่างไม่ใช่คนที่ฉันชอบ นั่นน่ะสามีฉันเลยต่างหาก
โถใบชาถ้าพูดให้ใครฟังคงได้กลายเป็นคนที่น่าสงสารมากแน่ๆ แล้วสองคนนี้ก็จะเกลียดเพลงมากขึ้นด้วย
"เอาสีไหนก็ได้ค่ะที่เหมาะกับหน้าหนู" ฉันบอกช่างพี่ป่านแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้หนัง
"น้องผิวขาวแบบนี้สีไหนก็สวย งั้นเราทำพวกสีสว่างๆดีกว่าเด่นแน่นอน"
"บลอนด์ทองไปเลยค่ะ" ปาล์มมี่เสนอความคิดเห็น
"มะ...ไม่เอา" นั่นมันสว่างเกินไปแล้ว เหมือนเปิดไฟไว้บนหัวตลอดเวลา
"แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ จัดไปเลยค่ะคุณพี่" เพื่อนสาวสองชี้หน้าฉันแล้วสะบัดนิ้วไปสั่งช่างทำผมต่อ คบกันสองวันมันบังคับฉันทำไปกี่อย่างแล้วเนี่ย
ลองดูหน่อยก็ได้ ไม่เห็นจะเสียหายเลย อีกอย่างสีบลอนด์มันสามารถทับด้วยสีอื่นได้ ถ้าไม่เหมาะกับหน้าค่อยหมักเป็นสีอื่นแล้วกัน
ช่างใช้เวลาทำสีผมไปสองชั่วโมงกว่า ตอนนี้ฉันยังทึ่งกับสีผมตัวเองอยู่เลยพวกนั้นก็นั่งเมาท์มอยเรื่องทรงผมฉันอยู่ เหมือนจะพาฉันไปลงแข่งอยู่จริงๆ
"ต่อไปก็หัดแต่งหน้าค่ะ พี่ป่านลองแต่งบางๆให้นางหน่อยสิ"
แล้วช่างก็จัดการเช็ดหน้าที่ทาครีมกันแดดเอสพีเอฟสามสิบกับแป้งฝุ่นสำหรับเด็กของฉันออก เปลี่ยนไปทาของเธอแทนต่อด้วยรองพื้นสีอ่อนที่สุด ตามด้วยเขียนคิ้ว
"ทำไมเยอะแบบนี้ล่ะคะ ถ้าจะแต่งหน้าไปเรียนไม่ต้องตื่นตีสามเลยเหรอ"
"ผู้หญิงเรายังไงก็ต้องหัดทำนะ ถ้าทำเป็นแล้วใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีหรอก พี่ว่าตัวเองแต่งอ่อนๆก็สวยแล้ว" พี่ป่านบอกยิ้มๆ แค่สีผมตอนนี้ก็เปลี่ยนฉันเป็นคนละคนแล้วเขียนคิ้วทาปากไปอีกนิดมันแทบจะไม่ใช่ฉันคนเดิมเลย
เปรี้ยวมาก ทั้งที่ฉันเป็นคนเรียบร้อย...
"กรี๊ด ฉันชอบลุคนี้!!" ยัยปาล์มมีปรบมือดังลั่นร้านไม่ต่างจากยับทิวลิปที่ทำหน้าภูมิใจอย่างกับฉันคว้ามงมาครอง
"เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้เลยแก" ทิวลิปพูดมองมาแบบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
มันขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า พวกนี้มันชักจะอวยยศให้ฉันเยอะเกินไปแล้วเดี๋ยวฉันก็หลงตัวเองซะหรอก หรือว่าเพื่อนอยากให้ฉันมั่นใจในตัวเองอยู่นะ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วใบชาคนนี้จะกลัวอะไรล่ะ
หลังจากหัดแต่งหน้าทำผมเรียบร้อยพวกเราก็ไปเดินห้างกันต่อเพราะเพิ่งจะบ่ายสามกว่าๆกลับไปห้องก็ไม่มีอะไรทำ
"ดูหนังมั้ย ได้ยินว่ามีหนังผีเข้าใหม่"
"ดูๆ" ฉันเองแหละที่ชอบดูหนังแบบนี้มาก ดูจนมันไม่ใช่เรื่องหน้ากลัวอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าพี่ชาติไหนก็บุกมาได้เลย ใบชาพร้อมที่จะปะทะ
แล้วพวกเราก็จัดการซื้อตั๋วหนังรอบห้าโมงครึ่งระหว่างที่รอก็เดินเล่นกันเรื่อยเปื่อย และสิ่งที่ฉันต้องทำทุกครั้งเวลามาเดินห้างคือการเข้าชอปปิ้งในร้านเครื่องเขียนและร้านหนังสือ ที่สำคัญคือหนังสือต้องเป็นโซนสยองขวัญเท่านั้น
"ฉันรออยู่ร้านหนังสือนะ ถ้าพวกแกเสร็จแล้วมาหาตรงนี้"
ฉันเดินตรงไปที่โซนการ์ตูนสยองขวัญทันที วันนี้ต้องได้กลับไปไม่ต่ำกว่าสามเล่มเพราะเรื่องที่ฉันติดตามกำลังออกวางจำหน่ายอยู่สามเรื่องพอดี ตั้งแต่ช่วงที่ตั้งใจอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้มาร้านหนังสือเลยสักครั้ง
เป้าหมายของฉันถูกวางไว้บนชั้นโชว์หนังสือขายดีจึงเดินตรงไปอย่างเร็วรี่และเอื้อมมือไปหยิบมัน
หมับ!
"..."
มะ...ไม่นะ
แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ฉันช้าไป เพราะมีมือใหญ่ของใครอีกคนยื่นมาคว้ามันไว้ซะก่อน คิ้วเรียวของฉันที่เพิ่งถูกขีดเขียนมาขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติก่อนจะหันไปมองเจ้าของมือนั้นที่ฉันจับเอาไว้แทนหนังสือเพราะเขาเร็วกว่า
"คือว่าพี่..." นี่มันรุ่นพี่ผู้ชายที่ยืนรอลิฟต์ด้วยกันเมื่อวานนี่
"อยากได้เหรอ" เขาดึงหนังสือไปไว้ในครอบครองแล้วยิ้มมุมปากมองฉันที่ทำหน้าผิดหวังอยู่
"ค่ะ"
"ขอโทษนะครับพี่ เล่มนี้มีอีกมั้ย" เขาหันไปยิ้มให้พนักงานแล้วถามอย่างมีมารยาท สายตาของพนักงานหญิงคนนั้นมองมาอย่างเคลิบเคลิ้ม เพราะเขาหล่อมากจริงๆแถมยังดูจิตใจดีอีกต่างหาก
"เล่มนี้เหลือเล่มสุดท้ายแล้วค่ะ"
"อ่อ ขอบคุณครับ" เขายิ้มแล้วเบือนหน้ามาทางฉันที่มองหนังสือในมืออย่างใช้ความคิด
เหลือเล่มสุดท้าย แปลว่าฉันจะต้องเสียโอกาสนี้ไปเหรอ ไม่ได้เด็ดขาดฉันต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง!
"เอ่อ พอดีเล่มนี้หนูอยากซื้อไปให้น้องสาวที่ป่วยหนัก หมอบอกว่าเขาคงอยู่ได้อีกไม่นาน" น้ำตาเอ๋ยจงออกมา คนใจดีอย่างพี่เขายังไงก็ต้องเสียสละให้ฉันอย่างแน่นอน
"เหรอ น้องเขาป่วยเป็นอะไรล่ะ"
"เป็น...มะเร็งเม็ดเลือดค่ะ" ช่างน่าสงสารจริงๆเด็กน้อยที่ไม่มีตัวตนของฉัน
"จะอยู่ได้อีกกี่วันเหรอ" ทำไมถามเยอะจังแถมสีหน้ายังยิ้มแย้มอีก หรือเขาอ่านออกว่าฉันโกหก
"อีกไม่เกินเจ็ดวันค่ะ หมอว่าอย่างนั้น"
"งั้นอีกสองวันฉันเอาไปให้เธอยืมนะเพราะน้องเขายังมีเวลา" ขอถอนคำพูดที่ว่าไอ้รุ่นพี่นี่มันใจดี แล้วกัน โคตรเลือดเย็นเลยขนาดบอกว่าคนใกล้ตายเขาอยากอ่าน ไอ้บ้าเอ๊ย! หงุดหงิดๆ
"มะ...ไม่ได้!"
"ทำไม" ยังมาทำเลิกคิ้วสงสัยอีก!
"รุ่นพี่คะหนูขอร้องล่ะ ให้หนูเถอะนะ"
"ถ้าอยากอ่านมาก งั้นพรุ่งนี้มาเจอฉันที่ตึกAcc3 ห้อง 109 แล้วกัน" เขายิ้มมุมปากแล้วเดินหันหลังไป อยากจะทุบให้หลังหัก! "อ่อ เจอกันห้าโมงเย็นนะเพราะฉันเลิกเรียนพอดี"
"ให้หนูอ่านก่อนได้มั้ยแล้วพรุ่งนี้จะเอามาขายต่อให้" ใครจะไปเชื่อกันว่าเขาจะเอามาให้อ่านเผลอๆแค่หลอกฉันเพื่อให้ตัวเองดูเท่
"ทำไมล่ะคิดว่าฉันโกหกเหรอ งั้นเอาไลน์มาแลกกันพรุ่งนี้เธอทักมาได้เลยถ้าฉันลืม"
ฉันคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ยื่นมือถือไปให้เขาเพิ่มเพื่อน เอาวะ ก็ยังดีกว่าไม่ได้อ่านเลยถึงจะเป็นของมือสองก็เถอะ ฮือๆ
"เรียบร้อย ฉันขี้ลืมด้วยสิ ทักมาบอกด้วยนะ" ว่าแล้วเขาก็เดินไปจ่ายเงินหน้าเคาน์เตอร์กับพนักงานด้วยรอยยิ้ม
อยากจะกรี๊ดใส่หน้า! โมโห! ทำไมฉันต้องช้าไปแค่เสี้ยววินาทีด้วย แล้วทำไมเขาต้องชอบเล่มเดียวกันกับฉัน!