บทที่ 5

1564 Words
“พี่เป็นพวกโรคจิตเหรอคะ?” “ใช่ค่ะ คงจะอย่างงั้น” คำตอบของเขาทำฉันพูดอะไรไม่ถูก แต่ก็เริ่มปักใจเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกันว่าเขาน่าจะเข้าข่ายผู้ป่วยทางจิต แต่ว่า... “มันเหมือนเป็นโรคเวรโรคกรรม ที่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย...” นายอสุรากล่าวขึ้นน้ำเสียงนิ่งๆเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไป ราวกับว่าเขาพยายามจะอธิบายเหตุผลของการกระทำตัวเองที่เกิดขึ้นทั้งหมด “ที่ดันชอบมองเด็กมากกว่ากว่ามองคนรุ่นเดียวกันหรือแก่กว่า เคยพยายามเลิกชอบแล้วแต่ก็ทำไม่ได้” “หมะ หมายความว่าไงคะ?” ฉันถามอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะยิ่งได้ฟัง ฉันก็ยิ่งรู้สึกชัดมากเข้าไปใหญ่ว่าผู้ชายคนนี้มีความคิดและความรู้สึกต่างจากคนปกติทั่วไป “เคยลองคบกับคนต่างเพศรุ่นๆเดียวกัน แต่ทำไม่ได้...” “...” คบกับคนรุ่นเดียวกันไม่ได้งั้นเหรอ? “ถ้าได้โดนตัวเมื่อไหร่ แม่งจะคันยิบไปหมดทั้งตัว” พอได้ฟังสาเหตุซึ่งดูไม่สมเหตุสมผลจากปากเขามันก็พานให้ต้องย้อนถามเขากลับไปอย่างทันควันอย่างนึกข้องใจ “แล้วตอนที่หนูนั่งตักพี่ล่ะคะ...” คนถูกถามแสดงสีหน้าแปลกใจให้เห็นวูบหนึ่ง ก่อนหรี่ตาลงคล้ายกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง นั่นจึงทำให้ฉันรีบเอ่ยปากแก้ต่างเพื่อกลบเกลื่อนอย่างไม่ต้องสงสัย “กะ กับหนูที่เป็นเด็กพี่ไม่รู้สึกคันบ้างหรือไง?” “ไม่ค่ะ ปกติดี” เขาบอกเสียงเรียบ “ปกติเหรอคะ!?” ฉันย้อนเสียงหลงอย่างไม่เชื่อหู ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่แสดงทีท่าปฏิเสธให้เห็นแต่อย่างใด กลับกันเขาดันพยักหน้าหงึกหงักรับในสิ่งที่ถามแบบไม่ปกปิด สิ่งที่นายอสุราแสดงให้เห็นนั้นเริ่มทำให้ความคิดในหัวฉันทำงานหนักและจำแนกข้อสันนิฐานออกเป็น 2 ข้อใหญ่ ข้อแรก ทุกวาจาที่เขาเอ่ยให้ฟังนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคำโกหก พูดเพื่อทำให้ความผิดของตัวเองลดโดยสร้างภาพว่าสิ่งที่ลอดผ่านปากเขานั้นคือโศกนาฏกรรมน่าเศร้าที่มีติดตัว ข้อสอง ทุกวาจาที่เขากล่าวมานั้นอาจจะมีส่วนเป็นเรื่องจริง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น นายอสุราคนนี้จะเข้าข่ายผู้ป่วยจิตเวชชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกว่า ไฮโปคอนดิเอซิด[1] (Hypochondriasis) หรือเรียกกันง่ายๆ ก็คือโรคคิดไปเองนั่นแหละ เหตุผลที่ฉันตั้งข้อสันนิฐานไว้เช่นนี้ก็เพราะ ในเมื่อเขาบอกว่าเขาไม่สามารถแตะต้องตัวคนต่างเพศที่มีอายุไล่เรี่ยกว่าตัวเองได้เพราะจะเกิดอาการคัน แต่กับฉันเขาดันบอกไม่รู้สึกถึงอาการเหล่านั้น ทั้งที่ฉันเองก็ไม่ใช่เด็กแถมอายุยังจะย่างเข้าสามสิบในอีกไม่กี่ปีข้างเสียด้วย สิ่งที่เขาทำ เรื่องที่เขาพูดมันก็ทำให้ตีได้สองเหตุผลตามอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เพื่อจับผิดพิรุธเป็นหนสุดท้ายว่าแท้จริงแล้วเขาตกอยู่ในข้อสันนิฐานข้อไหนกันแน่ ดังนั้นปากก็เลยเริ่มขยับเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง “ทำแบบนี้ ระวังจะถูกจับข้อหาพรากผู้เยาว์หรือทำอนาจารเด็กนะคะ...” ฉันหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางตีเนียนทำท่าเหมือนเด็กด้วยการจัดการไอติมที่ละลายในมือยัดเข้าปากโดยเอ่ยย้ำคำถามที่อยากรู้ไปด้วย “...พี่ชายไม่กลัวเหรอคะ?” “ทำไมต้องกลัว?” จบคนฟังก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากโซฟาทันทีพร้อมคำตอบ รอยยิ้มกึ่งเจ้าเล่ห์บนใบหน้าดุดันเองก็มลายหายไป เหลือเพียงความบึ้งตึงและดูไร้ความเป็นมิตร เขาไม่รอให้ฉันได้ปริปากหรือส่งเสียงถามน่ารำคาญใดออกมามากกว่านี้แต่รีบเป็นฝ่ายถามแทรกพร้อมทั้งก้าวเท้าเดินตรงปรี่เข้าหา “อ๊ะ!” สถานการณ์ตรงหน้าที่เริ่มเข้าข่ายไม่ปลอดภัยทำฉันรีบหันกลับไปที่บานประตูเพื่อหมุนลูกบิดพาตัวเองหนีแบบไม่ต้องคิด ทว่า แกร๊ก.. แกร๊ก.. ประตูมันดันล็อก! เวรเอ้ย! กึก! เพียงแค่เสี้ยวความช็อก ฉันก็กลายสภาพเหมือนหนูติดกับดัก ไม่สามารถเคลื่อนตัวหนีได้เมื่อชายตัวสูงใหญ่ตรงเข้าประชิดจากทางด้านหลัง เขาจับมือฉันที่พยายามหมุนลูกบิดเสียงดังลดออกอย่างช้า พานให้ต้องหันขวับไปมองเจ้าของการกระทำดังกล่าวอย่างไม่ไว้ใจ และนี่คงเป็นอีกครั้งที่ฉันต้องพบกับความน่าตกใจ เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะใช้กำลังบีบบังคับให้หยุด กลับกันเขาเขากำลังใช้สายตานิ่งๆ มองและใช้มือทั้งสองข้างจับตัวฉันพลิกหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาตรงๆแต่เพียงเท่านั้น “หรือว่าเรากำลังกลัว?” และเอ่ยถามคล้ายกับห่วงความรู้สึก แน่นอนว่าฉันก็ได้แค่พยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบแม้ลึกๆ จะเต็มไปด้วยความหวาดระแวงอยู่เต็มอกก็ตาม การทำเช่นนั้นกลับทำให้คนตัวใหญ่ฉีกยิ้มกว้างๆ ให้เห็นพลางเอื้อมมือแตะหัวฉันอย่างเอ็นดูก่อนค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งนั่งยอง เพื่อให้ฉันไม่ต้องเงยหน้ามอง “พี่แค่ชอบเด็กค่ะ...” น้ำเสียงเข้มดุๆ เอ่ยขึ้นแสดงความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง “ไม่ได้ทำอนาจารหรือพรากผู้เยาว์เด็กที่ไหน ไม่ต้องกลัวนะคะ” “…” “เอาไว้ถ้าพี่ทำอนาจารเราเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นเราค่อยกลัว...” เขายิ้มใจดีราวกับไม่รู้สึกอะไรต่อความหมายที่แฝงมากับถ้อยคำ หากแต่นั่นไม่ใช่คนฟังอย่างฉัน ! เดี๋ยวนะ! พูดแบบนี้มันหมายความว่าไงกันฮะ! “ถะ ถ้างั้นพี่ก็ปล่อยหนูกลับบ้านสิคะ” เมื่อคิดได้แบบนั้นฉันจึงร้องขอเขาไปอีกรอบด้วยท่าทางน่าสงสาร แต่เขาก็ยังร้องขอด้วยสีหน้าและน้ำเสียงชวนน่าเห็นใจกว่า “อยู่ต่อ...อีกนิดหนึ่งไม่ได้เหรอ?” “มะ ไม่ได้ค่ะ หนูต้องรีบกลับไปทำการบ้าน” “งั้นให้พี่ไปส่งนะ” แม้จะพยายามปฏิเสธสักเท่าไหร่ แต่ผู้ชายนี้ก็ยังตื้อไม่หยุดแถมยังแสดงความต้องการของตัวเองไม่หยุด มิหนำซ้ำยังถือวิสาสะคว้ามือฉันไปไว้กับตัวแสดงความเป็นเจ้าของ เมื่อการร้องขอดีๆ ดูจะไม่ได้ผลเห็นที คงต้องใช้ไม้ตายขั้นสุดท้าย พอคิดเช่นนั้นฉันก็สูดลมหายเข้าปอด สายตาจดจ้องสู้นัยน์ตาคมอีกฝ่ายนิ่งๆซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะมองตอบกลับมาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เมื่อสบโอกาสเหมาะสมกริยาบนใบหน้าก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันและเปลี่ยนแววตาให้กลายเป็นเด็กน่าสงสาร ขึงตานิ่งๆให้อากาศภายในห้องโกรกจนเริ่มปรากฏเป็นหยาดน้ำตาล้มปริ่มเต็มกรอบตาทั้งสองข้าง และเริ่มโชว์สกิลการอ้อนและงอแงแบบเด็กแสดงความต้องการของตัวเองโดยที่ในน้ำเสียงเสแสร้งแกล้งสะอื้นนั้นถูกแฝงไว้ด้วยลูกอ้อนแบบเด็กๆ เพื่อขอให้เขาเห็นใจ “ฮึก...พะ พี่ขา...” และใช้สกิลการพุ่งเข้าประชิดตัวเพื่อเดินหน้ายิงลูกอ้อนอย่างเต็มกำลัง โดยการใช้มือคว้าลงบนไล่กว้างของผู้ชายตรงหน้า “พี่ขา...หนู...ฮึก หนูอยากกลับบ้านแล้ว...” “...” “หะ ให้หนูกลับบ้านเองนะคะ...พี่ขา...อ๊ะ” แต่แทนที่การทำเช่นนั้นจะช่วยลดระยะห่างระหว่างเราลงจนฉันสามารถเป็นอิสระได้เหมือนอย่างที่คิด แต่เปล่าเลย เมื่อจู่ๆ คนฟังเริ่มแสดงปฏิกิริยาตอบอีกอย่างกลับมา ตึงง! นายอสุราใช้มือข้างที่เหลือผลักไหล่ฉันกดกระแทกเข้ากับบานประตูจนมือที่คว้าไหล่เขาไว้หลุดออก อีกทั้งยังเป็นฝ่ายกดลำตัวเข้ามาหา ทาบชิดมือลงกับบานประตูในระยะประชิด ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วชนิดตั้งตัวไม่ติด รู้ตัวอีกทีฉันก็กำลังถูกเขาใช้ร่างกายขุมขังเอาไว้ “อึก...” อีกครั้งที่ฉันต้องกลืนน้ำลายลงคอลดความหวาดหวั่นเมื่อผู้ชายตรงๆหน้าค่อยๆยืดตัว เคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จากมุมต่ำ รับรู้ถึงอาการสั่นๆ จากอีกฝ่ายรวมถึงลมหายใจเข้าออกหนักๆ ที่เขาเปารดใส่ได้อย่างชัดเจน “อ่า...อยะ อย่าเรียกแบบนี้...” ฉันได้ยินเสียงเขาเอ่ยบอกสลับกับลมหายใจแรงๆ คล้ายกับพวกโรคจิตที่พร้อมจะกระทำชำเราคนไม่มีทางเลือกได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่แค่เสียงแต่การกระทำอีกคนตัวใหญ่แสดงออกก็เช่นกัน “ดะ เดี๋ยวพี่ทนไม่ไหว...” “คะ แค่ตอนนี้...” เขาพึมพำกึ่งขู่กึ่งขอ เคลื่อนหน้าขึ้นสูงเข้ามาใกล้ มากขึ้น มากขึ้น พลอยให้ต้องเบี่ยงหน้าหลบหลับตาปี๋ด้วยอาการเกร็งจัด และในวินาทีก่อนที่ปลายจมูกของเขาจะจรดแตะลงมา ฉันก็ได้ยินเสียงปลดกลอนประตูคล้ายกับยินยอมปลดปล่อยฉันสู่อิสระพร้อมด้วยกระซิบแหบพร่าข้างหูบ่งบอกความรู้สึกและความวิตถารของตัวเองออกมาให้เห็นอย่างไม่คิดปกปิด “พี่ก็...ระ ระทวยไปหมดแล้ว...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD