บทที่ 10

2574 Words
“กูต้องการรถ! เอารถสำหรับหนีมาให้กู ไม่งั้นนังเด็กนี่ตาย” ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวเกินไปจนฉันไม่ทันเตรียมตัวรับมือ ที่ทำได้คือการกลั้นใจต่อสู้กับแรงบีบรัดที่ถูกยัดเยียดมาให้ สอดส่ายสายตามองหานายตำรวจสักคนจากกรมตำรวจที่เดียวกันซึ่งน่าจะประจำการอยู่บริเวณนั้น เคราะห์ดีที่ตำรวจไม่ได้ทำงานอืดอาดยืดยาดนัก เพราะห่างออกไปจากจุดเกิดเหตุราวๆ 3 บล็อกร้านค้าตรงหน้ามีการดักซุ่มรอโอกาสเข้าประชิดของตำรวจและรปภ.อยู่ ทว่า บริเวณใกล้เคียงกลับมีแค่ความโกลาหลของเหล่าลูกค้าห้างดัง ที่บ้างพากันหลบตามจุดต่างๆ บ้างก็หมอบลงกับพื้นด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัว ท่ามกลางบรรยากาศกดดันและความเงียบ ทว่า ตึก... ตึก... ท่ามกลางความเงียบบริเวณจุดเกิดเหตุและแรงกดดันจากเหตุการณ์จับตัวประกัน นอกจากเสียงลมหายใจแรงๆ ของผู้ก่อเหตุแล้วยังคงมีเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินย้ำไปมาจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ “เฮ้ย! บอกว่าอย่าขยับ!” เสียงตะคอกขู่ข่มขวัญก็ดังขึ้น พลันให้สายตาตวัดมองไปยังตัวต้นเหตุซึ่งอยู่ห่างจากคนร้ายไปเพียงไม่ถึง 2 เมตร เขาคือชายตัวสูงในชุดเสื้อยืดสีดำสวมทับด้วยเสื้อช็อปสีเทากับกางเกงยีนขาเดฟสีดำ รับกับรองเท้าผ้าใบกึ่งบูตที่เขาสวมอยู่ หรือที่ฉันรู้จักในนามของ ‘อสุรา’ ตึก... เดิมที เขาก็ดูไม่ปกติในสายตาฉันเป็นเดิมทุน แต่มันเทียบไม่ได้กับเวลานี้ที่เขาเริ่มทำตัวเพี้ยนเดินวนไปวนมาอยู่แถวหน้าร้านขายอุปกรณ์กีฬาและหยิบจับลูกบาสสำหรับวางโชว์ขึ้นเล่น ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็ดูจะสนใจด้ามอลูมิเนียมสำหรับวางโชว์ไปด้วย เหมือนไม่ได้ยินเสียงตะคอกขู่ “พูดไม่รู้เรื่องอยากให้ตัวประกันตายหรือไงวะ!?” เสียงตะคอกขู่ของคนร้ายดังขึ้นอีกครั้ง ปัง! โดยในคราวนี้ เขายิงปืนขึ้นขู่ขึ้นหนึ่งนัด ก่อนตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พวกเขารีบพากันก้มหมอบราบไปกับพื้นเพื่อรักษาลมหายใจของตัวเองตามอย่างเสียงขู่ ทว่า... เสียงขู่และเสียงปืนดังกลับกลับทำให้นายอสุราทำเพียงแค่หยุดเท้าลงข้างถังใส่ลูกบอลพลาสติกสำหรับเด็ก เอียงเสี้ยวหน้า เหลือบมองมายังต้นเสียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้น ที่บ้าอย่างสุดๆ ก็คือการที่นัยน์ตาเรียวรีเสมือนปีศาจคู่นั้นมองมา ยังมีรอยยิ้มเล็กมุมปากปรากฏให้เห็น ราวกับว่าเขากำลังท้าทาย... บ้าเอ้ย! หมอนั่นเป็นบ้าอะไร ตั้งใจจะปั่นประสาทคนร้ายให้โมโหหรือไง! ถ้าใช่ล่ะก็ มันก็ได้ผลดีเกินคาดเลยล่ะ “แส่วอนตายนักนะมึง!!” เมื่อความเดือดดาลในตัวคนผู้ร้ายส่งผลให้เขาบันดาลโทสะหันลำกล้องปืนเล็งไปยังจุดที่นายอสุรายืนอยู่ ทว่า ในจังหวะที่ปลายนิ้วของคนร้ายกำลังปลดกระสุนปืนแล้วเหนี่ยวไก คนตัวใหญ่ซึ่งตั้งท่ายียวนกวนประสาทคนร้ายมาตั้งแต่ต้นก็อาศัยความรวดเร็วที่มีมากกว่าเป็นไหน คว้าเข้ากับลูกบาสขนาดเหมาะมือในถังเขวี้ยงเข้าใส่มือของคนร้ายอย่างไม่ยั้งแรงและแม่นยำพลันให้ปลายกระบอกปืนไขว่เขวไปอีกทาง ฟึ่บ! พลั่ก!! “หนอย ไอ้เด็กเวร!” ไวกว่าจะเสียเวลาให้เหยื่อได้ตั้งตัวทัน มันก็เป็นอีกครั้งที่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งหากแต่มีนิสัยบ้าบิ่นเกินตัว ตัดสินใจทำเรื่องบุ่มบ่าม พุ่งตัวหวือเข้าใส่ร่างของคนร้ายอย่างไม่กลัวตาย โดยจังหวะเดียวกันนั้น มือที่ไวของเขาก็ได้คว้าเข้ากับไม้อลูมิเนียมที่วางโชว์หน้าร้านอุปกรณ์กีฬาติดมือมาด้วย ตึก! ตึก! ตึก! “จิ๋วก้ม!!!” เสียงคำรามดังลั่นไปทั่วบริเวณพร้อมกับไม้เบสบอลซึ่งถูกง้างขึ้นเหนือหัวอย่างเต็มแรง ทำฉันตาโต ตอบรับคำสั่งแสนเรียบง่ายของอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ แม้จะเป็นเพียงแค่การก้มหัวหลบแรงปะทะที่จะเกิดขึ้นก็ตามที ผัวะ!! ปัง! เสียงปืนที่ดังจากการเหนี่ยวไกด้วยความตกใจ มาพร้อมกับแรงเหวี้ยงมหาศาลทันทีที่สันไม้อลูมิเนียมหวดเข้าใส่หน้าของคนร้ายอย่างไม่ยั้งแรง พานคนร้ายยอมปล่อยฉันให้หลุดจากการถูกจับกุมร่วงกลิ้งลงไปกองกับพื้นในสภาพนอนคว่ำ ผัวะ! “อึก!” เสียงครวญด้วยความเจ็บปวด ทำฉันรีบตั้งสติหยัดกายขึ้นจากพื้นหันขวับมองไปทางต้นเสียงก่อนพบเข้ากับปีศาจในร่างมนุษย์กำลังหวดไม้เข้าใส่อาวุธปืนในมือเหยื่ออย่างเต็มแรงจนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง เกร้งง! คนร้ายที่ตอนนี้สภาพไร้อาวุธข่มขู่ พยายามต่อต้านการถูกทำร้าย พยายามพลิกสถานการณ์ด้วยการใช้มือยื้อแย่งไม้อลูมิเนียมไปจากมือนายอสุราแล้วเหวี่ยงทิ้งไปอีกทาง พลางหวดหมัดด้วยมืออีกข้าง ซัดเข้าใส่นักศึกษาหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่นายอสุรายังหนุ่มยังแน่นกว่าเป็นไหน หมัดที่เขาตั้งใจใช้เอาคืนจึงพลาดเป้าและกลายเป็นฝ่ายถูกเด็กนักศึกษาเอาคืนด้วยหมันลุ่นๆธรรมดาเสียเอง ฟั่บ! พลั่ก! ฉันอาศัยจังหวะในช่วงชุลมุนหยัดกายลุกด้วยแรงเฮือกใหญ่ แรงกระแทกตามร่างกายเล็กน้อยไม่อาจทำให้ฉันรู้สึกว่ามันหนักหนาได้มากไปกับเหตุการณ์ชุลมุนและเสียงฮือฮาด้วยความแตกตื่นของเหล่าประชาชนตาดำๆ ได้ หน้าเงยมองไปยังจุดที่ตำรวจกำลังดักซุ่มเพื่อรอจังหวะ ยิ่งเมื่อพบว่านายตำรวจรายนั้นกำลังใช้ ว.วิทยุโดยสายตาจับจ้องมายังฉันด้วยแล้ว สัญชาตญาณจึงสั่งให้สายตาจ้องเขม้นมองกลับไป พลางพยักหน้าส่งสัญญาณ แต่แล้วในตอนที่กำลังจะหยัดตัวลุกลับขึ้นไปยืนใหม่อยู่นั้นเอง ฟึ่บ! หมับ! “เฮือก!” บริเวณข้อเท้ากลับถูกมือดีที่ล้มลงไปกองกับพื้นคว้ารั้งไว้ได้ทันเสียก่อน ผู้ร้ายในสภาพสะบักสะบอม ดูไม่ยอมหยุดรามือลงง่ายๆ เขาพยายามดึงกระชากขาฉันให้ไถลกลับเข้าไปมา ราวกับต้องการใช้เป็นตัวประกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อต่อรอง กึก! “ปล่อยเด็กกู...” แต่การกระทำทั้งหมดกลับไม่ทันได้เกิดขึ้นจนประสบผลสำเร็จ เมื่อเสียงสั่งหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด สายตาถูกเรียกร้องให้หันกลับไปมองเจ้าของคำพูดดังกล่าว ที่ยามนี้ลักษณะท่าทางของเขาเริ่มเปลี่ยนไป นัยน์ตาคมนิ่งจ้องมองเหยื่ออย่างดุดันบอกถึงความไม่ชอบใจและความโมโหร้ายในตัวให้คนภายนอกเห็นได้ชัด นอกจากแววตาที่ดูเย็นชาและน่ากลัวแล้วการกระทำของเขายังป่าเถื่อนดูไม่สมเป็นเพียงแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่ง เสียงของเหยื่อหลุดร้องครวญด้วยอาการเจ็บปวด ทันทีที่บริเวณข้อมือถูกฝ่าเท้าหยัดเหยียบลงอย่างเชื่องช้า “อึก!” แต่คำสั่งและการกระทำเกินกว่าเหตุของนายอสุราก็ไม่อาจทำให้ฝ่ามือหยาบกรานยินยอมทำแต่โดยดี มันยังคงจับรั้งข้อเท้าฉันไว้แน่น แต่ไม่นานคนร้ายก็ร้องเสียงหลงด้วยอาการเจ็บปวด กึก... “กูบอกให้มึงปล่อย...เด็กกู...” เมื่อนายอสุรา เริ่มขยี้แรงจากฝ่าเท้าลงใส่ข้อมือของชายคนดังกล่าวอย่างไร้ความปรานี ด้วยสีหน้าและแววตาไร้ความรู้สึกใด เฉกเช่นเดี๋ยวกับเสียงที่เขาใช้สั่ง ก่อนทำเรื่องไม่คาดฝันอีกครั้งเมื่อเขารู้สึกว่าเหยื่อยังดื้อด้าน ผัวะ! “อั่ก!” ฝ่าเท้าอีกข้างของนายอสุราเตะเข้าอัดหน้าบริเวณช่วงสันกรามของชายผู้เคราะห์ร้ายราวกับเป็นการสั่งสอน ซึ่งคราวนี้มันได้ผล ผู้ร้ายยอมปล่อยมือที่รั้งข้อเท้าฉันออก แต่อีกเช่นเคยนายอสุราไม่รอให้เขาได้ตั้งตัว พุ่งมือเข้ากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายติดมือขึ้นมาอย่างแรงพร้อมทั้งง้างหมัดตั้งท่าที่จะสั่งสอนเป็นหนที่สอง แต่ว่านั่นน่ะมันคือการกระทำเกิดกว่าเหตุ ต่อให้เป็นการช่วยเหลือตัวประกันก็เถอะ แต่ถ้าเขายังทำรุนแรงมากไปกว่านี้ คนที่จะพลอยโดยข้อหาทำร้ายร่างกายร่วมด้วยมันก็เขานั่นแหละ! “พี่ขา! พี่ขาพอแล้ว ให้มันเป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะนะคะ!” เพราะคิดแบบนั้นปากจึงตะเบ็งเสียงปรามออกไป แม้ไม่รู้ว่าเสียงของฉันจะสามารถหยุดท่าทางน่ากลัวของเขาลงได้หรือเปล่า วินาทีที่สิ้นเสียงเรียกและเสียงห้ามปราม คนถูกเรียกชะงักหมัดเปล่าลงเล็กน้อย เขาเหลือบหางตามองมายังฉันด้วยแววตาเดิม ยืนต้องอยู่ครู่สั้นๆ และตัดสินใจเหวี่ยงร่างคนร้ายไปอีกทางราวกับเป็นเศษขยะ แล้วจ้ำเท้าตรงดิ่งมาทางฉันทันที “จิ๋วเป็นอะไรไหมคะ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากที่เห็น ไม่ใช่แค่เสียงแต่รวมไปถึงสีหน้าท่าทางซึ่งเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ก่อนหน้านี้เขาดูป่าเถื่อนและไร้ความรู้สึกแต่กับฉันเขากลับดูใจดี... “ไม่ค่ะ” ฉันส่ายหน้าโดยได้รับมืออุ่นของนายอสุราช่วยประคองตัวให้ลุกขึ้นมาอยู่ในสภาพนั่ง ถึงอย่างนั้นความเป็นกังวลก็ยังคงอยู่ สายตายังคงปรายมองไปยังร่างของคนร้ายที่ยามนี้นอนนิ่งไม่ทราบอาการ สลับกับเหลียวหลังมองไปยังชุดตำรวจที่ตอนนี้พวกเขาควรจะบุกเข้ามาจัดการกับที่เกิดเหตุ ทว่า กึก! “อึก...” เสียงครวญแผ่วๆ ในลำคอของชายซึ่งคาดว่าน่าจะนอนสงบนิ่งอย่างคนหมดสภาพไปแล้วกลับดังขึ้นท่ามกลางความเงียบและเสียงฮือฮา สายตาที่เฉียบไวจึงละมาจากเบื้องหลัง เหลียวมองไปยังต้นเสียง ก่อนพบว่าคนร้ายในสภาพนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น พยายามค่อยๆ เคลื่อนขยับแขนและปลายนิ้วเอื้อมคว้าปืนที่ตกอยู่ใกล้ตัว “งั้นเรากลับบ้านกันเลยไหมคะ...อะ” ภาพเหตุการณ์ที่เห็นทำฉันลืมความสนใจจากนายอสุราไปชั่วขณะ มือข้างถนัดถูกใช้ผลักไหล่กว้างของคนตัวใหญ่ตรงหน้าแบบไม่ทันฟังสิ่งที่เข้าพูด นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ร่างกายกำลังเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณของมัน หยัดกายขึ้นก่อนเริ่มก้าวเท้าไวตรงไปยังกระบอกปืนที่ถูกทิ้งไว้ มันคงเป็นความโชคร้ายที่เหมือนคนร้ายจะรู้ทัน รีบกระเสือกกระสนร่างกายตรงเข้าหาปืนซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับที่อยู่ในหัวตอนนี้ “เวรเอ้ย!” ฉันหลุดสบถเสียงดังอย่างลืมตัว เวลาในตอนนี้มันไม่ใช่ช่วงที่ควรจะคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว การตัดสินใจกระโดดตะครุบปืนตรงหน้าจึงเป็นทางออกเดียวที่สถานการณ์ตอนนี้สั่งให้เป็น การที่มีสภาพร่างกายที่ตัวเล็กเหมือนเด็กแบบนี้มันก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง เพราะฉันสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่ว ไม่ติดขัดเกินกว่าความจำเป็น ฟึ่บ! หมับ! ร่างกายที่เบาหวิวสไลด์ไปกับพื้นเงาวาวของห้าง เอื้อมเข้าคว้าปืนที่ตกไว้ได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนรีบพลิกหงายตัวขึ้นเพื่อระแวดระวังอันตรายให้ตัวเอง สายตาโฟกัสได้เพียงแค่ภาพของคนร้ายหยัดตัวลุกขึ้นด้วยความว่องไวพอๆกัน สีหน้าของมันดูเจ็บใจที่เป้าหมายถูกเด็กช่วงชิงตัดหน้าไปก่อนและหันไปคว้าไม้เบสบอลอลูมิเนียมที่อยู่ห่างตัวไปเล็กน้อยแล้วเงื้อมมันขึ้นเหนือหัว ทุกอย่างในเวลานี้มันไวมาก ฉันหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อเพ่งโฟกัสเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับรอยยิ้มเล็กกระตุกขึ้นบริเวณมุมปากมือพลางตั้งลำกล้องปืนขึ้นอย่างช้าๆ จังหวะเดียวกับที่คนตรงหน้าตั้งท่าจะหวดไม้เบสบอลเข้าใส่ แต่ก่อนที่มันจะได้ทันฟาดลงมาได้สมใจ ปลายนิ้วที่กำกระชับด้ามปืนไว้มันก็เริ่มทำงานพร้อมกับปากซึ่งเริ่มขยับ “Say Bye, Guy... (สั่งเสียสิ คุณผู้ชาย...) ” ปัง! สิ้นเสียงคำรามของปืนออโตเมติกในมือ กระสุนขนาด 9 มม. ก็พุ่งเฉียดกกหูของคนร้ายโดนเข้ากับตู้คีบตุ๊กตาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ ความเงียบงันกลืนกินทั่วบริเวณหยุดทุกเสียงฮือฮาและความโกลาหลให้สงบลง เฉกเช่นเดียวกับชายตัวใหญ่ในชุดปิดอำพรางใบหน้า เขาค้างชะงักลงราวกับถูกสาปให้เป็นหิน แววตาเบิกกว้างราวกับกำลังมองเห็นยมทูต ก่อนยอมทิ้งไม้เบสบอลอลูมิเนียมลงกับพื้น ทรุดตัวชันเข่าลงไปนั่งกับพื้นด้วยสภาวะช็อก ตาค้าง เมื่อผู้ร้ายตรงหน้ายอมจำนน ฉันจึงไม่รอช้ารีบหยัดตัวลุกขึ้นทันทีมือยังถือปืนจ่อหน้าของเขาเอาไว้ โชคดีที่หน่วยงานตำรวจซึ่งดูแลพื้นที่ตรงนี้อยู่พากันกรูเข้ามาพอดี “หนูเป็นอะไรหรือเปล่า!” ส่วนนั่นคือเสียงของรปภ. ฉันไม่ได้ตอบ ได้แค่มองร่างของคนร้ายถูกนายตำรวจในกรมเดียวกันบุกเข้าจับกุม โดยที่บางส่วนก็ทยอยเข้าไปให้การดูแลประชาชนเพื่อเกณฑ์คนให้ทยอยออกจากพื้นที่เกิดเหตุ เมื่อทุกอย่างอยู่ในมือตำรวจทั้งนอกและในเครื่องแบบปืนในมือจึงค่อยๆ ถูกลดลงอย่างช้าๆ จังหวะเดียวกับที่เสียงทักคุ้นหูของใครคนหนึ่งดังแทรกเข้ามา “หนู!” เสียงของเขาทำฉันเหลือบมองไปยังต้นเสียง ก่อนพบว่าเขาไม่ใช่ใคร แต่ว่าเป็นหมวดยู ซึ่งน่าจะถูกสารวัตรเรียกให้มาช่วยจัดการกับเรื่องของโจรปล้นธนาคารนั่นแหละ แถมเขายังจัดการกับ รปภ. ที่เข้ามาดูอาการฉันไปด้วย “เดี๋ยวผมจัดการกับเด็กคนนี้เอง คุณไปช่วยทางนู้นเคลียร์คนออกนอกพื้นที่เถอะครับ” “รับทราบครับ!” แต่ว่าสายตาฉันนั้นมันกลับไม่ได้สนใจสีหน้าแตกตื่นของหมวดยูมากได้เท่าที่ควรเป็นเท่าไหร่นัก กว่าจะรู้สึกตัวว่าพลาดปฏิบัติหน้าที่ในแบบที่เด็กประถมธรรมดาคนหนึ่งไม่ควรทำ ก็ตอนที่ได้เห็นว่า นัยน์ตาคมของใครคนนั้นกำลังหรี่มองมา นายนั่งยองอยู่บนพื้นในท่าเดิม เพียงแค่เขาเหลียวหลังมองฉันที่กำลังถือปืนในมือด้วยสายตาคล้ายกับกำลังคิดอะไร “หมวดเทียร์ ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ…เดี๋ยวความลับของสายงานก็ตกเป็นที่เพ่งเล็งพอดี” หูได้ยินเสียงของหมวดยูกำลังกระซิบต่อว่า และชิงปืนไปจากมือฉันอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่สายตาดันสามารถโฟกัสไปยังนายอสุราได้เพียงแค่คนเดียว “หมวดเทียร์ ฟังผมพูดอยู่หรือเปล่า?” “หมวดยู...” รู้อีกทีปากก็กำลังขยับ ขยับทั้งที่สายตาของฉันกับนายอสุรากำลังสบประสานกันอยู่ “ครับ!?” ก่อนเอ่ยคำสั่งเป็นครั้งสุดท้าย “ดุฉันที”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD