เยี่ยเทียนสืบเท้ากลับตำหนักด้วยความรุ่มร้อนใจ องครักษ์และบ่าวรับใช้ รีบค้อมกายเข้ามาคำนับแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมทันที
"นางกลับมาได้อย่างไร ผู้ใดให้คำตอบข้าได้บ้าง!" เยี่ยเทียนตวาดลั่นด้วยโทสะ
อิ๋นซื่อที่ได้ยินเช่นนั้นหัวใจพลันสั่นสะท้าน ร่างกายราวกับถูกสายฟ้าฟาด หวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด
นางคือคนที่เยี่ยเทียนไว้ใจส่งให้ไปจัดการกับพระชายาของตนเอง มีหน้าที่แค่เฝ้าดูและนำร่างของนางส่งต่อให้โจรป่า เรื่องราวกลับตาลปัตร ไป๋เยว่ชิงกลับมาในวังหลวงอีกครั้ง ยามนี้แม้จะหาข้ออ้างชักแม่น้ำทั้งห้า ก็ดูเหมือนว่าจะฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย
"อิ๋นซื่อ! เหตุการณ์เมื่อคืน เกิดอะไรขึ้นกันแน่" เยี่ยเทียนหันไปตะคอกถาม
อิ๋นซื่อสะดุ้งเฮือกอกสั่นขวัญแขวน พลั้งปากตอบ "มะ หม่อมฉันบีบคอพระชายาเองกับมือ ตรวจชีพจรและลมหายใจแล้ว หม่อมฉันยืนยัน ว่านางตายไปแล้วจริง ๆ เพคะ"
เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไป ก่อนจะหันสายตาคมกริบดุดันมองนางและเอ่ยเสียงเฉียบ "เจ้าบอกว่า...เจ้าบีบคอนางตายอย่างนั้นหรือ"
ดวงหน้าเล็กของอิ๋นซื่อซีดขาว ร่างบางทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความหวาดหวั่น เมื่อรู้ว่าหลุดปากไปจึงพยายามขอความเห็นใจอย่างสุดความสามารถ "พระชายาคิดหนี หม่อมฉันเลยพลั้งมือฆ่าไปอย่างไม่ตั้งใจ ตะ แต่...หม่อมฉันบอกโจรเหล่านั้นให้นำร่างของพระชายาไปกำจัดทิ้ง และกำชับให้ควักหัวใจของนางเอามาถวายให้พระองค์ ใครจะไปคาดคิดกันเพคะ ว่าพระชายาจะมีชีวิตรอดกลับมาได้"
"เงียบปากไปซะ!" เยี่ยเทียนตวาดเสียงขรึม กลิ่นอายเย็นเยียบอำมหิตแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นรุนแรงยิ่งนัก "ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าบีบคอฆ่านางให้ตาย ข้าต้องการให้นางรับรู้ถึงความทรมานของยาพิษและตายด้วยตัวของนางเอง"
อิ๋นซื่อสูดจมูก เอ่ยทั้งน้ำตา "ก็แล้วมันต่างกันอย่างไรเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าอย่างไรพระชายาก็ต้องตายอยู่ดี"
"บังอาจ! ผลของการไม่ทำตามคำสั่ง เจ้าคงรู้ชะตากรรมของเจ้าดีใช่หรือไม่"
สุ้มเสียงเหี้ยมเกรียมน่าสะพรึงกลัวของเยี่ยเทียน ทำให้หัวใจอิ๋นซื่อกระตุกวูบอย่างรุนแรงผงะถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจ ดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอสั่นระริก นางไม่เข้าใจว่าที่องค์รัชทายาทเกรี้ยวโกรธเป็นเพราะพระชายามีชีวิตรอดกลับมาตำหนักหรือเพราะนางพลั้งมือฆ่ากันแน่ ?
ก่อนหน้านี้นางเคยคิดว่าเยี่ยเทียนโปรดปรานนาง การพลั้งมือฆ่าไป๋เยว่ชิงจึงเปี่ยมไปด้วยความริษยาระคนชิงชังที่ฝังรากลึกอยู่ในใจทั้งสิ้น แท้ที่จริงแล้วนางก็เป็นแค่นางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น ที่เขาหาได้มีความเสน่หาลึกซึ้งอันใดเลยแม้แต่น้อย
"ลงทัณฑ์นางด้วยไม้แดงจนกว่านางจะหมดสติ แล้วส่งนางไปอยู่ในห้องจองจำ ไม่ต้องให้นางได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก"
สิ้นเสียงสั่งการของเยี่ยเทียน ดวงตาของอิ๋นซื่อก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง ส่งเสียงร้องไห้ฟูมฟายออกมาด้วยความหวาดกลัว "องค์รัชทายาท...หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ได้โปรดให้อภัยหม่อมฉันด้วย...องค์รัชทายาทเพคะ!!!!"
เยี่ยเทียนเบือนหน้าหนี ปลายหางตาเห็นร่างบางถูกองครักษ์หิ้วตัวออกไป นางสะบัดตัวดีดดิ้นร้องโวยวายไม่หยุด เพียงชั่วครู่ เสียงนั้นก็เงียบลง ความสงบเสงี่ยมจึงปกคลุมตำหนักอีกครั้ง
เมื่อไม่มีผู้ใดแล้ว 'จินเฮ่า' องครักษ์หมายเลขหนึ่งในชุดคลุมสีดำก็เดินสืบเท้าก้าวเข้ามาข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยเสนอความคิดเห็น "องค์รัชทายาท... กระหม่อมคิดว่าจะต้องมีคนไหวตัวทัน ลอบเข้ามาช่วยพระชายาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ"
มีคนมาช่วยนางอย่างนั้นหรือ…?
เยี่ยเทียนขบคิดใคร่ครวญในใจ นึกย้อนไปในตอนที่ไป๋เยว่ชิงแต่งมาที่แคว้นฉู่ใหม่ ๆ ตั้งแต่แรกพบสบตา เขาก็พูดคำว่าเกลียดชิงชังนางได้อย่างเต็มปาก
ดวงหน้าใสซื่อนั้น จักต้องซ่อนแววร้ายกาจเอาไว้อยู่ เขาเชื่อในสัญชาตญาณอันแรงกล้า จึงไม่เคยไว้ใจนางและไม่เคยทำดีกับนาง แค่ให้นางอยู่ไปอย่างไร้ตัวตนในสายตาเพียงเท่านั้น
ตั้งแต่นางย้ายเข้ามาในวังหลวง เขาพบว่านางมีพิรุธหลายจุด จนกระทั่งครั้งล่าสุดที่นางเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียนเมืองเจิ้งผิง เขาก็มารู้ว่านางแอบสวมหมวกเขียวให้เขาอย่างลับ ๆ กับบุรุษชาวเมือง ความเจ็บแค้นใจปรากฏขึ้นมาอีกหลายส่วน แล้วสิ่งที่นางทำพลาดที่สุดก็คือ 'ความประมาท' เขาพบสาร์นบางอย่าง ก่อนที่นางจะจัดฉากเพื่อวางยาสังหารเขาอย่างเลือดเย็น
ความคับแค้นใจสุมแน่นในอกราวกับเพลิงไฟลุกโชนโชติช่วง เขาโกรธมาก โกรธจนพูดอะไรไม่ออก ภายภาคหน้าต้องเป็นกษัตริย์หากไม่เด็ดขาด ไม่กล้าเข่นฆ่า ผู้ใดเล่าจะไปเกรงกลัว ในเมื่อนางเป็นกบฏ เขาก็ไม่ควรปล่อยนางทิ้งไว้ ฆ่านางก่อนที่นางจะลงมือฆ่า คือสิ่งที่เขาควรกระทำอย่างยิ่งยวด!
แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น? นางรอดมาได้อย่างไร
"หลังจากนี้ เจ้าต้องคอยตามนางทุกฝีก้าว อย่าให้นางรู้ตัว หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลให้รีบมาบอกข้า" เยี่ยเทียนสั่งการสีหน้าเคร่งขรึม
"พ่ะย่ะค่ะ" จินเฮ่าขานรับพลางค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อม
ขณะเดียวกัน ที่พระตำหนักเฟิงยวี่ ซือลี่หยางผู้หิวโหย เอาแต่สวาปามอาหารอันโอชะตรงหน้าโดยไม่มีท่าทีว่าจะอิ่ม
บนโต๊ะอาหารมีสำรับตั้งวางเต็มไปหมดนางกล่าวสั่งการซ้ำ ๆ ว่า 'ขอเพิ่มให้ข้าอีก' นางกำนัลบ่าวใช้ในตำหนักจึงวิ่งวุ่นโกลาหล นำอาหารมาให้นางไม่หยุดหย่อน
"พระชายาค่อย ๆ เสวยเพคะ เดี๋ยวจะติดคอเอาได้" หลังจากที่ยืนมองซือลี่หยางกินอาหารกองโตบนโต๊ะอย่างตะกละตะกลามอยู่นานสองนาน อิงลั่วก็อดเตือนออกไปอย่างห่วงใยเสียมิได้
ถึงแม้จะเข้าใจว่านายหญิงน้อยสูญเสียความทรงจำไป แต่กิริยาและท่าทางของนางในยามนี้ช่างแตกต่างจากแต่ก่อนราวฟ้ากับเหว
ที่ผ่านมา อิงลั่วติดตามดูแลรับใช้ใกล้ชิดไป๋เยว่ชิงมาตั้งแต่ยังเป็นธิดาอยู่ที่เมืองเจิ้งผิง นางย่อมรู้พฤติกรรมของนายหญิงดี พระชายาเยว่ชิงผู้นี้มีกิริยาเรียบร้อย สง่างามมาตั้งแต่กำเนิด นางเป็นธิดาที่ใครหลายคนต่างขนานนามว่าเป็น 'ธิดาแห่งสายน้ำ' นิ่งลึกและเย็นฉ่ำ เคลื่อนไหวลื่นไหลสง่างาม ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี เรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารนั้นยิ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย หากเทียบกับมารยาทเรื่องอื่น ๆ
แต่ทว่าภาพที่สะท้อนเข้าสู่สายตาของนางยามนี้ คือภาพของสตรีนางหนึ่งกำลังใช้มือเปล่า ๆ ฉีกเนื้อหมูขึ้นมากัดแทะ ซดน้ำแกงไม่เหลือสักหยด บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เพิ่งชำระล้างจนสะอาดสะอ้าน ยามนี้กลับมีคราบอาหารเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งหัดกินอาหารก็มิปาน
"อิงลั่ว...เจ้ากินสิ!" ลี่หยางยื่นหมูตงพัวทอดให้นาง ขณะที่ปากก็ยังคงเคี้ยวตุ้ย ๆ
อิงลั่วกะพริบตาปริบ ๆ เอ่ยตอบด้วยสีหน้าลังเล "จะ จะดีหรือเพคะพระชายา"
ซือลี่หยางเห็นเช่นนั้น รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จึงถือวิสาสะยัดเนื้อหมูใส่มือนางแกมบังคับ "กินไปเถิด ข้าแบ่งให้เจ้า เยอะขนาดนี้ ข้ากินไม่หมดหรอก"
อิงลั่วยื่นมือรับด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะค่อย ๆ ใช้ปากกัดแทะหมูตบพัวอย่างสำรวม
"เป็นอย่างไร...อร่อยหรือไม่" นางถาม
"อร่อยเพคะ อร่อยมากเลยเพคะ" อิงลั่วน้ำตาคลอขอบตา นางเพิ่งมีวาสนาได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะเช่นนี้ครั้งแรก หมูตงพัวนี่ช่างอร่อยล้ำเหลือเกิน...
"อิงลั่ว...เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ว่าข้าเป็นใคร เคยอยู่ที่ไหนมาก่อน นิสัยเป็นอย่างไร แล้วมาตบแต่งกับคนใจร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร"
"พระชายาหมายถึงองค์รัชทายาทหรือเพคะ" อิงลั่วกระพริบตาถามอย่างสงสัย
ซือลี่หยางหน้านิ่วตอบ "ข้าจะหมายถึงใครได้เล่า"
อิงลั่วพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเอ่ยเล่าอย่างช้า ๆ "พระชายามีนามว่า 'ไป๋เยว่ชิง' เป็นองค์หญิงแห่งเมืองเจิ้งผิงเพคะ"
ซือลี่หยางพยักหน้าอย่างเข้าใจ ซักถามต่อ "แล้วข้ามาแต่งงานกับองค์รัชทายาทได้อย่างไร"
"พระชายาหมั้นหมายและแต่งงานกับองค์รัชทายาทเข้ามาในวังหลวงเพื่อสานสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น ถึงแม้จะไม่ได้เกิดจากความรักตั้งแต่แรก แต่พระชายากับองค์รัชทายาทก็เหมาะสมกันราวกับลิขิตของสวรรค์ แล้วก็…" อิงลั่วสะดุดคำไปหนึ่งจังหวะ เพียงครู่จึงเอ่ยต่อ "...องค์รัชทายาทรักพระชายามากเลยเพคะ"
ประโยคสุดท้ายอิงลั่วแต่งเติมเข้าไป นางรู้ว่าความสัมพันธ์ของนายหญิงกับพระสวามีไม่ราบรื่น หากยามนี้วาจานางสามารถเปลี่ยนทุกอย่างให้ราบรื่นได้ นางก็ปรารถนาจะเห็นภาพนายทั้งสองรักใคร่มีความสุข
ทว่าไม่ง่ายอย่างนั้น!
ซือลี่หยางวางตะเกียบในมือลงทันที ยกจอกน้ำชาขึ้นดื่มอย่างกระอักกระอ่วน รู้สึกว่าอาหารตรงหน้าก็เริ่มไม่อร่อยเสียแล้ว "อิงลั่ว! เจ้าคิดว่าข้าโง่งมหรือ? หากเจ้าบอกข้าก่อนที่จะเจออิตารัชทายาทบ้านั่น ข้าคงจะเชื่อเจ้าสนิทใจไปแล้ว"
"หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะพระชายา" อิงลั่วหลุบตา มีสีหน้าสลด
ซือลี่หยางกัดริมฝีปากบาง นึกคิดในใจ ดู ๆ ไปแล้ว ชีวิตนางก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่กินสบายในพระราชวังใหญ่โต แต่กลับไม่มีความสุข
แต่ก่อนที่ข้าจะไปสงสารผู้ใด ข้าควรสงสารตัวเองและหาทางกลับโลกเดิมให้ได้เสียก่อน แต่ข้าจะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ?
ข้าตกเครื่องบินก่อนที่ดวงวิญญาณจะลอยเข้ามาอยู่ในร่างของเยว่ชิง จะหาเครื่องบินที่นี่และกลับเข้าร่างเดิมก็กระไรอยู่ ยุคโบราณแบบนี้มีเครื่องบินที่ไหนกันล่ะ!
อิงลั่วเห็นท่าทางของซือลี่หยางกำลังเหม่อลอย นางจึงโพล่งเอ่ยรายงานขึ้น "วันพรุ่งนี้พระชายาต้องไปทำความเคารพไทเฮาที่พระตำหนักเสวียนจิ้ง พระชายาต้องการให้บ่าวจัดเตรียมชุดและเครื่องประดับแบบใดดีเพคะ เรียบง่ายแต่สง่างาม เช่นเดิมหรือไม่"
ซือลี่หยางนิ่งอึ้งไป เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก "ทะ ทำความเคารพ ข้าต้องทำด้วยหรือ…"
"ต้องสิเพคะ หากไม่ไป พระชายาจะต้องมีปัญหาเป็นแน่ หากอยากอยู่อย่างสงบ ก็ต้องทำตามขนบธรรมเนียมของวังหลวง ขัดขืนเท่ากับสร้างศัตรู คนมีอำนาจเหนือกว่าจะเข้ามาหาเรื่องเอาได้นะเพคะ"
คำตอบของอิงลั่วกระจ่างชัดเสียจนซือลี่หยางไม่กล้าเอ่ยโต้แย้ง เอ่ยตอบน้ำเสียงติดขัด "ดะ ได้ เคารพก็เคารพ...เรื่องแต่งกาย ข้าฝากเจ้าดูแลก็แล้วกัน"
"เพคะพระชายา" อิงลั่วก้มศีรษะแย้มยิ้มตอบอย่างนอบน้อม