งานแต่งโดนป่วน
เดือนต่อมา
ในที่สุดตำนานรักอวบคิงก็เดินทางมาถึงวันวิวาห์ โดยงานแต่งงานจัดขึ้นที่บ้านของขุนพลซึ่งเป็นคฤหาสน์หลังโตที่มีสวนหน้าบ้านกว้างขวาง รองรับญาติผู้ใหญ่และแขกคนสนิทได้เป็นจำนวนมาก แต่กระนั้นแขกที่ได้รับเชิญมาก็มีเพียงคนที่คุ้นเคยและสนิทสนมกันจริงๆ ซึ่งมีราวๆ ร้อยกว่าคนเท่านั้นเอง
ตอนนี้ผ่านพิธีการช่วงเช้าทั้งการสวมแหวนหมั้นและไหว้ญาติผู้ใหญ่และอะไรต่อมิอะไรตามประเพณีไทยครบหมดแล้ว ในเวลานี้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวกำลังยืนต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานกินเลี้ยงตอนเย็น ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นแขกคนสนิทจากช่วงเช้านั่นแหละ รวมถึงเพื่อนๆ สมัยเรียนของทั้งคู่ หนึ่งในนั้นมีฐิติมาหรือฝนที่เดินจูงมือลูกชายวัยสองขวบมาด้วย ดูเหมือนเจ้าหนูน้อยนั่นจะแข็งแรงและเอาเรื่อง เพราะบ่อยครั้งที่ผู้เป็นแม่ยื่นมือไปหาหมายจะยกอุ้มขึ้นมา แต่ไอ้ตัวเปี๊ยกก็เบี่ยงตัวหนีไม่ให้แม่อุ้มทุกครั้งไป
ฐิติมาทักทายบ่าวสาวพอเป็นพิธีด้วยใบหน้าแช่นชื่น ก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความสะดวกไปนั่งที่โต๊ะ ในใจนั้นก็ได้แต่แอบอิจฉาอาทิตยา เทียบกันแล้วแม้ฐิติมาจะเฉิ่มเชยสวมแว่นตาหนาเตอะ แต่ก็ดูดีหุ่นเซียะกว่าอาทิตยาที่อวบอ้วนมากโข กระนั้นความรักครั้งแรกของเธอที่มีต่อขุนพล ก็ยังต้องพ่ายให้กับยัยอวบที่ไม่ได้มีอะไรน่ามอง
ไม่มีใครรู้ว่าฐิติมาแอบชอบแอบปลื้มขุนพลตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ได้นั่งเรียนในห้องเดียวกับเขาทำให้เธอไม่อยากขาดเรียนเลยสักครั้ง
แต่ถึงแม้จะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับความสนใจจากเขาบ้าง หรือแม้กระทั่งยืมมือชลิตากับพรรคพวกเล่นงานอาทิตยา สุดท้ายขุนพลก็ไม่เคยชายตาแลเธอเลยแม้แต่น้อย
และถึงแม้ตอนนี้เธอจะแต่งงานและมีลูกแล้ว แต่ฐิติมาก็ยอมรับอย่างไม่อายว่าความปลื้มที่แอบมีให้ขุนพลไม่เคยลดน้อยถอยลงไปเลย แต่ไม่ได้คิดอยากครอบครองหรือให้เขาหันมามองอะไรทำนองนั้นแล้วล่ะ เธอรักครอบครัวของเธอเหมือนกัน แค่ว่าพอได้มาเห็นเขาอีกครั้งในวันนี้ก็ทำให้อดนึกย้อนไปถึงวันเก่าๆ สมัยเรียนไม่ได้
เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ทั้งขุนพลและอาทิตยาก็เชิญเธอมาในฐานะเพื่อน ทั้งที่ตอนงานแต่งงานของเธอ เธอไม่ได้ชวนใครเลยด้วยซ้ำ ให้ทุกอย่างที่มันผ่านมาแล้วผ่านเลยไปก็แล้วกัน เธอจะมูฟออนจริงๆ สักที
ฝ่ายชลิตานั้น พอเห็นโจทก์เก่ามาร่วมงานด้วยก็จ้องเขม็ง เป็นจังหวะที่ฐิติมาหันมาเห็นเธอพอดี ต่างคนเลยต่างเล็งสายตาใส่กัน และเป็นวรฤทธิ์ที่มาดึงแขนของแฟนสาวให้เดินออกไปอีกทาง
“อะไร!”
ชลิตาแว้ดถามคนที่ลากแขนเธอออกมา
“ช่างมันเถอะน่า เรื่องมันผ่านมานานแล้ว”
“ก็ไม่ได้จะทำอะไรนี่”
“เหรอ...ไม่ได้จะทำอะไรเลย แต่จ้องอย่างกับจะกระโดดกัดกันซะขนาดนั้น”
“นี่! ปากคอช่วยลดความมอมลงมาบ้างได้มั้ย พูดจาแต่ละอย่างไม่น่าคบเลย”
กำลังกรุ่นๆ เรื่องฐิติมาอยู่หยกๆ เพราะเคยมีความหลังครั้งเก่า กลายเป็นชลิตาต้องมาอารมณ์เสียกับความปากเสียของแฟนตัวเองซะอย่างนั้น
“อ้าว นี่หวังดีนะ อุตส่าห์พาแยกออกมา ไม่อยากให้มีเรื่องมีราว วันนี้วันดีอย่าป่วนเด็ดขาด เข้าใจมั้ย ฮะ ที่รัก”
ตบหัวแล้วลูบหลังแรงๆ นี่แหละคือวรฤทธิ์ แต่ก็ได้ผลเสมอ เพราะพอเขาเรียกเธอว่าที่รักแค่นั้น ปากอิ่มที่ตั้งท่าจะเถียงต่อก็ถึงกับหุบฉับ แต่ก็ยังไม่วายส่งค้อนให้เขาอยู่ดี
“ไปๆ หาอะไรกินกัน เดี๋ยวพอเสร็จพิธีกรรมเยอะแยะมากมายนี่ ฉันจะพาเธอทำอะไรสนุกๆ”
“ทำอะไรอีกอะ!”
ถามน้ำเสียงรำคาญคนชอบมีเลศนัย
“เถอะน่า เดี๋ยวก็รู้”
วรฤทธิ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกอดเอวพาชลิตาเดินกลับเข้าไปยังบริเวณโต๊ะของตนเองที่มีเพื่อนๆ ร่วมแก๊งนั่งกันอยู่ก่อนแล้ว...
และแล้วก็มาถึงเวลาทำอะไรสนุกๆ อย่างที่วรฤทธิ์โอ้อวดกับ ชลิตาไว้ ปากมันก็พลอยห้ามคนอื่นว่าอย่าป่วนงานแต่งเพื่อน แต่ไม่คิดจะห้ามตัวเองสักนิด
เพราะทันทีที่แขกเหรื่อผู้หลักผู้ใหญ่กล่าวไชโยและบ่าวสาวขึ้นไปขอบคุณเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เป็นเวลาแห่งความบันเทิงล้วนๆ และคนที่วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้ส่งขุนพลเข้าหอจนฟ้าสางก็ไม่รอช้า รีบกระโดดขึ้นเวทีและจับจองไมโครโฟนเพื่อร้องเพลงทันที แย่งหน้าที่นักร้องที่มาพร้อมกับวงดนตรีไปอย่างหน้าด้านๆ
และวรฤทธิ์ก็ไม่ได้ไปคนเดียว แต่ลากศุภณัฐ วิบูลย์ และศักดิ์ชัยขึ้นไปด้วย ส่วนชลิตาและนีรนาถนั้นก็เต็มใจให้กำลังใจแฟนอยู่ข้างล่างหน้าเวทีพร้อมกับเต้นโยกย้ายไปมาอย่างไม่เกรงใจชุดสวยๆ สักนิด
แรกๆ ก็ดูดีกันอยู่หรอก แบบว่าเฮฮาธรรมดาทั่วไป แต่หลังๆ เพลงมันเริ่มสนุกคึกคักเน้นเอามันมากขึ้น และคนอย่างขุนพลก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับอะไรอย่างนี้สักเท่าไหร่ เขาเลยรู้สึกว่าอยากจะได้ปี๊บมาคลุมหัว
“ไอ้พวกบ้าสี่ตัว! มึงลงมาเลย กูอายคน!”
ขุนพลตะโกนด่าจากข้างล่าง ก่อนจะหันไปมองข้างตัวแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเจ้าสาวของเขากำลังใส่สเต็ปตามเด๋อเดี่ยงด่างของลำไย ไหทองคำ อย่างเมามัน ก่อนที่เธอนั้นจะค่อยๆ เขยิบห่างเขาไปเรื่อยๆ