“จะนั่งจ้องตา สอบปากคำตรงนั้นให้มันได้อะไรเล่าคุณตำรวจ!? มานั่งเรียงหน้ากระดานกันตรงนี้ดีกว่า”
ไม่พูดเปล่า แต่นายอสุรายังดึงหมอนอิงออกก่อนจากโซฟาไปด้วย
หมอนอิงใบเดียวกับที่ฉันใช้วางทับเอกสารทั้งหมดของผู้ต้องหาคดีร้ายแรงที่ทางกรมตำรวจต้องการตัว
ทันทีที่หมองอิงถูกดึงออกจากโซฟาอย่างแรง ทุกอย่างก็เป็นไปตามคาดเมื่อเอกสารประกอบคดีบางส่วนถูกแรงเหวี่ยงจากหมอนพัดกระจัดกระจายอยู่บนโซฟาที่นายอสุราเชื้อเชิญ
เขาหันมองเอกสารดังกล่าวแต่ไม่ได้คิดจะแตะต้องมัน เหมือนที่ตอนนี้ทำได้แค่มองเอกสารพวกนั้นนิ่งๆ สมองกำลังประมวลผลว่าควรจะแก้ต่างให้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไร และตอนนั้นเอง...
“อ่า ให้ตายสิ!” ยูที่หัวไวก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง รีบเคลื่อนกายลุกขึ้น เดินตรงไปโซฟาและจัดการเก็บเอกสารทั้งหมดรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ ส่วนปากก็บ่น “ที่แท้ก็ลืมไว้ที่นี่นี่เอง..”
ฉันสังเกตสายตาและสีหน้าของนายอสุรายามที่เขาปรายตามองไปยังหมวดยู นัยน์ตาคมส่อแววไม่เป็นมิตร บ่งบอกถึงความเข้ากันไม่ได้ของเขาที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน
ยูยังคงแสดงพฤติกรรมเป็นปกติ แม้ฉันจะดูออกว่าเขาค่อยข้างประม่ากับการรับหน้าแทนก็ตาม ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามช่วยซ่อนความจริงเอาไว้อยู่ดี
“แม่หนูมานั่งตรงนี้สิ น้าจะได้สอบปากคำให้เสร็จ”
“ค่า!” เพราะหมวดยูพยายาม ฉันจึงไม่อยากให้เขาเสียหน้า โดยคงบทบาทเด็กประถมของตัวเองเอาไว้ เฉไฉไร้ซึ่งอาการตกใจต่อภาพที่เห็น
เท้ารีบวิ่งเหยาะแหยะแทรกผ่านนายอสุราและเตรียมที่จะนั่งลงบริเวณริมสุดของโซฟาโดยใช้หมวดยูเป็นตัวคั่นกลาง ทว่า...
นายอสุราที่เอาแต่ยืนมองด้วยท่าทางคล้ายกับกำลังจับผิด ดันคว้าแขนฉันไว้พร้อมแรงกระชากเล็กน้อยดึงตัวฉันให้เซลงไปนั่งกึ่งกลางระหว่างโซฟาโดยขณะเดียวกัน คนตัวใหญ่ก็ไม่รอช้ารีบทิ้งตังลงนั่งเบียดจากทางด้านข้างทันที
“...” เพราะรู้สึกถึงสายตาที่นายอสุราใช้จับผิดตลอดเวลา ทั้งฉันและหมวดยูจึงไม่มีใครพูดอะไร นอกจากมองตากันแล้วปล่อยเลยตามเลย
“เหตุเกิดตอนประมาณกี่โมงครับ” เพราะไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อลดความเงียบภายในห้องลง หมวดยูเลยเริ่มเอ่ยถามเข้าประเด็น
“สี่โมงค่ะ แต่หนูไม่แน่ใจว่ากี่นาที” พอการสอบปากคำเริ่มต้นขึ้น มืออุ่นของนายอสุราก็ยอมปล่อยแขนฉันออก แม้ไม่มองฉันก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังฟังบทสนทนาของเราอยู่
“มีอะไรผิดปกติก่อนเกิดเรื่องบ้างไหมครับ?”
“มะ มีค่ะ...” คำตอบเคล้าอาการสั่นของน้ำเสียงถูกเอ่ยตอบอย่างเสแสร้ง ซึ่งถ้าได้ลองย้อนกลับไปในช่วงนั้นจริง ฉันก็ไม่ปฏิเสธว่าตัวเองรู้สึกหวาดๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ที่หน้าประตูตอนนั้นมีเสียงคนเคาะจากด้านนอกค่ะ.. ”
พอคิดปากก็เลยเริ่มเล่า เล่าด้วยความรู้เดียวกับตอนอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว
“ตะ แต่มันไม่ใช่เสียงเคาะอย่างเดียว...” พอเล่ามาถึงตรงนี้ความรู้สึกที่เคยมีตอนสถานการณ์ดังกล่าวถูกเล่าก็เริ่มย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง “เพราะหนูได้ยินเสียงขูดเล็บด้วย”
ขณะเล่าฉันก็ไม่ลืมที่จะเหลือบมองหน้าคนฟังทั้งสองไปด้วยเพื่อดูท่าทีจากอีกฝ่ายตามนิสัยเคยๆที่แก้ไม่ได้
“เสียงขูดเล็บเหรอครับ?” หมวดยูขมวดคิ้วย้อนถามคล้ายกับแปลกใจ ต่างจากนายอสุราซึ่งเอาแต่ตีหน้านิ่งขรึม ไม่พูดไม่จาใด ทำหน้าที่แค่รับฟัง
“ค่ะ...” ฉันพยักหน้ารับสิ่งที่ถูกถามและเริ่มกล่าวต่อ “ครั้งแรกเป็นเสียงเคาะหนึ่งที เสียงขูบเล็บลากยาวแล้วก็เสียงเคาะอีกสองที...”
ยิ่งเล่าคนฟังทั้งสองก็ยิ่งขมวดคิ้วคิดตาม นายอสุราเองที่เอาแต่ทำหน้านิ่งฟังเงียบก็เหมือนกัน ตอนนี้เขากำลังทำหน้าครุ่นคิดแบบเดียวกับที่หมวดยูกำลังทำ
“ครั้งที่สองเป็นเสียงขูดลากเล็บยาวๆติดต่อกันสามครั้ง ส่วนครั้งสุดท้ายนั้นเป็นเสียงเคาะสามครั้งกับเสียงขูบเล็บหนึ่งครั้ง จากนั้นก็มีเสียงตึงดังขึ้นแล้วก็มีกระดาษเขียนคำว่ารักด้วยเลือดถูกสอดใต้ประตูเข้ามา...”
“แปลกจริงๆ...” หมวดยูพึมพำแทรกขึ้นด้วยสีหน้ากับท่าทางเหมือนคนคิดไม่ตก ไม่ใช่แค่เขาหรอก เพราะฉันก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกและน่ากลัวเกินไป
ทั้งที่ฉันกับหมวดยูเอาแต่คิดกันจนหัวแทบแตก เพราะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ร้าย ว่าจะสร้างเสียงรบกวนเช่นนั้นทำไม ทว่า ตอนนั้นเองนายอสุราก็ได้หลุดพึมพำอะไรออกมาบางอย่าง
“L-O-V-E” วลีสั้นๆ
4 พยางค์ที่นายอสุราเอ่ยขึ้นท่ามกลางบทสนทนาระหว่างฉันกับหมวดยู เรียกความสนใจสายตาคนฟังให้เหลียวหันมองหน้าเขาเป็นตาเดียวกัน ซึ่งเขาเองก็เหมือนรู้ตัว ถึงได้หลุบตามองตอบสายตาฉันกลับมา เมินสายตาหมวดยู และยิ้ม
“พี่ขาพูดอะไรคะ...”
“รหัสมอสไงคะ” เขาตอบยิ้มๆ สีหน้ามั่นอกมั่นใจ
รหัสมอสงั้นเหรอ?
“อย่างเสียงเคาะประตูครั้งแรก เคาะ ขูด เคาะ เคาะ ถ้าแปลงเป็นรหัสมอสก็น่าจะเท่ากับ •ㅡ•• เทียบเป็นอักษรก็ได้เป็นตัว L ครั้งที่สองขูดสามครั้งเท่ากับ ㅡㅡㅡ อักษร O” นายอสุราพยายามอธิบาย “ส่วนครั้งสุดท้าย •••ㅡ คืออักษร V”
“คุณพูดอะไรคุณอสุรา...” หมวดยูแย้งขึ้นหลังได้ฟังคำอธิบายจบ “จริงอยู่ว่าข้อสันนิฐานของคุณมันมีส่วนถูก แต่อะไรตรงไหนที่บอกว่าเสียงเคาะพวกนั้นคือข้อความที่คนร้ายตั้งใจจะสื่อสารกับเด็กคนนี้กันล่ะ?”
“...”
“อีกอย่างถ้าหากการเคาะพวกนั้นคือเสียงเทียบของรหัสมอสจริง งั้นคุณลองบอกผมหน่อยว่าตัว E อักษรตัวสุดท้ายของคำว่า LOVE คนร้ายทำเสียงพวกนั้นตอนไหน?”
หมวดยูรัวคำถามใส่เขาไม่นับคำ จนบรรยากาศการสอบปากคำภายในห้องเริ่มตึงเครียดและกดดัน ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่นายอสุราก็ยังยินยอมให้คำตอบด้วยสีหน้า ท่าทางและน้ำเสียงสบายอารมณ์
“น่าจะเป็นตอนที่เสียงตึงดังนะครับ” สิ้นเสียงคำตอบ ความคิดก็เริ่มประมวลนึกถึงตามหลักความเป็นจริง และดูเหมือนว่าทุกวลีที่เขาเอ่ยมานั้นมันก็ดูจะจริงไปเสียหมด “เพราะในรหัสมอส อักษรตัว E ถูกแทนค่าด้วย • เท่ากับการเคาะ 1 ครั้ง ”
จริงเสียจนจนตำรวจอย่างฉันกับหมวดยูถึงกับอาย...
“ผมพูดอะไรตรงไหนผิดหรือเปล่าครับ คุณตำรวจ” เพราะคำพูดและน้ำเสียงของเขานั้น ดูมั่นอกมั่นใจมากกว่าครั้งไหน เหมือนกับว่าการที่เขาตั้งใจพูดเช่นนั้นเป็นเพราะต้องการเป็นคนเฉลยทริกบ้าๆนี่ด้วยตัวเอง
“คุณพี่ขาเก่งจังเลย~”
แปะ! แปะ!
เพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในที่เกิดเหตุดูตึงเครียดจนเกินไป ฉันเลยเป็นฝ่ายกล่าวแทรกขึ้น พลางปรบไม้ปรบมือชื่นชมส่วนปากก็ยังถือโอกาสถาม
“คุณพี่ขารู้เรื่องพวกนี้มากจาไหนเหรอคะ” คนถูกถามหรี่ตาลงเล็กน้อยหลังสิ้นเสียงถาม มองฉันที่ยามนี้ที่แสร้งทำตาปริบๆ สลับกับเหลือบมองหน้าหมวดยู
ทว่า ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะให้คำตอบ เสียงของนายตำรวจซึ่งมากับหมวดยูก็ดังทักขึ้นเสียก่อน ทำเอาเราทั้งคู่คนจำต้องละไปจากเจ้าของคำตอบแล้วมองไปยังเจ้าของเสียงทันที
“หมวดครับ จากการสอบปากคำผู้เช่าตึก ไม่มีใครพบคนน่าสงสัยเดินอยู่ในอาคารหลังนี้เลยครับ”
“แล้วกล้องวงจรปิดล่ะ?” หมวดยูรีบผละตัวลุกออกจากโซฟาท่าทางร้อนใจเมื่อการสอบปากคำจากคนนอกดูไม่เป็นผล
“คนของเราเช็กแล้ว ปรากฏว่าก่อนเวลาเกิดเห็นราวๆ ครึ่งชั่วโมง มีคนใช้ไม้หรืออะไรสักอย่างดันมุมกล้องจากทางประตูหน้าลิฟท์ให้เงยขึ้นครับ ส่วนกล้องอีกตัวน่าจะเสีย”
“เวรเอ้ย!” ยูดูร้อนใจยิ่งขึ้นเมื่อหลักฐานที่เหลือเพียงอย่างเดียวซึ่งพอจะทำให้เราเห็นหน้าค่าตาคนร้ายไม่เป็นอย่างหวัง
“หมวดจัดการให้แม่บ้านทำความสะอาดหน้าห้องของเด็กคนนี้ซะ แล้วปล่อยคนพวกนั้นกลับไปก่อน...” หมวดยูออกปากสั่งนายตำรวจชั้นผู้น้อยพลางเหลียวมองฉันอย่างกระวนกระวายใจ บ่งบอกถึงความเป็นห่วงที่เขามีจนรู้สึกถึง แต่ไม่นานเขาก็ต้องลดสายตาไปอีกครั้งเพราะเสียงเรียกเข้า
Rrrrrr
“ครับสารวัตร...ครับ..ผมมาอยู่ที่เกิดเหตุแล้ว...คดีแมวกองประกวดหายผมยกให้หน่วยอื่นจัดการไปก่อน...ครับใช่...รอสักครู่ครับ...” หลังจากหมวดยูยืนคุยโทรศัพท์อยู่ราวๆ 1 นาทีเขาก็ก้าวเท้าเดินมาหาฉันแล้วยื่นโทรศัพท์ส่งมาให้
เพราะช่วงเวลานั้นนายอสุรายังนั่งจับผิดทุกอิริยาบถระหว่างเราอยู่ เขาจึงเอ่ยปากพูดเพื่อให้ดูเข้ากับสถานการณ์
“หัวหน้าของน้า มีเรื่องอยากสอบถามหนูหน่อย รบกวนช่วยคุยกับหัวหน้าของน้าทีนะครับ...”
“อื้อ!” ฉันรับคำเสียงแจ๋วไปตามประสา รับโทรศัพท์มือถือของเขามาไว้กับตัวก่อนกรอกเสียงผ่านสายเพื่อความสมจริงแม้ลึกๆจะรู้สึกอัดและเกรงใจคนฟังก็ตาม “ฮัลโหลค่ะ คุณหัวหน้าของคุณตำหมวด...”
[คุณโอเคใช่ไหมหมวดเทียร์]
“ค่ะ ฉะ..หนูสบายดี...”
[คุณไม่ต้องเกร็ง พูดตามประสาเด็กไปเถอะ ผมเข้าใจ] นี่คงเป็นความโชคดีที่ฉันมีหัวหน้าซึ่งเข้าใจลูกน้องได้เหมือนเขาเข้าใจตัวเอง [ผมขอโทษที่ดึงคุณเข้าไปเสี่ยงกับคนของ OCC แต่เชื่อเถอะ ผมจะไม่ให้อะไรเกิดขึ้นกับลูกน้องเด็กขาด]
“ขอบคุณนะคะคุณหัวหน้าตำหมวด หนู...หนูไม่กลัวแล้วค่ะ”
[ผมจะถือว่าคำพูดแบบเด็กๆนั่น แปลว่าคุณเข้าใจสิ่งที่ผมบอกก็แล้วกัน ฮ่าๆ ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ]
“ค่ะ หนูจะระวังตัว” สารวัตร K ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เลือกจะจบบทสนทนาระหว่างเราลงด้วยการวางสาย เมื่อเป็นเช่นนั้นฉันจึงรีบส่งมือถือคืนให้แก่เจ้าของที่รออยู่ก่อนแล้ว
ขณะเดียวกันสายตาก็พลันเหลือบไปเจอกับสีหน้าของผู้ชายบนโซฟาข้างกายด้วยเช่น แต่ฉันดันพลาดที่เผลอสบตากับเขาเสียก่อน เลยทำได้แค่การขยับยิ้มหวานให้เพื่อรับในสิ่งเดียวกันกลับมา
“ถ้าอย่างนั้นน้าขอตัวกลับก่อน พรุ่งนี้น้าจะมาที่นี่อีกที” ขณะเดียวกันหูก็ได้ยินเสียงของหมวดยูเอ่ยบอกลา “เพื่อความปลอดภัย หลังจากที่น้ากลับไปแล้วหนูควรล็อกประตูให้แน่นหนาและอย่าคุยกับคนแปลกหน้าเป็นอันขาด”
“รับทราบค่ะคุณน้าตำหมวด” หมวดยูตะเบ๊ะใส่ฉันแทนการเอ่ยคำลาตามประสาคนเคยชิน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแสดงความเป็นห่วงต่อฉันก่อนจะออกจากห้องพักไปอยู่ดี “ส่วนคุณ คุณอสุราคุณเองก็ควรจะลุกจากตรงนั้นได้แล้ว”
ฟึ่บ!
คนถูกสั่งทำตัวว่าง่าย เขาลุกขึ้นแทบจะวินาทีนั้น แต่ก็แค่ลุกขึ้น ใช่ว่าจะเดินออกไปตามคำสั่งเลยเสียที่ไหน
“ผมกลับแน่...แต่คงหลังจากแม่บ้านจัดการเลือดแมวเสร็จ...” เขาพยักพเยิดหน้าไปทางแม่บ้านประจำตึกซึ่งกำลังช่วยกันจัดการกับกองเลือดแมวอย่างขะมักเขม้น พร้อมทั้งกล่าวขึ้นเป็นหนที่สอง “ผมรู้ว่าคุณห่วงเด็กคนนี้ แต่ไม่ต้องกังวล ผมเองก็ห่วงเธอไม่แพ้กัน อีกอย่าง...”
คนตัวใหญ่ทิ้งเสียงให้เงียบลง พลางเอี้ยวตัวละสายตาจากหน้าหมวดยูกลับมายังฉันพร้อมกับสายตาที่ฉันอ่านค่าความคิดไม่ออก โดยเฉพาะกับถ้อยคำคำกวมที่เขาชอบใช้
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับเด็กคนนี้เป็นการส่วนตัวเหมือนกัน”