bc

เสพติดเด็ก

book_age18+
464
FOLLOW
1K
READ
HE
age gap
sweet
campus
addiction
like
intro-logo
Blurb

"น้องๆไปกินไอติมบนห้องพี่ป่ะ?" ฉันกำลังถูกผู้ชายท่าทางอันธพาลแถมสักทั้งตัวล่อลวงที่หน้าโรงเรียนประถม เขาดูไม่เป็นมิตรและพร้อมเป็นอาชญากรได้ทุกเมื่อ ทว่า "เห็นแบบนี้ พี่รักเด็กนะ.." ลักขโมยน่ะสิ อิผี!

chap-preview
Free preview
บทที่ 1
-TUBE TALK-      วันจันทร์ เวลา 15.20 นาฬิกา      “อ๊ะ...”      เสียงครวญหวานของหญิงสาวในชุดเครื่องแบบนักเรียนดังลั่นไปทั่วห้องพัก ขณะที่เจ้าของห้องอย่างผมกำลังนั่งขัดสมาธิประคองถ้วยมาม่าไว้ในมือจัดการใช้ส้อมพลาสติกที่แถมมาตักเส้นเข้าปากอย่างเงียบๆ      “อื้อ...อะ..” เธอคนนั้นกำลังก่อกวนสมาธิการกินของผมให้เริ่มสะดุดตามจังหวะเสียงร้องขาดช่วง จำต้องชำเลืองตามองไปยังที่มาของเสียงดังกล่าวบริเวณจอแก้ว และพบว่าสิ่งที่ปรากฏกำลังฉายภาพของนักเรียนหญิงคนดังกล่าว เวลานี้กำลังตกอยู่ในสภาพเกือบเปลือย เสื้อนักเรียนของเธอถูกเลิกขึ้นจนเห็นหน้าอกหน้าใจขนาดมหึมา เนื้อตัวเธอกำลังสั่นไหวตามแรงกระแทกกระทั้นกายจากนักเรียนชายในชุดสถานศึกษาเดียวกัน      ยิ่งรุนแรง ยิ่งร้องดัง “อ๊ะ...อะ... อ๊าา” ยิ่งเสียงดัง ยิ่งขัดสมาธิการกินมาม่าของผมสิ้นดี      ตุบ!      “คิกๆ อย่าสิ คนเยอะ~” หากว่าเสียงครวญครางของนักเรียนหญิงที่ว่าก่อความรำคาญใจให้ผมมากพอแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าไม่ใช่เมื่อบนเตียงนอนห่างจากจุดที่นั่งซดมาม่าอยู่นั้น ได้มีภาพเหตุการณ์จริงเฉกเช่นเดียวกับในจอแก้วกำลังเกิดขึ้น “ทำแบบในหนังไงคะ...เร็ว” พอได้มองคู่หญิงชายบนที่นอน ผมก็ต้องถอนหายใจออกมา ยิ่งพบว่าคู่ชายหญิงในจอแก้วเวลานั้น กับคู่ชายหญิงบนเตียงเป็นคนคนเดียวกันด้วยแล้วผมยิ่งเหนื่อยหน่ายใจ จำต้องขยับหันหลังใส่ทั้งจอโทรทัศน์และคนบนเตียงอย่างเสียไม่ได้ “อื้อ...” แต่ใครจะไปรู้ว่าการตัดสินใจหันหลังให้เสียงครวญครางจากจอโทรทัศน์และเตียงนอนจะเป็นการเปิดโอกาสให้เสียงเหล่านั้นยิ่งทวีความดังมากขึ้น ประหนึ่งติดเซอร์ราวไว้ภายในห้อง สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวจำต้องเอ่ยปากแทรกเสียงสื่ออารมณ์เหล่านั้นออกมา “เสียงให้มันเบาๆ หน่อยดิ กูจะแดกมาม่า” “อะไรของมึงวะ บิ้วขนาดนี้ไม่มีอารมณ์บ้างไง?” เสียงเข้มของไอ้ ‘กั้ง’ ตะโกนถามกลับมาอย่างติดตลก มิหนำซ้ำยังกล่าวเสริม “กูอุตส่าห์เอาหนังใหม่มาให้มึงดูก่อนใครเลยนะเว้ย!” ได้ยินไอ้กั้งพูดแบบนั้น ผมจึงตัดสินใจวางถ้วยมาม่าลงกับพื้น เหลือบหางตามองหน้ามันกลับไปและพบว่า คำตักเตือนไม่ได้ทำให้มันหยุดนัวเนียผู้หญิงที่พามาด้วยได้เลย จะว่า ก็ว่าไม่ได้เพราะที่ไอ้กั้งทำ มันล้วนแต่เต็มไปด้วยความหวังดีทั้งนั้น “หว้าออกจะเซ็กซี่ขยี้ใจขนาดนี้ ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องอยากทั้งนั้นแหละจริงไหม?” ไอ้กั้งเอ่ยปากชมหญิงสาวที่มันกำลังคร่อมกายนัวเนียริมฝีปากไปตามซอกคอแบบไม่สนใจว่าเจ้าของห้องอย่างผมจะรู้สึกอย่างไร “เห็นแล้วไม่อยาก นี่แม่งตายด้านชัดๆ” ก็อย่างที่ไอ้กั้งมันว่า ผู้หญิงที่ชื่อ ‘ลูกหว้า’ คือนางเอก AV เบอร์หนึ่งของสังกัดที่มันร่วมแสดงอยู่ ไม่ว่าจะเดินไปเจอสายหื่นที่ไหน ทุกคนก็ล้วนแต่พูดถึงเธอเป็นเสียงเดียวกัน เธอเอ็กซ์ เซ็กซี่ เร่าร้อน และมีเรือนร่างและเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างรุนแรง แต่อย่างไรซะ ความเซ็กซี่ขยี้ใจของลูกหว้าก็ใช้ไม่ได้กับผมอยู่ดี จะพูดว่าตายด้านไหม มันก็ไม่ถูกเสมอไป เพราะผู้ชายมันต้องมีอารมณ์กับเรื่องใต้สะดือกันทั้งนั้น ผมเองก็มี เพียงแค่ว่าสิ่งที่พบ สิ่งที่เห็นมันยังไม่ถูกจริตแค่นั้น พูดตามตรงก็คือสเป็กผมคือเด็ก ยิ่งเด็กยิ่งดี หุ่นไม่ต้องน่าขยี้แค่เห็นหน้าแล้วอยากสีเท่านั้นก็พอ อายุรุ่นๆ สักประมานเด็กประถมนี่โดนใจเลย ผมไม่ชอบผู้หญิงหน้าอกใหญ่ ใหญ่เกินไปแม่งก็น่ากลัว บีบแรงไม่ได้ ขืนบีบๆ อยู่นมแตกคามือขึ้นมาจะทำไง ผมชอบผู้หญิงหน้าอกเล็กแบบเด็กมากกว่า ลองคิดตามนะ ผู้หญิงนมเล็กไม่ได้เสียหายตรงไหน เดี๋ยวบีบๆไปสักวันแม่งก็ใหญ่ขึ้นเองแหละจริงไหม? แม้คนรุ่นเดียวกันจะทำให้ผมรู้สึกอะไรไม่ได้ แต่สำหรับผมเด็กตัวเล็กๆ ประมานสักประถม มัธยมเนี่ย มันดึ๋งดั๋งถูกใจนัก เพียงแค่นึกถึงหน้าเด็กสักคน ไม่ต้องพึ่งการบิ้ว ผมก็แตกตื่นทางเพศได้ สิ่งที่เป็นอยู่มันเหมือนโรคเวรโรคกรรมที่แก้ไม่หายที่ดันเป็นลัทธิโลลิคอน[1] ไม่ใช่แค่สเป็กผู้หญิง แต่ข้าวของในห้องก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยผู้หญิง 2D เซ็กซี่แบบเด็กๆด้วยเช่น โดยรวมแล้ว ผมคงดูไม่ต่างจากพวกโอตาคุตรงไหนที่มีอารมณ์ได้ทั้งกับเด็กแต่ผู้หญิง 2D  ผมเคยพยายามลองเปลี่ยนสเป็กและความชอบหลายรอบแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้ ไม่ว่ายังไงกับผู้ใหญ่ด้วยกันมันก็ไม่ถูกใจ แต่กับเด็กวัยใสทั้งในโลก 2D และโลกความจริง แม่งโดนใจกว่าเยอะ ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม ทุกวันนี้ได้แต่นั่งไอเป็นคุก คุก คุก แต่ไม่ต้องห่วง ผมกำลังหาทนายอยู่... ถึงจะคลั่งไคล้และมีอารมณ์กับเด็กมาแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่ากับผมจะไม่เคยผ่านเรื่องคาวๆ กับผู้หญิงรุ่นเดียวกันหรอกนะ อย่างที่บอกมันก็ต้องมีบ้าง แต่หลังๆ ผมมักจะเลี่ยง ส่วนเหตุผลที่เลี่ยง มันก็เพราะทุกครั้งที่ได้สีด้วยผมจะ... ฟึ่บ! “ทำไมคะ หว้าไม่เซ็กซี่ถูกสเป็กธูปเหรอ?” เสียงหวานแกมเซ็กซี่เอ่ยกระซิบติดชิดข้างหูพร้อมด้วยวงแขนเล็กที่เจ้าของเสียงเชิญชวนถูกสวมกอดลงมา การกระทำและน้ำเสียงของลูกหว้าหยุดความคิดในหัวผมลง รับรู้ได้ถึงหน้าอกหน้าใจขนาดมหึมาของเธอกำลังบดเบียดเสียดสีลงช่วงหลังเปล่าเปลือยของตัวเองอย่างรู้สึกได้ “หว้าปล่อย...” เธอเซ็กซี่สมคำล่ำลือจริงๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมใครๆ ต่างยกให้เธอเป็นนางเอก AV เบอร์หนึ่ง