บทที่ 9

1608 Words
“ปะ ปืน...” ฉันทำตาโตด้วยความตกใจอย่างขีดสุด ด้วยความไวกว่าที่จะทันได้ตั้งสติ ร่างทั้งร่างก็พุ่งตรงดิ่งเข้าใส่ชายตรงหน้าแบบไม่ต้องคิดพร้อมทั้งรีบสวมกอดรอบเอวเขาแน่น โดยขณะเดียวกันก็ใช้สีข้างดันกระแทกลิ้นชักให้กลับเข้าไปสู่สภาพเดิม โดยไม่ลืมส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากเขาไปด้วย “คะ คุณพี่ขา...คุณพี่ขา...หนูอยากดูหนังการ์ตูนกับพี่ค่า” ฉันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยทำตาปริบๆ จงใจสบสายตากับคนตัวใหญ่ตรงๆ ด้วยท่าทางออดอ้อน ขณะเดียวกันก็ใช้โอกาสในตอนนั้นสังเกตท่าทีอีกฝ่ายไปด้วย ก่อนพบว่าคนตัวสูงซึ่งเคยแสดงสีหน้าตกอกตกใจกับปืนคู่กายในลิ้นชัก เวลานี้กลับยืนนิ่งไป นัยน์ตาเขาเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยใบหน้าแดงจัดเหมือนผลตำลึงสุก จนต้องทวงถามด้วยเสียงออดอ้อนเปลี่ยนประเด็น “คุณพี่ขา จะพาหนูไปจริงๆ ใช่ไหมคะ~” นายอสุราไม่ตอบ เขาทำแค่เพียงพยักหน้ารัวๆ ในสภาพอาการเกร็งจัดจนแข็งเหมือนหุ่น การที่เป็นเช่นนั้นมันเลยทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง และอดคิดไม่ได้ว่าบางทีสิ่งที่ทำอยู่มันอาจทำให้ความคลั่งไคล้เด็กที่มีจนเกินตัวของเขาลืมสิ่งที่ได้เห็นไปได้บ้าง “คุณพี่ขา น่ารักที่สุดเลย~” ดังนั้นฉันจึงฉีกยิ้มกว้างจนตาปิดแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงน่ารักสดใสประหนึ่งเกิดเป็นเด็กประถมมาชั่วชีวิต ฟึ่บ! กึก! จังหวะเดียวกันนั้นปฏิกิริยาตอบรับของนายอสุราที่มีต่อการกระทำดังกล่าวก็เริ่มสำแดงผล เขารีบคว้ามือตะครุบกองกระดาษทิชชูทั้งที่หน้ายังนิ่งและแดงจัดก่อนหยิบเศษกระดาษทิชชู่ชิ้นจากในกองทั้งหมด มาอุดจมูกตัวเองเหมือนกับรู้ใจสภาพร่างกาย เพื่อให้แน่ใจเป็นหนสุดท้ายว่าในหัวของเขายามนี้ไม่ได้มีภาพปืนหรือเรื่องตำรวจติดค้างอยู่ในหัวอีกต่อไปแล้ว ฉันจึงเอียงหัวเล็กน้อย ทำตาปริบๆ และส่งเสียงถามออกไป “เราจะไปกันเลยไหมคะ คุณพี่ขา?” เชื่อไหม นายอสุราไม่ยอมตอบอะไรเลย เขายังคงนิ่งเป็นหินและพยักหน้ารัวๆ แทนทุกคำพูดที่มี ปล่อยให้เลือดซึมทิชชู่ที่ยัดจมูกเอาไว้เหมือนไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ “แต่เลือดคุณพี่ขาไหลนะคะ...” เห็นแล้วมันก็อดถามอีกครั้งอย่างห่วงๆไม่ได้ แต่เขาก็ดันโพล่งเสียงขัด “ไม่เป็นไร!” มิหนำซ้ำยังเริ่มลามปามไปกันใหญ่ รีบเลื่อนมือรั้งเอวฉันไว้แน่นอย่างถือวิสาสะ และพูดยืนยันสภาพของตัวเองอีกครั้งด้วยเสียงที่ไม่โอเคเหมือนดั่งคำพูดนัก “พะ พี่...อึก...โอเคค่ะ!” เวลาต่อมา... ห้างสรรพสินค้า G ชั้นโรงหนังในเครือ I-MAP ฉันนั่งกลอกตามองสภาพแว้ดล้อมรอบตัวอย่างนึกเบื่อหน่าย มองคู่รักนักศึกษาหลายคู่เดินกระหนุงกระหนิงผ่านไปมา ทั้งที่วันนี้เป็นวันธรรมดาแท้ๆ แต่น่าแปลกที่ชั้นโรงหนังกลับหนาตาไปด้วยผู้คน ประหนึ่งนักรวมตัวกันเพื่อมาชุมนุมอะไรสักอย่าง นับตั้งแต่สมัยเรียนมันผ่านมาหลายปีแล้วที่ฉันไม่มีโอกาสได้มาที่โรงหนังเพื่อดูหนังบันเทิงอารมณ์แบบนี้ ยิ่งทำงานราชการด้วยแล้ว จะปลีกเวลาหาเวลาว่างจากคดีใหญ่ที่รับผิดชอบอยู่ มันก็ดูจะลำบากเหลือเกิน ใครจะไปคิดว่าพอโอกาสมาถึงทั้งทีฉันกลับต้องมานั่งทำหน้ามุ่ยเป็นก้นลิงแบบนี้เพราะถูกกำหนดแพลนหนังที่จะเข้าไว้เป็นที่เรียบร้อย “แต่นแต้น~ นี่ค่ะตั๋วสำหรับดูหนังเรื่องเต่าน้อยสู้ฟัดในดินแดนมหัศจรรย์สองที่นั่ง” แถมหนังที่ว่านั่นก็ไม่ใช่หนังไซไฟ หรือหนังแฟนตาซี แต่เป็นหนังการ์ตูน! “อุ้ยๆ ตื่นเต้นจังเลยคะพี่ขา หนูอยากดูไวๆแล้วซี่~” แม้จะรู้สึกเซ็งมากแค่ไหนก็ตาม แสดงสิ่งที่แสดงออกไปนั้นก็คงเป็นท่าทางและอาการตื่นเต้นดีใจแบบเด็กๆเพื่อไม่ให้คนพามารู้สึกเสียน้ำใจเท่านั้น นึกแล้วก็น่าขัน จนต้องลอบกลอกตาให้กับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่อย่างห้ามไม่ได้ และทั้งที่มันเป็นเพียงการกระทำสุดแสนจะเสแสร้ง แต่ว่าสิ่งที่คนฟังให้การตอบรับกลับมานั้นดันเป็นคำพูดเอาใจแสนเรียบง่าย “ต้องรออีก 15 นาทีถึงจะได้ดู...เราไปหาอะไรอย่างอื่นทำกันไหม?” “คะ?” ฉันแสร้งทำเสียงสงสัย เอียงคอนิดหน่อยเพื่อเพิ่มความแบ้วแบบเด็กๆ “หาอะไรทำฆ่าเวลาไงคะ” “ทะ...ทำอะไรเหรอคะพี่ขา?” เนี่ย! ฉันเกลียดคำพูดกำกวมของหมอนี่ชะมัด เพราะทุกคำพูดคำจาเขามันมักจะส่อสื่อไปในเชิงลามกกับเด็กทั้งนั้น! “เดี๋ยวพี่พาไปขี่ม้าค่ะ” ว่าแล้วนายอสุราก็ทำตามใจตัวเองแบบไม่รอฟังเสียงปฏิเสธ เขารีบคว้ามือฉันไปกุมไว้อย่างถือวิสาสะ พาเดินจากจุดขายตั๋วหน้าทางเข้าโรงหนัง ตรงไปยังโซนของเล่นเด็กซึ่งอยู่ระหว่างห้องร้องคาราโอเกะและธนาคาร Y สาขาใหญ่ และใช่! เขาพาฉันมาทำในสิ่งที่บอกไว้ตั้งแรกจริงๆ ม้าโยกหยอดเหรียญสำหรับเด็กประถมคือจุดที่นายอสุราพาฉันมา ไม่ใช่แค่นั้นเขายังถือโอกาสอุ้มฉันขึ้นไปนั่งคร่อมบนม้านั่งสำหรับเด็กแบบไม่ถงไม่ถามสุขภาพสักคำ จากนั้นก็หยอดเหรียญปล่อยความบันเทิงให้ผู้หญิงวัย 27 ปีสนุกสนานอยู่บนอานม้าพลาสติกที่กำลังโยกไป โยกมา หมุนไป หมุนมา อย่างเต็มที่ จ้า! สนุกมากๆเลย บันเทิงที่สุด ฆ่าเวลาได้น่าพิสมัยจริงๆ ให้ตายสิ! ถ้ามีเพื่อนตำรวจในกรมแวะมาเจอฉันกำลังนั่งครื้นเครงอยู่บนม้านั่งสำหรับเด็กแบบนี้ มีหวังขายขี้หน้าตายชัก! “พะ พี่ขา...หนูไม่อยากนั่งแล้ว” เพื่อเลี่ยงความหน้าขายหน้าของตัวเอง ฉันจึงหันไปบอกตัวต้นเหตุซึ่งยืนห่างออกไปในระยะเกือบหนึ่งเมตรเห็นจะได้ ก่อนพบว่าเขากำลังทำหน้าตกใจเมื่อรู้ตัวว่าถูกฉันหันไปเจอ มิหนำซ้ำยังรีบลดโทรศัพท์มือถือในมือลงอย่างรีบร้อน แสดงอาการพิรุธอย่างเห็นได้ชัด “เราพูดว่าไงนะคะ?” พอเขาถามแบบร้อนรน ฉันเลยไม่รอช้ารีบถามย้อนกลับไปแบบไม่สบอารมณ์เช่นกัน “เมื่อกี้พี่ขาทำอะไรคะ?” “เมื่อกี้...พี่...” คำพูดอึกอัดส่อแววพิรุธยิ่งกว่าเก่าทำฉันเลิกคิ้วสูง แสดงสีหน้าบอกบุญไม่รับอย่างสุดๆ ซึ่งเขาคงจะสังเกตได้ถึงได้ยิ้มแห้งๆ ยอมยกโทรศัพท์ในมือหันหน้าจอมาให้ดูแล้วพูด “พี่เห็นว่าเราน่ารักดี...ก็เลยถ่ายรูปไว้ค่ะ” อีผีนี่มันชักจะคุกคามความเป็นส่วนตัวมากเกินไปแล้วนะ! “ลบเดี๋ยวนี้เลยนะคะ!” ฉันบอกเขาเสียงดุทั้งที่ร่างกายยังคงเคลื่อนไหวไปตามแรงโยกของม้าของเล่น “ไม่ลบไม่ได้เหรอ ออกจะน่ารัก” “ลบ!” ฉันเริ่มเพิ่มน้ำหนักเสียงให้หนักแน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงดึงดันจะเก็บภาพน่าอายของฉันในสภาพนี้เอาไว้ “แล้วทำไมเราต้องดุแบบนี้ด้วยล่ะ” พอทำเสียงดุใส่ นายอสุราก็เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ เขาขมวดคิ้วคล้ายกับจะกำหลายกัน แต่ขอโทษนะ ฉันไม่ใช่เด็กประถมที่พอได้เห็นสีหน้าแบบนั้นแล้วจะงอแงให้ได้เห็นหรอกนะ! “พี่ขาจะลบไม่ลบ!?” “แล้วถ้าไม่ลบ เราจะทำอะไรพี่?” เพราะว่าเขาคงเห็นฉันเป็นแค่เด็ก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับคำพูดท้าทายจึงถูกเอ่ยออกมาแบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ทว่า ในตอนที่กำลังจะตอบอยู่นั้นเอง เสียงสัญญาณเตือนภัยมันก็ดังขึ้นมาเสียก่อน กรี้งงงงงงงงงงงงงงง!! เสียงสัญญาณดังกล่าวไม่ใช่สัญญาณเตือนไฟไหม้ แต่ว่ามันคือเสียงสัญญาณเตือนเหตุฉุกเฉินของธนาคาร Y ที่อยู่เยื่องทางด้านหลังไปนิดหน่อยต่างหาก และเพราะเสียงสัญญาณเตือนดังกล่าวนั่นแหละ มันเลยทำฉันละความสนใจจากทีท่ายียวนของนายอสุราเหลียวขวับไปยังต้นเสียงตามสัญชาตญาณของผู้พิทักษ์สันติราช ฟึ่บ! “อะ!?” ทว่า จังหวะเดียวกันนั้น ร่างทั้งร่างที่ไม่ทันระวังตัว ก็ถูกมือดีฉวยกระชากออกจากม้าโยกอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงโวยวายอันตื่นตระหนกและเสียงสัญญาณเตือนที่ดังไม่หยุด กึก! ร่างกายฉันถูกรัดในลักษณะบีบรัดช่วงเอวเอาไว้ในสภาพเท้าไม่ติดพื้น พร้อมด้วยของแข็งบางอย่างถูกกดเข้าใส่บริเวณขมับก่อนตามมาด้วยเสียงข่มขู่แผดดังลั่นไปทั่วบริเวณ “ถ้าไม่อยากให้นังเด็กนี่ตาย อย่าขยับ!!” “อึก!” ฉันครวญในลำคออย่างห้ามไม่ได้ เมื่อวงแขนแกร่งของผู้ร้ายปล้นธนาคารเริ่มเคลื่อนรัดสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนกดแนบเข้ากับช่วงลำคอจนหายใจไม่สะดวก รับรู้ถึงและกดดันจากปลายกระบอกปืนที่เขากดกระแทกเข้าใส่บริเวณขมับอย่างแรงตามแรงเหวี่ยงขณะพยายามเคลื่อนกายหลบหนี “กูต้องการรถ! เอารถสำหรับหนีมาให้กู ไม่งั้นนังเด็กนี่ตาย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD