“อ้าวกลับมาแล้วเหรอเพ่ยชิง” นางซูหนานเอ่ยถามลูกเลี้ยง
ต่อให้จะไม่ใช่แม้ที่แท้จริงแต่เวลานี้โจวเพ่ยชิงดูแลเธอและบุตรสาวไม่ต่างจากครอบครัวเดียวกัน แม้ที่ผ่านมาต่อให้โจวเม่ยเม่ยจะเป็นน้องสาวแท้ ๆ แต่ก็ต่างแม่ โจวเพ่ยชิงจึงมักจะจิกกัดและพูดจากระทบกระทั่งอยู่ตลอดเวลา
“ค่ะแม่ แล้วนี่แม่ป่วยหรือเปล่าคะถึงไม่ไปทำงาน แม่ไปโรงพยาบาลไหม”
“อย่าเลยลูก วันนี้แม่ปวดหลังเลยไม่ทำงาน ให้สามคนพ่อลูกไปกันเอง”
นางซูหนานไม่ได้ป่วยอะไรหรอก เพียงแค่เมื่อวานต้องก้มหน้าตลอดเพื่อดำนา อาการปวดหลังเลยถามหา วันนี้เลยขอลาหยุดก็แค่นั้น ไม่คิดว่าจะสร้างความกังวลให้กับลูกสาวคนโต
“เอาอย่างนี้ไหมแม่ ต่อไปแม่ไม่ต้องทำงานแล้ว บ้านโจวมีคนทำตั้งสามคน หัวหน้าคอมมูนคงไม่ว่าอะไร แม่มาเลี้ยงเด็ก ๆ ดีกว่า หลังจากนี้ฉันก็คงไม่ค่อยว่างช่วงเช้า อีกทั้งเวลาที่พี่ใหญ่หลุนมาสอนหนังสือพวกเด็ก ๆ จะได้ไม่มีคำครหา เรื่องอาหารการกินของบ้านโจว เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”
“แล้วเพ่ยชิงจะไปไหนทุกเช้าล่ะลูก แม่ว่าวันสองวันแม่ก็หายป่วยแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดหยุดงานหรอก ส่วนเรื่องอาหาร จะให้บ้านโจวไปรบกวนลูกได้ยังไงกัน อย่าลืมว่าเวลานี้เพ่ยชิงเองก็มีครอบครัวแล้ว อย่าให้ใครมาตำหนิได้นะลูก”
โจวเพ่ยชิงหลับตาพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่เธอแอบเข้าไปค้าขายในตลาดมืดให้แม่ฟัง แต่ยังคงปิดบังเรื่องการค้า ที่เธอให้ตานเต๋อคงออกหน้า เพราะไม่อยากให้แม่และทุกคนเป็นห่วง หากทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เธอจะต้องบอกทุกคนแน่นอน แต่ต้องรอให้ถึงวันนั้นเสียก่อน
“ตายแล้ว! ทำแบบนี้มันเสี่ยงอันตรายนะลูก เกิดพวกทหารแดงหรือใครรู้เข้า ลูกจะเป็นอันตรายนะเพ่ยชิง”
นางซูหนานตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อรู้ว่าลูกเลี้ยงที่เธอรักไม่ต่างจากเลือดในอก เข้าไปค้าขายในตลาดมืดอย่างนั้น ต่อให้ชาวบ้านส่วนมากจะแอบไปขายของก็ตาม แต่โจวเพ่ยชิงเป็นเพียงหญิงสาวเท่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร
“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ อย่าลืมความร้ายกาจที่ฉันเคยมีสิ ยังไงฉันก็เอาตัวรอดได้แน่ แต่แม่สัญญาได้ไหมว่า จะหยุดงานไปช่วยเลี้ยงหลานช่วงเช้า ฉันจะหาข้ออ้างว่าไปส่งเม่ยเม่ยไปเรียน เวลานั้นสักชั่วโมงสองชั่วโมง แล้วฉันจะรีบกลับ”
หญิงสาวรีบพูดให้แม่เข้าใจ พอเห็นนางซูหนานมีท่าทีสงบนิ่ง เธอจึงพูดประโยคต่อมา
“เรื่องระหว่างฉันกับพี่ฮั่นตง ยังไม่รู้ว่าจะออกมารูปแบบใด วันนี้ฉันส่งของให้เขาด้วยนะ ได้ข่าวว่าอาหารขาดแคลนหลายพื้นที่ ฉันคิดว่าพี่ฮั่นตงคงไม่ได้กินดีอยู่ดี เลยซื้ออาหารแห้งและของใช้จำเป็นส่งไปให้”
“ดีแล้วล่ะลูก ฮั่นตงจะต้องเห็นความตั้งใจดีของเพ่ยชิงแน่”
“ฉันไม่หวังว่าเขาจะซาบซึ้งใจและให้อภัยกับสิ่งที่ฉันได้กระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรอกค่ะแม่ฉันแค่อยากทำหน้าที่ภรรยาบ้างก็เท่านั้น ส่วนเรื่องจะหย่าร้างหรือไม่ ฉันยังยืนยันคำเดิม หากพี่ฮั่นตงอยากมีชีวิตของตัวเอง ฉันยินดีที่จะหย่าให้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันต้องทำงานหาเงิน โดยการแอบเข้าไปขายของในตลาดมืด เพราะหากมีการหย่าเกิดขึ้นจริง ลูกทั้งสองต้องอยู่ในความดูแลของฉัน”
พอฟังเหตุผลมากมายของลูก นางซูหนานจึงพยักหน้ารับ และตัดสินใจว่าจะช่วยลูกเลี้ยงหลาน
“ตกลง แม่จะเลี้ยงหลานให้เอง ส่วนเรื่องอาหาร เพ่ยชิงไม่ต้องดูแลบ้านโจวหรือให้อะไรแม่หรอก ยังไงอาเฉินและซานซานก็หลานแม่เหมือนกัน แม่ช่วยเลี้ยงได้ อีกอย่างแรงงานบ้านโจวมีตั้งสามคน ส่วนแบ่งและอาหารที่ได้มาก็เพียงพอต่อครอบครัวอยู่”
นางซูหนานพูดความจริงจากใจ เพราะลูกสาวแต่งงานออกไปแล้ว ก็จะต้องมีหน้าที่ดูแลครอบครัวตัวเองถึงจะถูก
“ฉันเข้าใจ แต่ให้ฉันได้ทำหน้าที่ลูกบ้าง แม่รู้ไหมว่าสองครั้งที่ฉันแอบไปขายของมา กำไรที่ได้มานั้นเกือบสามร้อยหยวน วันนี้ฉันเลยซื้อจักรยานมาด้วยหนึ่งคัน เพื่อสะดวกต่อการทำงาน อีกทั้งยังไปส่งเม่ยเม่ยที่โรงเรียนได้ด้วย”
“หา!! สามร้อยหยวน” นางซูหนานตกใจยิ่งกว่ารู้เรื่องที่โจวเพ่ยชิงเข้าไปขายของในตลาดมืดเสียอีก แต่แววตาของเธอกลับไม่มีความละโมบ มีแต่ความเป็นห่วงเท่านั้น
พอเห็นอาการของแม่เลี้ยง หญิงสาวจึงยิ้มกว้างออกมา และโทษตัวเอง ว่าแม่เลี้ยงไม่มีความละโมบนอกจากความรักและเป็นห่วงที่แท้จริงมอบให้เธอและครอบครัว ทำไมชาติที่แล้วและก่อนหน้านี้ เธอจึงจงเกลียดจงชังแม่เลี้ยงคนนี้นัก ทั้ง ๆ ที่แม่เลี้ยงไม่ได้แย่งชิงพ่อของเธอมา เพียงแค่แต่งเข้ามาหลังจากแม่ของเธอตายไป
“อย่างนั้นก็เก็บเงินไว้ อย่าใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่มีใครรู้หรอกนะ ว่าอนาคตจะเป็นยังไงและจะเกิดอะไรขึ้น อาเฉินและ
ซานซานยังต้องเรียนอีกเป็นสิบปีกว่าจะดูแลตัวเองได้ หาเงินได้แล้วก็เก็บหอมรอมริบ เข้าใจไหมลูก”
นางซูหนานไม่วายสั่งสอนให้เก็บหอมรอมริบไว้ แม้จะหาเงินได้ง่าย แต่ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ขอแค่ชีวิตลูกและหลานมีกินมีใช้ แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว
ตลอดช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็น โจวเพ่ยชิงยังคงอยู่บ้านโจว เมื่อพ่อและพี่ชายกลับมา เธอจึงตัดสินใจบอกกล่าวเรื่องค้าขายในตลาดมืด เหมือนกับบอกนางซูหนานก่อนหน้านี้ โดยมีเม่ยเม่ยเป็นลูกคู่ เพราะเม่ยเม่ยเองต้องการหารายได้ โดยการรับสินค้าต่อจากพี่สาวเช่นกัน
แม้ทุกคนจะตกใจและไม่เห็นด้วยในตอนแรก แต่โจวเพ่ยชิงและโจวเม่ยเม่ยยืนยัน ว่าจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ทำให้ไม่มีใครคัดค้านอีก แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งพ่อและพี่ชายทั้งสองคน ไม่วายกำชับให้ดูแลตัวเองดี ๆ
หลังจากจบมื้อเย็น โจวเพ่ยชิงจึงพาลูกทั้งสองขี่จักรยานกลับบ้าน โดยบอกน้องสาวว่าพรุ่งนี้มาเจอกันที่บ้าน เพราะจะได้ไปส่งโรงเรียน
ย้อนกลับมาทางตานเต๋อคง
หลังจากที่ออกมาจากโกดังได้พักใหญ่ เขาจึงไปหากลุ่มสหายและชวนมาทำงานด้วยกัน แม้จะคุ้นเคยกันไม่น้อย แต่ทุกคนไม่คิดว่าตานเต๋อคงจะมีคนกล้าจ้างทำงาน โดยให้เป็นคนดูแลร้านค้า เพราะก่อนหน้านี้ สหายคนนี้ยังหาเงินเพื่อจ่ายดอกเบี้ยอยู่เลย
“หากนายทั้งสามคนไม่เชื่อสิ่งที่ฉันพูด ฉันจะพาไปดูร้านและโกดังตกลงไหม”
“ไม่ใช่เราไม่เชื่อใจนายนะอาคง แต่นายรู้ว่าพวกเรามีประวัติไม่ดี แม้จะไม่เคยลักขโมยก็ตาม แต่คนจรแบบพวกเรา ใครกันจะกล้าจ้างทำงาน” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“นั่นสิ ใครจะมารับคนจรแบบพวกเรากัน นายอย่ามาให้ความหวังพวกเราดีกว่า” เพื่อนอีกคนสนับสนุนทันที
“เรื่องนี้ฉันเข้าใจพวกนาย เวลานี้ฉันจะพานายทั้งสามคนไปดูร้านและโกดัง ส่วนจะตัดสินใจทำงานหรือไม่ ค่อยตอบฉันทีหลัง ถ้าเกิดตัดสินใจว่าจะทำงานด้วยกัน ฉันจะขอนายหญิงให้เช่าห้องพักให้พวกนายอยู่ จะได้ไม่ต้องค่ำไหนนอนนั่นแบบตอนนี้
แต่พวกนายเข้าใจใช่ไหม ว่าการค้าในตลาดมืดย่อมเสี่ยงไม่น้อย วันใดเกิดทหารแดงหรือเจ้าหน้าที่บุกเข้าไป จะต้องไม่พูดว่าใครคือเจ้านายที่แท้จริง”
เรื่องนี้ชายหนุ่มเชื่อว่าสหายทั้งสามคนไม่มีทางหักหลังแน่ ต่อให้จะพบเจอกับนายหญิงเพ่ยเพ่ยแล้วก็ตาม
“เรื่องนี้นายน่าจะรู้นิสัยพวกฉันทั้งสามคนนะอาคง หากว่างานดี เจ้านายดี ฉันไม่มีวันหักหลังแน่นอน”
“อืม ฉันด้วย”
“ฉันก็เช่นกัน”
“ เอาไงเอาด้วยกัน”
พอได้รับคำยืนยันหนักแน่นจากสหายทั้งสาม ตานเต๋อคง จึงพาทั้งสามออกจากตลาดมืดเพื่อไปดูโกดัง โดยไม่เอะใจเลยว่าภายในนั้นจะมีสินค้าพร้อมขายและมีครบทุกอย่าง ที่คิดว่าชาวบ้านต้องการ