อีกฟากหนึ่งนอกวังหลวงเมืองเจิ้งผิง ในตรอกซอกซอยเล็ก ๆ ที่ไร้ผู้คนสัญจร แสงจันทร์อาบทอไปทั่วถนนปูหิน ไอหมอกบางเบาแผ่กระจายปกคลุมเรือนหลายหลัง ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนโชยอ่อน โคมไฟสีแดงที่ดูเหมือนไข่มุกราตรีลอยไปมา ส่องแสงแวววับจับตาไปจนสุดปลายถนน
"พระชายาพักผ่อนอยู่ที่ตำหนัก ปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ"
"อย่างนั้นหรือ…" เยี่ยเทียนในชุดคลุมสีเทาหม่นเอ่ยขึ้น ขณะกำลังนั่งพาดขาอยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงริมหน้าต่างของโรงเตี๊ยมร้างแห่งหนึ่ง ใต้แสงไฟตะเกียงสีเหลืองส้มที่กะพริบริบหรี่ ดวงตาดอกท้อประดุจสายน้ำใต้หุบเหวเป็นประกายเฉียบคม ใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายอาบย้อมอารมณ์ซับซ้อนที่ผู้อื่นไม่อาจมองทะลุทะลวงได้เลยแม้แต่น้อย
จินเฮ่าดึงหมวกที่เย็บติดกับเสื้อคลุมออก ก่อนจะสาวเท้าเข้ามา กล่าวรายงานต่อ "พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมลอบเข้าไปในวังเจิ้งผิง พระชายากลับเข้าไปในตำหนักพร้อมกับองค์หญิงสี่ ทุกอย่างปลอดภัยดี ยังไม่มีอะไรน่ากังวลพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวตอบเสียงเข้มเพียงสั้น ๆ ว่าดี! เนิ่นนานไม่มีท่าทีที่จะกล่าวต่อ เห็นเช่นนั้น จินเฮ่าจึงล่าถอยและเดินออกไปอย่างสำรวม
และใช่! เขาปลอมตัวเป็นคนขับรถม้าและติดตามชายาของตนมาโดยตลอด
ความกระวนกระวายคล้ายกับฝูงมดไต่วนไปทั่วหัวใจ ทุกอย่างล้วนเหนือการคาดหมาย รัชทายาทที่เย็นชาเช่นเขา ไม่เคยทุ่มเทและเสียเวลาไปกับการติดตามสตรีใด ทว่านางกลับมีอิทธิพลทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งดุจหินผาสั่นสะเทือนและไม่สงบ
ความคิดเข้าข้างตัวเองผุดขึ้นมากลางใจหลายระลอก เขาไม่อาจอดทนรออยู่ที่แคว้นต้าฉู่ หาใช่เรื่องที่ต้องมาเฝ้ารอนางอย่างคนพ่ายแพ้ทั้งสิ้น เสียงมารตัวร้ายในหัวสมองยืนกราน เขาไม่ได้ห่วงใยนาง เขาเพียงต้องการมาดูด้วยตาตัวเองเท่านั้น...ว่าการกลับมาที่เมืองเจิ้งผิงของนาง มีจุดประสงค์อันใดหลบซ่อนอยู่กันแน่?
ถึงแม้ ‘จินเฮ่า’ องครักษ์ของเขาจะอาสาเดินทางมาที่เมืองเจิ้งผิง เพื่อสืบหาเรื่องนี้ก่อนแล้วก็ตาม…
เช้าวันต่อมา
ณ ตำหนักที่สี่
“ท่านอา...ท่านอา…”
เสียงเล็กใสราวกับเสียงของลูกนกตัวน้อย ๆ ดังขึ้นข้างริมหูของซือลี่หยาง นางค่อย ๆ ลืมตาตื่นอย่างงัวเงีย ความสลึมสลือทำให้นางมองเห็นเป็นเงาร่างเล็กสลัวราง เพียงครู่หนึ่งภาพเบื้องหน้าก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น...เด็กน้อยหลันมู่กำลังส่งยิ้มแป้นมาให้นาง บนพวงแก้มป่องขาวกระจ่างเป็นสีแดงระเรื่อตามธรรมชาติ ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
ซือลี่หยางคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะเอียงคอหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ทันทีที่เห็นแสงสีทองรำไรบนท้องฟ้า นางก็เข้าใจ ยามนี้คงเป็นเวลาเช้าตรู่หลังจากที่นางหลับสนิทมาตลอดทั้งคืน และไม่ว่าที่ไหนนางก็สามารถหลับสบายได้อย่างเต็มตา ไร้ความฝันใดรบกวน ถึงแม้ในใจจะปรารถนาให้เยว่ชิงตัวจริงโผล่เข้ามาในความฝันเพียงใดก็ตาม
“หลันมู่...เจ้ามาปลุกท่านอาเองเลยหรือ” นางถาม
“เพคะ” หลันมู่เอ่ยพลางแย้มยิ้มสดใส
ซือลี่หยางเห็นเด็กน้อยตาใสซื่อเป็นประกายคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยถามต่อ “หนีท่านพ่อมาอีกใช่หรือไม่”
“หลันมู่ตื่นเร็วกว่าท่านพ่อ หลันมู่ไม่ได้หนีเพคะ” หลันมู่ยู่หน้า เอ่ยยืนกรานเสียงหนักแน่น
“อย่างนั้นนี่เอง…” คำตอบอันเฉลียวฉลาดของเด็กหญิงทำให้ซือลี่หยางอดยิ้มเสียมิได้ “จริงด้วย...เจ้ามิได้แอบหนีท่านพ่อออกมา แล้วที่มาหาอา เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ”
“หลันมู่อยากเล่นกับท่านอา”
“เล่นกับข้า? ” ซือลี่หยางชี้นิ้วไปที่กลางอกของตนเอง ครู่หนึ่งจึงตอบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าเกรงว่าจะไม่ได้ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องสะสาง ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ...ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน”
เด็กน้อยเริ่มสะอึกสะอื้นไห้จนเนื้อตัวสั่นเทา นางก้มหน้างุด ทั้งเสียใจ ทั้งเข้าใจท่านอา แต่สุดท้ายความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลก็วกกลับมาเสียใจตามประสาเด็กอยู่ดี
ซือลี่หยางเห็นเช่นนั้น ความรู้สึกผิดก็พลันเกาะกุมจิตใจอย่างควบคุมไม่ได้ ริมฝีปากที่แห้งผากนิด ๆ อ้าแล้วหุบหลายครั้ง ตั้งใจจะปลอบโยน แต่ก็ไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไรดี…
“หลันมู่...ฮึก...หลันมู่ เข้าใจท่านอา” หลันมู่เอ่ยกลั้วเสียงสะอื้นไห้ น้ำตาแวววาวพลันไหลกลิ้งอาบแก้มราวกับดอกสาลี่ที่พร่างพรมด้วยสายฝนก็มิปาน
ซือลี่หยางอึ้งไปเล็กน้อย ยามเมื่อเห็นร่างน้อยสั่นระริก ผิวพรรณขาวกระจ่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทั่วทั้งร่าง หัวใจก็พลันหดหู่และเจ็บปวดอย่างยั้งไม่อยู่
โถ...เจ้าเด็กน้อยผู้น่าสงสาร ข้าจะทำอย่างไรให้เจ้าไม่ร้องไห้ดี?
ซือลี่หยางขบคิดใคร่ครวญในใจ ในที่สุดก็คว้าร่างน้อยเข้ามาโอบกอดเพื่อปลอบประโลม “หลันมู่...เจ้าอย่าร้องไห้เพราะท่านอาไปเลยนะ”
หลันมู่ในอ้อมอกของซือลี่หยาง สงบอารมณ์ลงมาหลายส่วน ฉับพลันนั้น ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก จู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใส นางโน้มหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของซือลี่หยาง พลางกล่าวว่า “ท่านอา...หากไม่เล่นด้วยกัน ท่านอาพาข้าไปเดินเล่นที่ตลาดข้างนอกนั่นได้หรือไม่”
“ออกไปเดินเล่นที่ตลาดหรือ..” นางมุ่นคิ้วถาม
หลันมู่คลายกอดเล็ก ๆ ออก จ้องมองซือลี่หยางในระยะประชิดด้วยดวงตาทอประกาย กล่าวตอบ “เพคะท่านอา ข้างนอกนั่นมีขนมหวานอร่อย ๆ ข้าอยากให้ท่านอาพาข้าออกไปเที่ยว เหมือนกับในอดีตอย่างไรละเพคะท่านอา”
พอได้ยินคำว่า 'อดีต' หัวใจนางก็พลันหนักอึ้ง อดีตของหลันมู่น้อยล้วนสดใส ไป๋เยว่ชิงคงรักนางมาก ในเมื่อข้าเป็นนางแล้ว ไยข้าต้องทำร้ายหัวใจดวงน้อย ๆ ของเด็กผู้นี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงไม่รีรอตอบตกลงออกไปด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นความปรารถนา...ท่านอาก็จะพาเจ้าออกไป”
สิ้นเสียง หลันมู่ก็พลันฉีกยิ้มกว้าง ยกแขนส่งเสียงร้องดีใจ ก่อนจะเข้ามาโอบกอดซือลี่หยางอีกครั้ง “ท่านอาใจดีที่สุดเลยเพคะ”
ที่ ตลาดใหญ่หัวเมืองเจิ้งผิง
ซือลี่หยางจูงมือนางฟ้าตัวน้อยเดินไปตามท้องถนน โดยมีอิงลั่วคอยเดินตามอยู่ด้านหลังไม่ห่าง
สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงและแผงลอยตั้งวางเรียงราย หลันมู่น้อยทำท่าทางออดอ้อน ขอร้องท่านอาซื้อขนมและของเล่นเป็นระยะ
ทุกครั้งที่ซือลี่หยางเห็นแววตาที่เป็นประกายและท่าทางน่ารักน่าชังนั่น หัวใจก็พลันอ่อนยวบยาบ เมื่อถูกตามใจ หลันมู่ก็ยิ้มแย้มไม่หยุด สองมือของอิงลั่วจึงเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรัง
นางครุ่นคิดอย่างพิจารณาในใจ ที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะนางไม่เคยมีลูกหรือไม่เคยใกล้ชิดกับเด็กน้อยมาก่อน ยามนี้จึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดคู่รักที่แต่งงานกันหลายคู่ ถึงได้ปรารถนาจะมีบุตรเพื่อเป็นสายใยรักเชื่อมสัมพันธ์ เด็กน้อยช่างไร้เดียงสาและมีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องเหลือเกิน เปรียบดั่งนางฟ้าหรือเทวดาตัวน้อยที่สรวงสวรรค์ส่งลงมาให้เป็นของขวัญอันล้ำค่า ความรักของเด็กน้อยต่อเติมกำลังใจให้ชีวิตที่เติบใหญ่ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนกับเด็กน้อยหลันมู่ผู้นี้ที่กำลังทำกับข้าอยู่…
"ท่านอา…หมวกใบนั้นงดงามมากเลยเพคะ" หลันมู่เอ่ยพลางชี้นิ้วไปที่แผงของร้านเครื่องประดับและของตกแต่งที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ
ซือลี่หยางหันมองตาม เหลือบแลเห็นหมวกสานที่ทำมาจากไม้ไผ่วางเรียงรายเป็นระเบียบ แต่ละใบผูกด้วยผ้าโปร่งสีสันสวยงาม แต่งแต้มด้วยน้ำหมึกเป็นลวดลายดอกไม้รูปทรงแตกต่าง นางไม่แปลกใจว่าเหตุใดหลันมู่ถึงสะดุดตา หมวกเหล่านั้นนอกจากจะงดงามแล้ว ยังมีเอกลักษณ์สมกับความงามในโบราณสมัย แม้แต่นางก็ยังแอบอยากได้มาครองเอาไว้สักใบ…
เมื่อหลุดออกจากห้วงแห่งความคิด ใบหน้างามชดช้อยก็พลันฉายรอยยิ้มอ่อนหวาน เอ่ยถาม “เจ้าอยากได้ใบไหน ข้าจะซื้อให้เจ้าใบหนึ่ง”
หลันมู่กระโดดโหยงเป็นลิงโลด หยีตาแทบจะเป็นเส้นตรง ยิ้มตอบ “ใบสีชมพูเพคะท่านอา…ใบนั้น ๆ ”
ซือลี่หยางพยักหน้ายิ้ม ก่อนจะหันหน้าไปพูดคุยกับแม่ค้าสาว หลังจากที่ทำการซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว นางก็ไม่รีรอสวมหมวกสานไปที่ศีรษะของหลันมู่น้อยทันที
“ดีที่หมวกสานของร้านนี้มีหลายขนาด ไม่เช่นนั้น เจ้าอาจจะเสียใจอีกก็เป็นได้” ซือลี่หยางใช้มือจัดระเบียบหมวกสาน มุมปากยกขึ้นขณะเอ่ย
หลันมู่หมุนตัวไปมาจนผ้ากระโปรงผ้าโปร่งสีฟ้าพลิ้วไสวประดุจคลื่นน้ำ สองมือเล็กจับไปที่หมวกสาน ใบหน้าประดับยิ้มอย่างมีความสุข ซือลี่หยางเห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มและหัวเราะกับโลกอันสดใสของเด็กน้อยเสียมิได้
“ท่านอา...ท่านหายไปไหนมาตั้งนาน ข้าฝันถึงท่านอาทุกวัน ในฝันนั้น ข้าเห็นท่านอามาเล่นกับข้า” หลันมู่โพล่งถามด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
ทว่าคำถามที่ไร้เดียงสาของนางนั้น กลับทำให้ซือลี่หยางชะงักงันไปชั่วครู่ จริง ๆ แล้วท่านอาของนางตัวจริงมิใช่ข้า เยว่ชิงคงจะมาเล่นกับนางในความฝัน นางคงรักหลานผู้นี้อยู่ไม่น้อย
ซือลี่หยางอมยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะย่อตัวลงไปคุยกับนาง “หลันมู่...ท่านอามิได้ไปไหน เจ้าโตขึ้นเจ้าจะรู้เองว่า โลกใบนี้มีสิ่งสำคัญที่ต้องทำอีกมากมาย ท่านอามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบจึงไม่อาจมาเล่นกับเจ้าได้เหมือนแต่ก่อน”
หลันมู่กอดอกแน่น สั่นศีรษะพลางเอ่ย “หลันมู่ไม่อยากโต หลันมู่อยากตัวเล็ก ๆ เท่านี้ หลันมู่เป็นเด็กขี้เกียจ”
ซือลี่หยางอดกลั้นไม่อยู่ หลุดหัวเราะออกมาทันที “ฮ่า ฮ่า…เหตุใดเจ้าถึงเอ่ยเช่นนั้น”
“ก็ท่านพ่อบอกว่าหลันมู่เป็นเด็กขี้เกียจ ไม่ยอมเชื่อฟังแถมยังชอบนอนขี้เซาอีกด้วย”
ซือลี่หยางยิ้มน้อย ๆ สองมือจับไปที่ไหล่ของหลันมู่เบา ๆ กล่าวอย่างตั้งใจ “หลันมู่...เจ้ามิใช่เด็กขี้เกียจ ต่อไปเจ้าจะเป็นองค์หญิงที่งดงามและจิตใจดีที่สุด”
หลันมู่พยักหน้าขานรับด้วยความเข้าใจ ใบหน้ากลมเล็กพลันทอยิ้มอย่างร่าเริงอีกครั้ง
เวลาล่วงไปสองชั่วยาม…
เด็กน้อยที่พลังเหลือล้น จู่ ๆ ก็หมดแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ท่านอา...ข้าเริ่มง่วงนอนแล้ว” หลันมู่เอ่ยพลางยกมือกลมดิกขยี้ไปที่ดวงตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซือลี่หยางทำตัวไม่ถูก รีบหันไปมองหน้าอิงลั่วทันที
อิงลั่วที่ตื่นลนไม่ต่างกัน นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตาเสนอความคิด “เช่นนั้น...คงต้องพาองค์หญิงน้อยกลับไปบรรทมเพคะ”
ซือลี่หยางกลอกตาครุ่นคิด ริมฝีปากที่เป็นสีเดียวกับผลอิงเถาชุ่มชื้นเม้มเข้าหากันเบา ๆ เพียงครู่จึงเอ่ย “ข้าฝากเจ้าพาหลันมู่กลับไปที่วังหลวงได้หรือไม่ พานางไปบรรทมที่ตำหนัก ส่วนข้าจะเดินเล่นอยู่ที่นี่สักพัก แล้วค่อยตามเจ้ากลับไป”
“จะดีหรือเพคะพระชายา หากไม่มีหม่อมฉันติดตามไปด้วย เกิดอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเพคะ” ขณะเอ่ย ใบหน้าของอิงลั่วก็พลันฉายความหวาดวิตกเหลือประมาณ
ซือลี่หยางกระดกมุมปากน้อย ๆ เอ่ยตอบ “อิงลั่ว...เจ้าร่างผอมบางกว่าข้าเสียอีก ใครจะปกป้องใครกันแน่”
“พระชายา…” อิงลั่วยื่นปาก นิ่วหน้าเอ่ยลากเสียงยาว
ซือลี่หยางโบกมือให้นางไป พร้อมกับกล่าวทิ้งทวนด้วยรอยยิ้มสดใส “ไปเถิดอิงลั่ว...หลันมู่ตัวน้อยของข้าง่วงนอนแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น อิงลั่วก็จนใจ ย่อกายคำนับก่อนจะสาวเท้าเข้าไปอุ้มองค์หญิงหลันมู่กลับไปที่วังหลวงตามคำสั่งการ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกห่วงใยและกังวลมากเพียงใดก็ตาม
ครั้นเมื่ออิงลั่วโอบอุ้มองค์หญิงน้อยหลันมู่เดินเข้าไปในกลุ่มฝูงชนและหายลับตาไป ซือลี่หยางก็หันกายกลับ เดินทอดน่องไปตามเส้นทางแนวยาวของท้องถนน แวะชมเครื่องประดับและเสื้อผ้าด้วยความสำราญใจ
ตลาดหลักหัวเมืองเจิ้งผิงแม้จะไม่ใหญ่เท่าแคว้นต้าฉู่ แต่ก็ทำให้นางเดินวนไปมาหลงทางอยู่หลายรอบ
ทว่าสิ่งนั้นย่อมเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ความสุขเบื้องหน้าล้วนยิ่งใหญ่กว่า พระชายาไป๋เยว่ชิงในดินแดนที่ไม่มีสายตาหนักอึ้งคอยจับจ้อง ช่างดูอิสรเสรี ราวกับผีเสื้อบินว่อนอย่างสำราญใจ ซือลี่หยางในโบราณสมัยปรารถนาจะได้สิ่งไหน เพียงดีดนิ้วก็ได้มาถือครองทั้งสิ้น
ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว และกำลังจะสิ้นสุดลงตั้งแต่ที่นางเดินผ่านโรงเตี๊ยมเก่า ๆ แห่งหนึ่ง...
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ นังแพศยา!!!"