ซึ่งการถูกเธอเบียดกายเข้าใส่แบบนี้มันทำให้ผมชักเริ่มรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน... “พี่คัน” คำพูดบอกความรู้สึกสั้นๆ ทำคนฟังชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยอมคลายวงแขนออกไปตามคำขออย่างว่าง่าย หากแต่นั่นไม่ใช่กับไอ้กั้งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย “มึงพูดงี้ได้ไงวะไอ้ธูป หว้าเสียใจแย่” ปากไอ้กั้งน่ะต่อว่าผม แต่มือกำลังกวักเรียกลูกหว้าให้เขาไปหาประหนึ่งจะปลอบใจ อีกทั้งยังต่อว่าด้วยคำพูดโดยใช้สายตาเป็นตัวเสริม “ไอ้ธูปมันเป็นพวกตายด้าน อย่าไปสนใจเลยเนาะ” ผมยักไหล่ไม่แยแสต่อคำว่าเพราะรู้ ว่าไอ้กั้งก็ไม่ได้คิดจะต่อว่าผมจริงจัง มันเองก็รู้ ว่าผมไม่ได้เป็นแบบนี้กับลูกหว้าแค่คนเดียว ซึ่งไอ้อาการคันที่ว่านั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้ต้องเลี่ยงการมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่โตแล้ว ดังนั้นผมจึงเลี่ยงความวุ่นวายในห้องลุกเดินหนีออกไปทางระเบียง แบบไม่คิดจะหันกลับไปสนใจนางเอกเอวีชั้นแนวหน้ากับพระเอกเอวีคู่ขาของเธอเท่าไหร่นัก เวลาแบบนี้ที่ผมสนใจมันคือบรรยากาศและวิวทิวทัศน์ที่มองเห็นได้จากระเบียงห้องมากกว่า เพราะเมื่อไหร่ที่เข็มสั้นของนาฬิกาขี้ไปที่เลขสาม เข็มยาวชี้ไปยังเลขหกแล้วล่ะก็ เมื่อนั้นภาพวิวทิวทัศน์เบื้องล่างหอพักก็จะเปลี่ยนเป็นสรวงสวรรค์ในพริบตาชนิดที่ว่าหลับตานับเวลาถอยหลังรอได้เลย... ติ๊กต่อก! ติ๊กต่อก! 3.....2.....1....0.... ทันทีที่ผมนับถอยหลังเสร็จสิ้น เสียงกริ่งและเสียงระฆังก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันจากทางด้านซ้ายและด้านขวาของสองฝั่งถนนตัดผ่านหน้าหอพัก จำแนกได้เป็นเสียงระฆังจากโรงเรียนอนุบาลหมีน้อยบนถนนฝั่งซ้าย เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนจากโรงเรียนประถมบนถนนฝั่งขวา ผมโน้มตัวลงเท้าแขนกับราวกั้น จับตามองภาพของประตูสองฝั่งโรงเรียนที่ตอนนี้เริ่มมีรถของผู้ปกครองเลี้ยวเข้าไปรับลูกหลานให้เห็นบางตา เพียงไม่นานอาหารตาก็เริ่มทยอยปรากฏตัวให้เห็น ภาพของเด็กประถมหญิงหลายสิบคนที่พากันเดินจับกันเดินออกนอกรั้วโรงเรียนเพื่อตรงกลับบ้านรวมถึงภาพของเด็กอนุบาลหญิงซึ่งกำลังถูกผู้ปกครองจูงมือเดินออกจากรั้วโรงเรียนในยามนี้พาให้คนมองรู้สึกกระชุ่มกระชวยกว่าการนั่งเสียงครวญครางของนางเอกเอวีในโทรทัศน์เสียอีก อ่า... เด็กประถมพวกนี้ทำไมถึงได้น่าฟัดแบบนี้นะ รอยยิ้มเล็กๆ ที่นานทีจะปรากฏขึ้นบนหน้าสักครั้งให้ใครได้เห็นผุดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ และผมก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาได้ยืนเชยชมสิ่งสวยงามหลังเสียงบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ผมถอนหายใจอย่างคนสำลักความสุข กวาดตามองบรรดาเด็กนักเรียนที่ต้องเดินผ่านหน้าหอพักอย่างอารมณ์ดีและแอบคิดไม่ได้ว่า การหนีมาอยู่เพียงลำพังในหอพักที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสรวงสวรรค์แบบนี้ อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมลดละเลิกสเป็กคลั่งไคล้เด็กไม่ได้สักทีก็เป็นได้ แต่แล้วไงใครสน ยังไม่ได้ไปล่อลวงเด็กที่ไหนมาครอบครองอย่างผิดกฎหมายสักหน่อยจริงไหม? ตอนแรกก็คิดแบบนี้แหละ แต่เพียงไม่ถึงสิบวินาทีดี ความคิดและความรู้สึกผมก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อสายตาดันบังเอิญเลื่อนไปเจอเข้ากับเด็กผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอเดินอยู่เพียงลำพังบนฟุตบาธหน้าโรงเรียนโดยสะพายกระเป๋าหมีน้อยสีน้ำตาลไขว้ไว้ข้างหน้า ใจผมมันเริ่มจะแปรปรวนขึ้นมาแปลกๆ เมื่อเด็กคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นมองฟ้าพลางใช้มือป้องหน้าผากบังแสงแดดช่วงบ่าย ทั้งที่อยู่ไกลกันตั้งเกือบสามร้อยเมตร แต่ผมดันรู้สึกว่าตัวเองสามารถมองเห็นหน้าเด็กนั้นชัดเจนกว่าเด็กคนไหนๆ พลอยให้ต้องผละตัวออกจากราวกั้นระเบียงเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนมากุมอกข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้ อยากรู้ไหมว่าเสียงในหัวกำลังผมบอกว่ายังไงตอนเห็นเธอ? คุก... คุก... คุก... คุก... เชี่ยเอ้ย! อยู่ๆแม่งก็อยากติดคุกสัก10-20ปี! -TAIN TALK-      วันศุกร์ เวลา 15.40 นาฬิกา      “สวัสดีค่ะคุณครู”      “กลับดีๆนะลูก ระวังรถรา ระวังคนแปลกหน้าด้วย”         “ค่า!”      ฉันขานรับคำของครูใหญ่ซึ่งมักมายืนส่งเด็กในโรงเรียนกลับบ้านหน้าประตูโรงเรียน โดยไม่ลืมยกมือไหว้เป็นหนที่สองอย่างมีมารยาท จากนั้นจึงพาตัวเองเดินก้าวออกจากพื้นที่ในตัวโรงเรียนอย่างเช่นทุกวัน      ช่วงนี้ทางโรงเรียนค่อนข้างเป็นห่วง เป็นกังวลเด็กนักเรียนของตัวเองมากขึ้นกว่าปกติ ทำให้ต้องมีครูเวรคอยยืนตอนรับและส่งนักเรียนกลับบ้านแบบนี้จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่หลงเหลือเด็กนักเรียนในโรงเรียนอีกแล้วถึงค่อยกลับ เหตุผลก็เพราะข่าวที่ไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับเด็กบนหน้าหนังสือพิมพ์ บ้างก็ถูกคนร้ายลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ บ้างก็ถูกจับขาย บ้างก็ถูกจับไปกระทำเรา แถมตำรวจก็ยังไม่สามารถตามจับตัวคนร้ายได้ ซ้ำร้ายเป้าหมายของคนร้ายก็ยังเป็นเด็กประถมตามโรงเรียนมีชื่อเสียง ยิ่งด้วยช่วงนี้เป็นช่วงเรียนซัมเมอร์ด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง เด็กๆสามารถแต่งกายตามใจชอบได้โดยไร้เครื่องแบบ ยิ่งเป็นที่สนใจของพวกวิตถารมากเข้าไปอีก ด้วยสถานการณ์แย่ๆ เช่นนั้นทางโรงเรียนจึงเริ่มเข้มงวดเรื่องการสอดส่องความปลอดภัยนักเรียนของตัวเองมากขึ้นกว่าที่เคย ฉันเองตอนรู้ข่าวเรื่องการลักพาตัวเด็ก ก็รู้สึกตกใจเหมือนกันนะ แล้วก็ได้แต่หวังว่ามันคงจะไม่เกิดกับตัวเองหรือคนใกล้ตัวเท่านั้น ตึก... ตึก... ฉันก้าวเท้าไปบนฟุตบาธอย่างไม่รีบร้อน สองมือล้วงกระเป๋าชุดเอี้ยมที่สวมอยู่ ขณะสายตากวาดมองสอดส่องหาสิ่งผิดปกติ เพื่อช่วยเป็นหูเป็นตาให้แก่พวกคุณครูในโรงเรียนอีกแรงตามหน้าที่ของพลเมืองที่ดี แต่ไม่นานนักเท้าที่กำลังรวมถึงสายตาก็ต้องสะดุดลงในเวลาต่อมา เพราะหลังจากเดินคล้อยหลังออกนอกรั้วโรงเรียนไปได้ไม่เท่าไหร่ สิ่งที่เป็นเหตุผลที่ทำให้เท้าทั้งสองข้างต้องหยุดชะงักอีกทั้งยังเรียกสายตาให้จดจ้องได้ก็คงเป็น ผู้ชายตัวสูงซึ่งเดินมายืนขวางทางอยู่ตรงหน้า เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด ตามแขน ขา เต็มไปด้วยลวดลายกราฟฟิกดูน่ากลัว ที่ดูไม่เข้ากับการแต่งตัวและลวดลายบนผิวหนังเขาเลยก็คงเป็นลูกกวาดสีสวยจำนวนมากในมือข้างซ้าย และตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลในมือขวา ความสูงระหว่างเราที่ต่างกันมากไป ทำฉันต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหน้าชายคนดังกล่าวด้วยความสงสัย “อยากได้หรือเปล่า?” คำถามสั้นๆ ถูกเอ่ยขึ้นแทบจะทันทีที่เราสบตากัน “คะ?” ฉันย้อนชายแปลกหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ลูกกวาด ตุ๊กตาหมี ที่ห้องพี่ยังมีอีกเยอะเลยนะ” หากแต่นั่นคือคำตอบที่ได้กลับมา ลำพังแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็ดูไม่น่าเข้าใกล้มากพออยู่แล้ว ยิ่งได้ฟังคำพูดชักจูงคล้ายกับมีนัยยะแอบแฝงด้วยแล้ว เขายิ่งไม่น่าเข้าใกล้มากเข้าไปใหญ่ ดังนั้นฉันจึงเลี่ยงให้คำตอบผู้ชายท่าทางน่ากลัวตรงหน้ากลับไป แล้วเลือกเดินอ้อมตัวเขาเพื่อหนีและเลี่ยงพูดคุยกับคนแปลกหน้า แต่การทำแบบนั้นใช่ว่าจะทำให้เขายอมรามือลงที่ไหน ชายคนดังกล่าวยังคงเดินตามหลังมาราวกับไม่ยอมจะปล่อยกันไปง่ายๆ ดูแล้วเข้าข่ายพวกคนร้ายล่อลวงเด็กตามหน้าหนังสือพิมพ์เหลือเกิน “แล้วนี่ เราชอบกินไอติมป่ะ?” นอกจากจะเดินตามแล้ว เขาก็ยังไม่วายตั้งคำถาม แต่คงเห็นว่าฉันไม่ตอบแน่แล้ว ชายแปลกหน้าจึงเริ่มบันดาลโทสะ จ้ำเท้าเดินไว พุ่งมือกระชากแขนรั้งตัวฉันไว้อย่างแรงทิ้งลูกกวาดจำนวนมากในมือร่วงเกลื่อนพื้น “อ๊ะ...” ฉันอุทานออกมาด้วยความตกใจ ต่างจากเขาที่ใช้สายตาน่ากลัวมองลึกเข้ามา แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มและยอมปล่อยมือออก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยคำถามล่อลวง “อยากลองกินไอติมพี่ไหม อร่อยนะ” เพราะถูกตื้อและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ หากไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ฉันจึงจำใจตอบอย่างเสียไม่ได้ “หนูต้องรีบกลับบ้านค่ะ…” แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ชายแปลกหน้าก็แทรกขึ้นกลับมาอย่างทันควัน “พี่มีรถ เดี๋ยวขับพาไปส่ง” มิหนำซ้ำยังอาศัยจังหวะตอนฉันไม่ทันระวังตัว ใช้มือจับแขนอย่างถือโอกาส “ไปเถอะ พี่พาไปส่ง” “ปล่อยหนูนะ!” ฉันพยายามสะบัดแขน แต่ด้วยเรี่ยวแรงของผู้ชายตรงหน้าที่มีมากกว่าเป็นไหนๆ มันทำให้การดิ้นหนีดูยากลำบากกว่าที่คิดไว้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ยอมแพ้พยายามร้องตะโกนให้คนช่วย “ช่วยด้วยคะ ใครก็ได้ช่วยหนูด้วย!” “เฮ้ยๆ จะตะโกนทำไม แค่จะพาไปส่งบ้านเอง” ชายแปลกหน้าพยายามอธิบายเหตุผลพร้อมทั้งยอมปล่อยมือจากแขนฉันออกอย่างง่ายดาย เมื่อผู้คนโดยรอบเริ่มหันมองมาทางเรา “คนอื่นเขามองเรากันหมดแล้วเห็นป่ะ?” “แล้วพี่มายุ่งกับหนูทำไม คิดจะหลอกจับตัวหนูแบบพวกโจรบนหน้าหนังสือพิมพ์เหรอ!?” “เอางี้ไหม ตรงนี้คนเยอะ...” ชายแปลกหน้าเริ่มพูดด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเก่า เขาหันมองซ้ายทีขวาทีอย่างมีพิรุธคล้ายกับว่ากลัวคนอื่นจะมองไม่ดี จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยระดับเสียงที่มีแค่ฉันเท่านั้นที่ได้ยิน “เราขึ้นไปคุยกันบนห้องพี่กว่า...” “ไม่ไปค่ะ!” ฉันตอบเสียงหนักแน่นขัดคำเชิญชวนล่อลวงของผู้ชายตรงหน้าลง แต่การทำเช่นนั้นกลับทำให้รอยยิ้มเล็กบนใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายหุบลงและเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เขาใช้แววตาน่ากลัวหรี่มองหน้าฉันคล้ายกับกำลังแสดงความไม่พอใจ “ไม่ต้องกลัวนะ...” แม้ว่าการกระทำจะถูกแสดงออกแบบนั้น ทว่า สิ่งที่รอดผ่านปากเขาประโยคถัดมามันดันตรงกันข้าม “พี่รักเด็ก” ลักขโมยน่ะสิ อีผี! “เอาล่ะ พี่รู้ว่าเราเป็นเด็กดี...” อีกหนที่ผู้ชายตรงหน้ากล่าวขึ้นด้วยเสียงโทนดุคล้ายกับบังคับข่มขู่ด้วยวาจาแทนการกระทำ ซึ่งฉันไม่มีทางยอมให้ตัวเองตกเป็นผู้ถูกข่มเหงตามอย่างที่อีกฝ่ายต้องการอย่างเด็ดขาด “พูดง่ายๆ แล้วตามพี่มาจะดีกวะ...โอ๊ยยยย” ตึงงง! ชายตัวสูงท่าทางน่ากลัวร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด เมื่อสัญชาตญาณเอาตัวรอดสั่งการให้ฉันกระทืบใส่เท้าของชายแปลกหน้าอย่างไม่ยั้งแรง ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาทำท่าจะยื่นมือมาคว้าตัวพอดี เมื่อสบโอกาส ฉันเองก็ไม่รอช้ารีบพาตัวเองวิ่งหนีออกห่างจากชายท่าทางน่ากลัวทันที วิ่งและวิ่งไปบนฟุตบาธแบบไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมอง ตึก! ตึก! ตึก! เกือบสามร้อยเมตรมาแล้วที่ฉันตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีผู้ชายวิตถาร โดยพยายามประคองกระเป๋าน้องหมีที่สะพายไขว้ด้านหน้าเพื่อระวังความปลอดภัย ก่อนตัดสินใจวิ่งเลี้ยวเข้าหอพักแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บริเวณนั้น ลมหายใจหนักๆถูกพ่นทิ้งไล่ความเหนื่อย เมื่อรู้สึกว่าตัวเองพาตัวเองหนีจากสถานการณ์คับขันหน้าโรงเรียนได้สำเร็จ มือรีบเลื่อนเปิดกระเป๋าสะพายน้องหมีออกแบบรีบร้อน หยิบกล้องตัวจิ๋วสำหรับบันทึกภาพเหตุการณ์ผิดปกติหน้ารั้วโรงเรียนประถมขึ้นมาเช็กความเรียบร้อย รอยยิ้มเล็กๆกระตุกขึ้นมุมปากเมื่อพบว่าทุกอย่างยังอยู่ในสภาพโอเคดี แต่แล้วขณะตัดสินใจเดินตรงไปยังลิฟท์ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาเสียก่อน จำต้องหยุดเท้าลงแล้วหยิบขึ้นมากดรับสาย [What's up Baby T.R? (ว่าไงเบบี้ทีอาร์) I really miss you, you know. HA HA (คิดถึงหนูจัง HA HA)] เสียงเข้มส่อแววความขี้เล่นสำเนียงอังกฤษถูกเอ่ยแสดงความรู้สึกผ่านสายทันทีที่กดรับสาย แน่นอนว่าคนที่เรียกฉันด้วยชื่อย่อว่า T.R เหมือนเพื่อนสนิทแบบนี้ได้โดยรู้ความหมายของมันนั้น ก็มีอยู่แค่คนเดียวในโลก... “I miss you too, Dad. HA HA(หนูก็คิดถึงพ่อค่ะ HA HA)” เพราะนานๆทีเราจะได้โทรคุยกัน ความคิดถึงทำให้ฉันรัวใส่ปลายสายไม่หยุด “How are you doing? (สบายดีหรือเปล่าคะ?) By the way, how did the show go in France? Was is good? (แล้วนี่การแสดงของพ่อที่ฝรั่งเศสเป็นอย่างไรบ้างคะ โอเคหรือเปล่า?” [Oh yeah, it was lit! HA HA HA…(เยี่ยม! ไปได้สวยเลยล่ะ HA HA HA…) Ahhh, You sound kind of tired. What were you doing, girl? (อ่า...วันนี้เสียงลูกฟังดูเหนื่อยๆนะ ไปทำอะไรมาสาวน้อย?)] “It's nothing. Don't worry about it.(ไม่มีอะไรค่ะ พ่อไม่ต้องห่วง)” [Have you and lil brother been getting in trouble lately?(อยู่กับน้องที่นั่น ลำบากหรือเปล่า?)] เพราะการต้องถือสายคุยกับพ่อทำฉันต้องเปลี่ยนจากขึ้นลิฟท์มาเป็นบันไดแทน “Nah. Everything is okay.(ไม่ค่ะ ทุกอย่างที่นี่โอเค) You and mom don't have to worry about us. (พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง)” ฉันบอกพ่อไปแบบนั้น แม้ก่อนหน้านี้จะเพิ่งเจอปัญหามานิดหน่อยก็เถอะ แต่เพื่อไม่ให้ปลายสายเป็นห่วงหรือชิงทักท้วงมากไปกว่านี้ฉันจึงเป็นฝ่ายพูดออกไปเองด้วยเสียงติดตลก “I'm working in this part-time job job right now. (แล้วตอนนี้หนูก็กำลังทำงานพิเศษอยู่น้าา)” [ Wowowow! What!? What job!? Why are you working (เฮ้ยๆ! อะไร!? ทำงานพิเศษอะไรอีก!?)] “No, Dad. Not at all actually. (ไม่พ่อ ไม่ใช่งานพิเศษแบบนั้น) It's just a collaboration with the cops. HA HA... (มันก็แค่การไหว้วานของพวกตำรวจ HA HA)” [Copsssssss!!? (ตำรวจอีกแล้ว!?)] “Yep! (ถูกต้อง!) They just want me to help play this catching-the-culprit game. That's all! (พวกเขาแค่ชวนหนูเล่นเกมตำรวจจับผู้ร้ายก็แค่นั่นเอง)” พอเอ่ยประโยคดังกล่าวจบ เท้าฉันก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักที่เป็นเป้าหมายบนชั้น 4 ได้สำเร็จ ก่อนออกปากพูดอีกครั้งด้วยภาษาปกติเมื่อนึกได้ว่าฉันยังต้องมีธุระให้ทำหลังจากนี้อีกเยอะ “หนูต้องวางแล้วค่ะพ่อ หนูถึงห้องแล้ว” [Aha… ดูแลตัวเองให้ดีทีอาร์ อย่าลืมแปรงฟันก่อนเข้านอนล่ะ] “หนูโตแล้วนะพ่อ อย่าพูดเหมือนหนูเป็นเด็กสิ” ปากฉันพูดแบบนั้นส่วนมือก็วุ่นวายอยู่กับการไขประตูเปิดเข้าห้องพัก เพื่อสะสางงานที่ทำค้างไว้ต่อให้เสร็จ ซึ่งการถูกมองว่าเป็นเด็กมันก็ไม่ได้มีแค่พ่อเพียงคนเดียวหรอกที่เห็นเป็นอย่างนั้น [ตราบใดที่ลูกคือลูก และพ่อเป็นพ่อ ลูกยังดูเด็กในสายตาเสมอ Miss you Baby T.R] พ่อทิ้งท้ายใส่ฉันเพียงแค่นั้นก่อนตัดสายทิ้งไปอย่างว่าง่าย ต่อให้รู้สึกหงุดหงิดแต่ฉันก็ยังรู้สึกดีที่พ่อมองฉันเป็นแบบนั้น ถ้านั่นคือสิ่งที่พ่อกับแม่ของฉันมองเห็นแค่อย่างเดียวน่ะนะ... กระเป๋าสะพายหมีสีน้ำตาลถูกวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้งกระจกพร้อมด้วยกล้องตัวจิ๋วถูกหยิบมาวางไว้ข้างกัน ลิ้นชักขนาดไม่เล็กหรือใหญ่เกินไปถูกเปิดออก ปรากฏให้เห็นเอกสารจำนวนหนึ่งถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบภายใน ฉันหยิบเอกสารพวกนั้นขึ้นเปิดดูทีละแผ่นอย่างไม่รีบร้อน ซึ่งทุกแผ่นล้วนแล้วแต่มีรูปของผู้ต้องหาในคดีลักพาตัวเด็กถูกประทับติดรวมกันเอาไว้ พอได้เห็นคิ้วก็เริ่มขมวดชนกันอย่างห้ามไม่ได้เมื่อพบว่าในเอกสารแต่ละแผ่นที่มีอยู่ในมือ ไม่มีแผ่นไหนปรากฏภาพใบหน้าของผู้ชายท่าทางน่ากลัวที่เพิ่งเจอวันนี้เลยสักแผ่น “แปลกแฮะ...” ฉันพึมพำด้วยความสงสัยก่อนตัดสินใจโยนเอกสารทั้งหมดที่มีใส่กระเป๋าสะพายน้องหมี ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์มือถืออีกเครื่องมีสายเรียกเข้ามาพอดีทำให้ต้องละความสนใจจากเหตุการณ์ที่เกิดและกองเอกสาร หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับด้วยความรีบร้อน [ว่าไงหนูน้อยเทียน ได้อะไรเพิ่มเติมบ้างไหม?] เสียงจากปลายสายทำฉันสะอึกไปนิดหน่อย พานให้ต้องใช้มือหยิบเอกสารสักแผ่นมาไว้กับตัวส่วนปากก็ให้คำตอบ “ยะ ยังเลยค่ะ!” [แย่หน่อยนะ ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องจับตัวมันให้ได้ รู้ใช่ไหม?] ฉันเม้มปากลงเล็กน้อยอย่างรู้สึกโล่งอก เมื่อปลายสายไม่ได้เร่งเร้าเรื่องคดีความที่เป็นข่าวใหญ่อยู่ในขณะนี้ แต่เหมือนว่าฉันจะคิดผิด เพราะเขากำลังกดดันฉันอยู่ต่างหาก [ถ้าเรายังไม่ได้ฆาตกรที่ฆ่าเด็กคนนั้นล่ะก็ สภาวะของคุณก็ต้องกลายเป็นเด็กประถมแบบนี้ไปจนกว่าคดีจะหมดอายุความเชียวนะ] ฉันที่ทุกคนมองเห็นเป็นเพียงเด็กประถมหน้าตาบ้องแบ้วธรรมดาๆคนหนึ่ง… [ฝากด้วยล่ะหนูน้อยเทียน ถ้ามีอะไรคืบหน้า ผมจะติดต่อกลับไปอีกที] พอได้ฟังแบบนี้แล้วก็อยากให้ทุกอย่างมันจบ แล้วกลับไปใช้ชีวิตปกติไวๆจังเลยนะ [เอาล่ะ รายงายตัวสิหนูน้อยเทียน] “ฉันหมวดเทียร์ร่า โจนส์...” ชีวิตของผู้หญิงวัย 27 ปี มันต้องสนุกกว่าการเป็นเด็กประถมแบบนี้แน่ๆ “เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษปฏิบัติการชั่วคราว จากกรมตำรวจสืบสวนคดีพิเศษ OCC รายงานตัวค่ะ!”

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

หวานใจยัยขี้อ่อย

read
7.9K
bc

ฮูหยินแม่ทัพมากวาสนา

read
9.7K
bc

My virgin guy! ภารกิจอันตรายท้าชนหัวใจนายเวอร์จิ้น

read
5.0K
bc

Bad love Mafai รักร้ายนายมาเฟีย

read
13.2K
bc

อ้อนรักหนุ่มบริหาร R18+

read
23.2K
bc

พันธนาการร้ายซ่อนรัก

read
2.2K
bc

JUST A TOY จะร้ายหรือจะรัก

read
3.1K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook