บทที่ 13 จักรยานคันใหม่

1627 Words
หลังจากตรวจตราร้านค้าเสร็จแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงเดินออกมาพร้อมกับตานเต๋อคง เพื่อไปดูโกดังที่ตานเต๋อคงเช่าไว้ไม่ไกลกับตลาดมืดมากนัก ซึ่งหากเธอมองว่าหากชายหนุ่มจะขนย้ายสินค้ามายังร้านค้า น่าจะไม่ใช่เรื่องยากหรือลำบากจนเกินไป “โกดังแห่งนี้เจ้าของเขาตั้งใจขายครับ เพียงแต่เวลานี้รัฐเข้มงวดในการซื้อขาย เขาจึงไม่อยากมีปัญหาเลยให้เราเช่าก่อนเดือนละสิบหยวน แต่ถ้าเราจะซื้อ เขาขายในราคาเจ็ดร้อยหยวน” “อืม ฉันขอดูเส้นสายอีกสักหน่อย ยังไงเช่าสักสองสามเดือนก่อนก็แล้วกัน ส่วนราคาที่ขายนั้นฉันคิดว่ามันไม่แพง จริงสิ นอกจากค้าขายในตลาดมืดแล้ว พี่คิดว่าเราควรทำการค้าอะไรอีกไหม” “ตามความคิดผม เวลานี้อาหารและวัตถุดิบนั้นขาดตลาดไม่น้อย ร้านค้าที่มีผลกระทบเลยก็คือร้านอาหาร แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอาหารของรัฐก็ตาม แต่ส่วนมากจะเป็นกลุ่มพ่อค้าทั่วไปที่ขอทำการค้ากับภาครัฐ เท่าที่ผมดูมา มีร้านอาหารหลายร้านปิดตัวลงเนื่องจากขาดวัตถุดิบ หากเราไปติดต่อทำการค้ากับร้านต่าง ๆ ในเมืองและในบริเวณใกล้เคียง ผมคิดว่าน่าจะดีและยอดขายคงมาก แต่ปัญหาอยู่ที่นายหญิงจะหาวัตถุดิบเพียงพอต่อความต้องการได้หรือไม่” ชายหนุ่มไม่ได้ดูหมิ่นในความสามารถเจ้านาย แต่การจะหาอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร้านอาหาร และโรงงาน ต่าง ๆ นั้น มันมีมากนัก มากจนโรงฆ่าสัตว์และรัฐผลิตไม่ทัน ดังนั้นเจ้านายเขาจะหามาได้อย่างไร ทว่าเขาเชื่อในตัวนายหญิงเพ่ยเพ่ยว่ามีความสามารถ เท่าที่เขาพบเจอมาสองครั้ง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่เขาเชื่อว่าเธอนั้นมีความลับบางอย่าง ที่ไม่สามารถบอกใครได้ และไม่ได้บอบบางอย่างที่เห็น “คำว่าไม่เพียงพอมันไม่ได้อยู่ในหัวคิดของฉัน ปัญหามันอยู่ที่พี่จะหาร้านค้าให้เราส่งวัตถุดิบได้หรือไม่ ฉันเชื่อว่าพี่มีเส้นสาย ในการเจรจาเรื่องนี้ และพี่สามารถหาคนมาทำงานด้วยกันกับเราได้ ฉันไม่มองว่าคนคนนั้นต้องใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเคยทำงานอะไร หรือเลวร้ายแค่ไหน หากกลับตัวกลับใจแล้ว ฉันยินดีที่จะรับเข้าทำงาน พี่เข้าใจความหมายและความต้องการฉันใช่ไหม โจวเพ่ยชิงคนนี้ ไม่หยุดเพียงแค่การค้าเล็ก ๆ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาในประโยคสุดท้าย บ่งบอกว่าหญิงสาวต้องการทำอย่างนั้นจริง ๆ เวลานี้ยังไม่รู้ว่าเธอและสามีจะไปในทิศทางไหน จะหย่ากันหรือไม่ หรือจะอยู่กินฉันสามีภรรยากันต่อ แต่หากยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เธอก็อยากเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมและยืนเคียงข้างเขา ไม่ใช่โจวเพ่ยชิง หญิงร้ายกาจประจำหมู่บ้าน และหญิงชั่วช้าที่ยอมทิ้งลูกและสามีเพื่อชายชั่วคนนั้น น้ำเสียงและแววตาเด็ดเดี่ยวของนายหญิงเพ่ยเพ่ย ทำให้ ชายหนุ่มเชื่อว่าเธอทำได้ และไปได้ไกลกว่าพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปแน่ ตานเต๋อคงสัญญากับตัวเองอีกเช่นกันว่า จะขอยืนเคียงข้างนายหญิงเพ่ยเพ่ยคนนี้ตลอดไป ไม่ว่าเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เขาพร้อมที่จะบุกน้ำลุยไฟไปกับเธอ ไม่ใช่เพราะเขาคิดไม่ซื่อ แต่เพราะเธอมีบุญคุณกับเขามาก เงินหลายร้อยหยวนที่เขาใช้หนี้นั้นไม่ใช่น้อย ๆ ด้วยฐานะและตัวเขาเอง จะมีปัญญาที่ไหนหามาจ่าย นอกจากจ่ายแค่ดอกเบี้ย ตัวเขาคนเดียวไม่เท่าไร แต่เขายังมีอาโมว่ น้องชายที่กำลังเรียน และยังเป็นความหวังของเขาและแม่ผู้ล่วงลับ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขากล้าสาบานกับตัวเองว่าจะทำงาน และอยู่เคียงข้างนายหญิงเพ่ยเพ่ย ในฐานะลูกน้องตลอดไป! “ครับ” “ฉันจะสั่งจักรยานและจักรยานสามล้อไว้ด้วย พี่พอจะมีเส้นสายเรื่องขอใบอนุญาตไหม ถ้ามี พี่เอาไปไว้ใช้หนึ่งคัน เผื่อฉันหนึ่งคันด้วย และสามล้อไว้ส่งของด้วย จริงสิ บ้านเช่าของพี่มีไฟฟ้าใช่ไหม แล้วตลาดมืดล่ะ” “มีครับ” “ดีมากเลย ฉันจะได้สั่งเครื่องใช้ไฟฟ้ามาลงให้ เพราะของบางอย่างมันต้องแช่เย็น ไม่งั้นมันจะเน่าเสีย ที่นี่ก็มีสินะ” “โกดังแห่งนี้มีไฟฟ้าใช้ เจ้าของขอไว้หมดแล้ว หากนายหญิงตัดสินใจซื้อ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น” “ตกลง อย่างนั้นวันนี้พี่ไปหาคนที่จะมาช่วยทำงานเถอะฉันขอดูอีกพื้นที่บริเวณนี้สักพักก็จะกลับแล้ว” “ครับนายหญิง นี่กุญแจทั้งสองที่ครับ วันนี้ผมขอตัวก่อน” “อืม ปิดประตูหน้าโกดังให้ด้วย” “ครับนายหญิง” ตานเต๋อคงไม่มีคำถามใด ๆ ดี เขาเดินออกมาพร้อมกับปิดประตูโกดังให้อย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินไปจัดการงานของตนเอง หลังจากเหลือเพียงตนเอง โจวเพ่ยชิงมองซ้ายมองขวา จากนั้นจึงดึงของออกมาจากมิติ และจัดเป็นสัดส่วนอย่างที่ต้องการ ในส่วนของอาหารสด เธอดึงตู้แช่ขนาดใหญ่ออกมาและเอาเนื้อสัตว์และอาหารสดไว้ในนั้น “เฮ้อ... เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย ยังเหลือที่ร้านอีก”พอคิดว่ายังเหลือร้านค้าที่ต้องเอาของออกมาไว้ จึงรีบเดินออกจากโกดังและปิดล็อกประตูทันที เมื่อจัดการเติมของและจัดเตรียมร้านเสร็จแล้ว หญิงสาวกลับคิดถึงสามีขึ้นมา ในเมื่อเวลานี้อาหารล้วนขาดแคลนหลายพื้นที่ อย่างนั้นสามีเธอคงลำบากไม่น้อย ดีที่เธอเก็บของหลายอย่างเข้ามิติ หนึ่งในนั้นคือซองส่งเงินที่สามีส่งกลับมาทุกเดือน หน้าซองมีที่อยู่ของค่ายทหาร ทันทีที่ได้ที่อยู่ หญิงสาวจึงเตรียมของหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้ง เสื้อผ้า และของใช้ที่คิดว่าจำเป็นต่อสามี สุดท้ายจึงได้กล่องใหญ่ไม่น้อย ก่อนจะเดินไปยังไปรษณีย์ที่รับส่งของ หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว โจวเพ่ยชิงหลบเข้ามุมมืด และตัดสินใจเอาจักรยานออกมาใช้ เธอเชื่อว่าพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ตานเต๋อคงน่าจะจัดการเรื่องใบอนุญาตจักรยานได้ จากนั้นจึงปั่นจักรยานกลับเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับอาหารมากมายผูกไว้ท้ายจักรยานทันที สายตาชาวบ้านมองมายังจักรยานที่โจวเพ่ยชิงปั่นมาอย่างอิจฉา จะมีสักกี่บ้านกันเชียวที่มีจักรยานใช้ หมู่บ้านนี้มีเพียงหัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้ากองพลน้อยเท่านั้น “นี่ดูนั่นสิ สะใภ้รองบ้านหลี่ซื้อจักรยานคันใหม่ด้วยล่ะ” “นั่นสิ คงถลุงเงินที่ฮั่นตงส่งมาให้ปรนเปรอความสบายของตัวเองน่ะสิ” “แล้วหล่อนจะไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับชีวิตเขา นายทหารหลี่แต่งงานมาก็หลายปี ส่งเงินมาให้แต่ละเดือนก็มากอยู่ ฉันได้ข่าวว่าเดือนละยี่สิบหยวนเชียวนะ หากสะใภ้รองหลี่จะซื้อจักรยาน ก็ไม่น่าจะแปลก ในเมื่อนายทหารหลี่ส่งเงินมาให้ขนาดนั้น” ชาวบ้านคนนี้ไม่อยากวุ่นวายกับหลี่ฮั่นตง และรู้ว่าเขาเป็นทหาร เธอจึงเรียกขานเขาว่านายทหารหลี่ แทนที่จะเรียกฮั่นตง “แต่มันเกินความจำเป็นไหม เป็นเมียนายทหารนี่มันดีจริงเชียว นอกจากไม่ต้องทำงาน ยังซื้อจักรยานมาเฉิดฉายได้อีก” บทสนทนาเหล่านี้ ล้วนไม่เข้าถึงหูของโจวเพ่ยชิงเลยสักนิด หรือต่อให้ได้ยิน เธอก็ไม่คิดจะสนใจ เหตุผลหลักที่เธอตัดสินใจเอาจักรยานมาใช้เพราะจะหาข้ออ้างเรื่องเข้าเมืองนั่นเอง ตอนนี้เม่ยเม่ย ยังต้องไปเรียนทุกวัน และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเธอทำการค้า นี่จึงเป็นข้ออ้างอย่างดี ในการออกไปพร้อมกับน้องสาว “แม่กลับมาแล้ว อาเฉิน ซานซาน อยู่ไหนลูก” มาถึงบ้านก็ร้องเรียกหาลูกทั้งสองคน เมื่อไม่มีการตอบรับ จึงคิดว่าน่าจะอยู่บ้านตายาย ดังนั้นจึงปั่นจักรยานไปยังบ้านโจว และเจอลูกน้อยทั้งสองคนเล่นกันอยู่หน้าบ้าน “แม่กลับมาแล้ว โอ๊ะ! แม่ซื้อจักรยานเหรอคะ” หลี่ซานซาน ถามด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเดินเข้ามาลูบคลำด้วยท่าทางดีใจ “ใช่แล้ว! อาเฉินกับซานซานอยากจะขี่เล่นไหม” “เย่!” เด็กน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แม้หลี่รุ่ยเฉินจะมีท่าทีสงบนิ่ง แต่แววตากลับตื่นเต้นไม่น้อย เมื่อเห็นลูกทั้งสอง ดีใจ คนเป็นแม่เช่นเธอจึงได้แต่ยิ้มตาม “แล้วลูกอยู่กับใครล่ะเนี่ย” “อยู่กับยายค่ะ วันนี้ยายไม่ทำงาน เลยไปรับพวกเรามาอยู่ที่นี่รอแม่กลับมา” “เหรอ งั้นเราเข้าบ้านกันไหม แล้วลูกกินข้าวเที่ยงหรือยัง” จากนั้นสามคนแม่ลูกก็พากันเดินเข้าบ้านพร้อมกับรอยยิ้มของลูกทั้งสองคน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD