"พระชายาตื่นได้แล้วเพคะ"
สุ้มเสียงนุ่มนวลใสกังวานราวกับกระดิ่งเงินดังขึ้น ซือลี่หยางค่อย ๆ ลืมตาตื่นมาด้วยสีหน้าอิดโรย ร่างบางเกลือกกลิ้งพลิกไปมาบนฟูกนอนอย่างเกียจคร้าน
ทั้งคืนนางแทบไม่ได้นอน บทบัญญัติมารยาทอันดีงามของสตรีแห่งวังหลวงที่สูงกองพะเนินทำเอาสมองของนางคล้ายกับพร่าเลือนไปชั่วขณะ มิหนำซ้ำอิงลั่วที่พอจะจริงจังขึ้นมาก็แปลงร่างกลายเป็นอาจารย์สุดโหด ฝึกสีหน้าท่าทาง ลุกนั่ง ย่อคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างอันบอบบางจึงปวดระทมไปหมดราวกับวิ่งมาสิบโลก็มิปาน
"พระชายาเพคะ…เดี๋ยวจะแต่งกายไม่ทันเอานะเพคะ" เมื่อเห็นว่านายหญิงยังไม่ลุก อิงลั่วจึงร้องเรียกอีกเป็นครั้งที่สอง
"โอเค ๆ ข้าลุกแล้ว" ซือลี่หยางเด้งกายลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าบูดบึ้งพลางบ่นอุบอิบไม่หยุด "เจ้านี่มันช่างเคร่งครัดเสียจริง ๆ ไทเฮาอยู่ในตำหนัก ไม่ได้หายไปไหนเสียหน่อย ให้ข้านอนต่ออีกสักตื่นมิได้หรือ..."
อิงลั่วนิ่งเงียบไป ซือลี่หยางเห็นสีหน้าของนางอ้ำอึ้ง ตาเป็นประกาย จึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ "อิงลั่ว...เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายหรอกหรือ"
"พะ พระชายาพูดภาษาอะไรกันเพคะ"
"อะไรของเจ้า ข้าแค่พูดว่าโอเคข้าลุกแล้วอย่างไรเล่า" เมื่อย้ำอีกครั้ง ซือลี่หยางก็ฉุกคิด เพียงครู่ก็เข้าใจ นางเพิ่งจะหลุดคำว่า 'โอเค' ออกไป สมัยโบราณยังไม่มีคำนี้ใช้กันอย่างนั้นสินะ
"โอเคก็คือตกลง" ลี่หยางเอ่ยพลางทำมือประกอบท่าทางตามหลักสากล ใช้นิ้วโป้งจรดกัยนิ้วชี้ ส่วนอีกสามนิ้วที่เหลือชี้ขึ้น
อิงลั่วยกนิ้วทำตามลี่หยางอย่างเก้ ๆ กัง ๆ "ตะ ตกลงหรือเพคะ"
"ใช่...อย่างนั้นแหละ" ลี่หยางพยักหน้ามองนางด้วยความภาคภูมิใจ อย่างน้อยการย้อนมิติมาไม่สูญเปล่า "อิงลั่วเจ้ารู้หรือไม่...นี่มันสัญลักษณ์สากลที่ใช้ทั่วโลกเชียวนะ!"
"จริงหรือเพคะ" อิงลั่วตื่นเต้นดีใจที่ได้รับรู้เช่นนั้น นางเอาแต่ฝึกทำท่าโอเคกับตนเอง บ่าวใช้ในจวนที่เดินผ่านมาเห็นเข้า ต่างเอาแต่มองนางด้วยความสงสัยไม่หยุด
หลังจากที่ซือลี่หยางอาบน้ำแต่งกายจนเสร็จสิ้น อิงลั่วก็พานางมานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่รีรอใช้หวีเขาสัตว์สางผมให้นางจนเรียบ เกล้ามวยสูงทรงหรูอี้ แต่งหน้าทาปากประทินโฉมอย่างรวดเร็ว นางกำนัลสาวใช้อีกคนเทินถาดเครื่องประดับขึ้นมาข้าง ๆ แล้วพูดขึ้นว่า "พระชายาจะเลือกเป็นเครื่องประดับชิ้นไหนดีเพคะ"
ซือลี่หยางมองเครื่องประดับในถาดด้วยตาเป็นประกายแวววาว เครื่องประดับแต่ละชิ้นงดงามระยิบระยับจับตา เพียงครู่ นางก็ตัดสินใจเลือกปิ่นเงินระย้ารูปผีเสื้อที่สะดุดตานางที่สุด อิงลั่วปักปิ่นนั้นลงบนมวยผม นางมองเงาสะท้อนในกระจกฉาย รู้สึกพอใจกับเครื่องประดับยิ่งนัก ทว่ากลับคิดว่าใบหน้าสะคราญโฉมนั้นเรียบง่ายเกินไป ไทเฮาก็คือญาติผู้ใหญ่ของสามี หากไม่แต่งหน้าให้สะสวย จะสร้างความประทับใจได้อย่างไร...
คิดได้เช่นนั้น นางก็รีบคว้าเครื่องประทินโฉมมาละเลงบนใบหน้าของตนเอง แม้อิงลั่วจะเอ่ยยั้งเท่าไร นางก็ไม่สนใจอยู่ดี
และใช่! ในชีวิตนางไม่เคยแต่งหน้าเองมาก่อน มีเพียงบิวตี้บล็อกเกอร์ทางยูทูปเท่านั้นที่นางเคยดูผ่าน ๆ และจดจำได้อย่างผิวเผิน เวลาผ่านไปไม่นาน ในที่สุดการแต่งหน้าอย่างเต็มโฉมครั้งแรกในชีวิตของนางก็เสร็จสิ้น...
"พะ พระชายาจะออกไปเช่นนี้จริง ๆ หรือเพคะ" ใบหน้าของอิงลั่วกระตุกค้างเกร็ง ยามเมื่อมองเห็นรูปโฉมของนายหญิงที่ยามนี้ดูไม่ต่างจากลิงภูเขาเลยแม้แต่น้อย
ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูจากที่ดูอ่อนหวาน ยามนี้กลับถูกถมทับด้วยสีแดงชาด วาดเหนือริมฝีปากโค้งขึ้นไป คิ้วหนาเป็นแท่งเส้นตรงไม่มีส่วนโก่งโค้งเว้า พวงแก้มสีแดงแปร๊ดลากยาว แม้กระทั่งปลายจมูกก็ยังถูกแต่งแต้มไปด้วย คล้ายกับคนจับไข้ก็ไม่ปาน
นางไม่เคยเห็นการแต่งหน้าเช่นนี้มาก่อนและคิดว่าคงไม่มีสตรีผู้ใดในใต้หล้าแต่งหน้าได้เหมือนกับนายหญิงน้อยของนางอีกแล้ว
"ทำไมหรือ…ข้างามมากจนเจ้าตกตะลึงไปเลยใช่หรือไม่" ซือลี่หยางก้มหน้าบิดม้วนตัวไปมาอย่างเหนียมอาย ก่อนจะยิ้มแย้มเอ่ยอย่างมั่นใจ "นี่มันเป็นการแต่งหน้าสไตล์เกาหลีเชียวนะ…"
"ตะ แต่งหน้าอะไรนะเพคะ" ใบหน้าของอิงลั่วฉายแววงุนงงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ซือลี่หยางทอดถอนหายใจ กล่าวว่า "พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก ไปกันเถิด...ป่านนี้ไทเฮาคงรอข้านานแล้ว"
เอ่ยจบ นางก็รีบสาวเท้าเดินออกไป อิงลั่วที่ตบตีกับตัวเองในใจ ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเอ่ยยั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ทันเสียแล้ว "...ดะ เดี๋ยวก่อนเพคะพระชายา กลับมาก่อนเพคะ ให้หม่อมฉันแก้ใบหน้าให้ก่อนเถิดเพคะ"
ขบวนเกี้ยวของซือลี่หยางมาถึงพระตำหนักเสวี่ยนจิ้งภายในเวลาไม่นาน ยามเมื่อขันทีวางเกี้ยวลง นางก็แหวกม่าน ก้าวขาลงมาจากห้องเกี้ยวอย่างระมัดระวังโดยมีอิงลั่วคอยจับชายกระโปรงผ้าต่วนที่ยาวระพื้นอยู่ทางด้านหลัง
ดวงหน้าพริ้มเพราของซือลี่หยางค่อย ๆ ช้อนขึ้นเหม่อมองไปยังตำหนักเสวียนเจิ้งที่ใหญ่โตโอ่อ่า แล้วใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสี ยามเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นองค์รัชทายาทกำลังยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าประตู นางป้องปากกระซิบกระซาบกับอิงลั่ว "องค์รัชทายาทมาทำไม? ผู้ใดเชิญมาอย่างนั้นหรือ"
อิงลั่วยิ้มน้อย ๆ ตอบว่า “เป็นความปรารถนาของไทเฮาเพคะ ทุกครั้งที่มาทำความเคารพ องค์รัชทายาทจะมาด้วย”
ได้ยินเช่นนั้น ซือลี่หยางก็ทอดถอนหายใจ ก่อนจะพาร่างบางภายใต้อาภรณ์สง่างามเหยียบย่างไปบนพื้นที่เกลื่อนกลาดไปด้วยเศษดอกไม้ใบไม้ที่ร่วงโรยบนพื้น เดินตรงไปที่หน้าประตูเข้าไปยืนขนาบข้างองค์รัชทายาท ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันมาแล้วเพคะ เข้าไปด้านในกันเถิด”
เยี่ยเทียนเมื่อได้ยินเสียงเล็กใสของซือลี่หยาง เขาก็ชำเลืองหางตามองนางด้วยความเหนื่อยหน่าย ทว่าเมื่อเขามองเห็นใบหน้านางผ่านแววตาคมคาย ร่างกายก็พลันสะดุ้งโหยงเสียหลักไปด้านข้างด้วยความตกใจ ก่อนจะชี้นิ้วอุทานเสียงหลง “นะ นี่เจ้า!”
ซือลี่หยางมุ่นคิ้วหนาอย่างงุนงง แท่งคิ้วของนางเมื่อยามขมวดเข้าหากัน คล้ายกับนำถ่านดำชิ้นเล็ก ๆ มาวางเรียงต่อกันอย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยเทียนกระแอมเสียงกลบเกลื่อน ก่อนจะหวนกลับคืนสู่สีหน้าขึงขังอีกครั้ง หันไปมองอิงลั่วและนางกำนัลอีกสองคนที่ยืนด้านหลัง กัดฟันถามว่า "ใครแต่งเครื่องประทินโฉมให้พระชายา"
พวกนางก้มหน้างุดด้วยความเกรงกลัว ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าสบตาเขาเลยแม้แต่ผู้เดียว
"ทำไมหรือเพคะ งามบาดใจพระองค์มากเลยใช่หรือไม่" ซือลี่หยางเอามือจับลูบปิ่นงามบนศีรษะพลางยิ้มขวยเขิน
เยี่ยเทียนทอดถอนหายใจเฮือกยาวพลางส่ายศีรษะด้วยความระอา
ซือลี่หยางเห็นท่าทางประดักประเดิดเช่นนั้นจึงคาดเดาส่งเดชในใจ องค์รัชทายาทผู้นี้จะต้องกำลังตกตะลึงกับใบหน้างามของนางเป็นแน่
ฮึ! บุรุษก็เช่นนี้ เห็นสตรีงดงามก็เป็นอันต้องเสียอาการทุกครั้ง...ไม่ไหวเลยจริง ๆ
ขณะยิ้มกรุ้มกริ่มครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย มีสติรู้ตัวอีกที เยี่ยเทียนก็ไม่รั้งรอรีบสาวเท้าเดินนำเข้าไปในตำหนักก่อนแล้ว
เขาทิ้งทวนคำพูดสั้น ๆ เอาไว้ ก่อนจะเดินจากไป "เจ้าอย่าทำข้าขายหน้าจะได้หรือไม่...ถือว่าข้าขอร้อง!"
“ขอร้อง...นี่เขาขอร้องข้าอย่างนั้นหรือ” ซือลี่หยางหรี่ตามองแล้วหัวเราะคิกคักอย่างขำขัน นึกคิดเข้าข้างตนเองในใจ นี่ขนาดยังไม่ได้จัดเต็มเลยนะ เขายังพูดกับข้าเช่นนี้ หากจัดเต็มจะไม่อ่อนระทวยแทบเท้าข้าเลยหรือ…