กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืด ทั้งคู่เหนื่อยอ่อนกับการทำกิจกรรมในวันนี้ทั้งวัน เพราะนอกจากขับรถไปตระเวนหาของกินแล้ว ทั้งคู่ยังไปแวะเวียนร้านขายต้นไม้และอุปกรณ์ทำสวนสำหรับตกแต่งสวนในวันข้างหน้าอีกด้วย กว่าจะถึงบ้านก็หมดแรง แต่ฝีปากของมนตรีนั้นไม่หยุด ขนของจากกระโปรงท้ายรถที่กลิ่นหอมขนซื้อมาลงไปกองไว้ที่สวนหน้าบ้านได้ ปากก็เริ่มทำงานทันที
“แกจะรีบซื้ออะไรมาเยอะแยะหนักหนา ทำอย่างกับว่าจะทำวันพรุ่งนี้มะรืนนี้อย่างนั้นแหละ”
“เอาเถอะน่า ซื้อไว้ก่อน จะได้อุ่นใจ แล้วนี่แกจะอาบน้ำเลยไหม”
“ฉันก็ต้องนั่งพักก่อนสิยะ ถามมาได้ หายใจหอบเป็นหมาหอบแดดขนาดนี้ จะเอาอารมณ์ไหนไปอาบน้ำ”
กลิ่นหอมยักไหล่ ไม่ยี่หระกับคำพูดของเพื่อน พลันปล่อยให้เพื่อนได้นั่งเล่นอยู่ในสวนให้หายเหนื่อย
“งั้นฉันไปอาบก่อนแล้วกัน หายเหนื่อยแล้วก็เข้าบ้าน ยุงเยอะ”
“ฉันจะเข้าเดี๋ยวเข้าเอง โทรศัพท์กับเด็กก่อน”
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าหมายถึงแฟนของมนตรีที่เป็นผู้ชายด้วยกัน กลิ่นหอมไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของเพื่อนหรอก กับแฟนของมนตรีก็เคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งอายุมากกว่า อีกทั้งยังเป็นคนไม่ค่อยพูด ใครจะไปกล้าคุยมาก จะมีก็แต่มนตรีนี่แหละที่เรียกแฟนตัวเองที่อายุมากกว่าว่าเป็นเด็กตามระดับความสนิทสนม
“ก็ตามนั้น ฉันไปอาบน้ำเข้านอนก่อนแล้วกัน แกเข้าบ้านแล้วล็อกประตูด้วยนะ”
มนตรีไม่สนใจแล้วเพราะปลายสายที่โทรออกเมื่อครู่นี้ตอบรับ หากแต่พอเห็นร่างบางของหญิงสาวผลุบเข้าไปในบ้าน เขาก็นึกอะไรออก
“เฮ้ย ไอ้หอม แกอย่าลืมไหว้...”
แกร๊ก...
ประตูปิดไปแล้ว กลิ่นหอมไม่ทันได้ยินหรือสนใจเพราะอ่อนล้ามาทั้งวัน มนตรีเองก็ไม่ได้ห้ามอะไร กะว่าไว้คุยโทรศัพท์เสร็จจะเข้าไปบอกอีกที
ผ่านไปร่วมชั่วโมง มนตรีเดินเข้ามาในบ้าน ที่ตั้งใจจะบอกก็ไม่ได้บอกเสียแล้ว เพราะทันทีที่เข้ามาก็พบว่าเจ้าของร่างบางจองที่นอนบนโซฟาตำแหน่งที่ตกลงกันแล้วเป็นที่เรียบร้อย มิหนำซ้ำยังกรนคร่อกออกมาให้รู้ว่าหลับลึกไปแล้วอีก
“จะบอกให้ไหว้เจ้าที่สักหน่อย หลับซะงั้น”
มนตรีได้แต่บ่นพึมพำ แต่ก็ไม่ได้ปลุกอะไร นอกเสียจากไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเตรียมเข้านอนเช่นกัน หากทว่าไม่รู้เลยว่าขณะที่เขาทำกิจกรรมส่วนตัวอยู่นั้น มีสายตาของใครบางคนจับจ้องอย่างนิ่งสงบ ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกจากริมฝีปากของใครคนนั้น มีเพียงการเดินช้าๆ ตรงมาหามนตรีที่กำลังจะล้มตัวลงนอน
และทันทีที่มนตรีเอนตัวลงนอน ไม่ทันจะได้หลับสนิทก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาทาบทับบนตัวไว้ พอพยายามพลิกกายก็ไม่สามารถทำได้ วินาทีนั้นเองที่สมองเริ่มสั่งการ
ผีอำ!
มนตรีรู้ดีว่ามีคำอธิบายอาการนี้ทางวิทยาศาสตร์ เลยพยายามบอกกับตัวเองว่ามันเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างที่กำลังเคลิ้มหลับ หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะตัวเองเหนื่อยมากกว่าปกติถึงได้รู้สึกแบบนี้
หากแต่เมื่อเขาพยายามจะพลิกตัวอยู่หลายต่อหลายครั้ง ร่างกายก็แข็งนิ่งขยับไม่ได้ พานทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เชื่อว่ามีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ตอนนี้มันอาจอธิบายได้ด้วยไสยศาสตร์มากกว่า สิ่งเดียวที่ทำได้คือการนอนนิ่งๆ บทสวดใดๆ ที่รู้จักทั้งชีวิตถูกเอามาสวดทั้งหมด ทว่าก็ไร้ผล ส่งผลให้เขาดิ้นรนอยู่ในสภาวะถูกผีอำอย่างนั้น กระทั่งผล็อยหลับไปเองด้วยความเหนื่อยอ่อน
พลิกตัวก็ไม่ได้ สู้อะไรก็ไม่ได้ สวดไล่ก็ไม่ไป นอนมันเสียเลยแล้วกัน!
ให้ตายเถอะ ไม่ทันไรก็เจอดีเสียแล้ว!
“บ้านแกมีผีว่ะ ไอ้กลิ่นหอม”
ทันทีที่ตื่นนอนในตอนเช้า มนตรีก็รีบผุดลุกและเดินมาหาเพื่อนสาวที่กำลังสาละวนกับการทำมื้อเช้าในครัว กลิ่นหอมวางมือจากห่อไส้กรอกสำเร็จรูป หันไปมองตามน้ำเสียงแหบห้าวด้วยความสงสัย
“อะไรคือบ้านฉันมีผียะ”
น้ำเสียงฟังดูเหมือนไม่ค่อยจะพอใจเท่าไร บ้านหลังนี้เธอซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรง จู่ๆ นังเพื่อนตัวดีมาหาว่ามีผีได้อย่างไร
“มันมีจริงๆ นะแก เมื่อคืนฉันเจอมา”
ทว่ามนตรีก็ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าจริงจังขึงขังจนกลิ่นหอมต้องวางมือจากห่อไส้กรอกแล้วถามเพื่อนกลับไป
“แล้วไปเจอยังไงล่ะ”
“ถูกอำ”
กลิ่นหอมกลอกตาเล็กน้อย จากนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ เอาไส้กรอกเข้าไมโครเวฟ ก่อนจะหันไปมองมนตรีเมื่ออีกฝ่ายย้ำมา
“จริงๆ นะแก ฉันถูกผีอำจริงๆ ขนลุกซู่เลยตอนถูกอำอะ” ว่าพลางลูบแขนทั้งสองข้างของตัวเองยกใหญ่ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้
กลิ่นหอมมองท่าทางนั้นแล้วก็ยกมือขึ้นกอดอก
“ในเมื่อแกบอกว่าบ้านมีผี แกคิดว่าจะให้ฉันทำอะไรไม่ทราบ ย้ายออกว่างั้น?”
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ฝันไปเลย เธอเพิ่งได้เข้ามานอนบ้านใหม่วันแรก จู่ๆ จะให้ย้ายออก ไม่มีทางแน่นอน
และท่าทางนั้นก็ทำให้มนตรีต้องกอดอกขึ้นมาบ้าง
“ใครจะบ้าบอกให้แกย้ายออกกันยะ ฉันไม่ได้จะให้ย้ายออก แค่อยากให้แกไหว้เจ้าที่หน่อย เมื่อคืนนี้จะบอกก็มัวคุยกับพี่ดนัยอยู่นาน เข้าบ้านมา แกก็หลับซะละ”
คนฟังพยักหน้ารับ นึกขึ้นมาได้ในตอนนี้ว่าเมื่อวานไม่ได้ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง อันที่จริงเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะปกติแล้ว กลิ่นหอมไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ถ้าจะให้พูด ก็อาจจะบอกได้ว่าเธอเป็นคนไร้ศาสนาก็ได้ วัดวาอารามถ้าได้เข้าไปเมื่อไรนั่นหมายถึงการไปเที่ยว หาใช่การไปทำบุญแต่อย่างใด
ทว่านั่นก็หาได้สำคัญเท่ากับการที่หญิงสาวจะฉุกใจคิดขึ้นมา