ณ จวนเสนาบดีอู๋หรงเป่ย
"ข้าเห็นชายาของรัชทายาทในงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง เจ้ามีคำตอบให้ข้าหรือไม่...ท่านเสนาบดี"
น้ำเสียงเคร่งขรึมที่เปี่ยมไปด้วยโทสะของอ๋องห้า ทำให้เสนาบดีอู๋หรงเป่ยใบหน้าถอดสี หายใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ
เขาลิ้นคับปาก อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไปครู่ใหญ่ ผ่านไปจึงเอ่ยด้วยเสียงตะกุกตะกัก “ทะ ท่านอ๋อง ข้าว่าต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่”
ขณะเอ่ย หนวดขาวยาวเฟิ้มของเขาก็พลันกระตุกพิพักพิพ่วน สองมือเปียกชื้นไปด้วยเหงื่ออย่างควบคุมมิได้ ในค่ำคืนนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยว่ชิง รู้อีกทีก็ตอนที่นางหายตัวออกไปจากวังแล้ว
อู๋หรงเป่ย เป็นขุนนางชั้นสี่ เสนาบดีเจ้ากรมอักษรที่มีเชื้อสายมาจากเมืองเจิ้งผิง เขาเป็นญาติห่าง ๆ ของไป๋เยว่ชิง แน่แล้วว่าเขามีอิทธิพลควบคุมจิตใจนางส่วนหนึ่ง แต่ทว่าอีกหลายส่วนนั้นล้วนเป็นกลอุบาย ที่ล่อหลอกนางได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เขาคือหนึ่งในหัวสมองของอ๋องห้า เป็นหัวคิดในการโค่นล้มราชวงศ์ อำนาจของรัชทายาทยามนี้จึงเป็นเป้าหมายหลักที่ต้องกำจัดออกไปอย่างรวดเร็วที่สุด
แสงไฟในตะเกียงวูบไหวไปมา คล้ายจะดับมอดแต่ก็ลุกโชนติดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ภายใต้แสงสีส้มสลัวรางสายตาดุดันบนใบหน้าคมคายของอ๋องห้าเหี้ยมเกรียมและน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น เขากล่าวเสียงเฉียบ “ผิดพลาดอย่างนั้นหรือ...ผิดพลาดได้อย่างไร!!!!”
อู๋หรงเป่ยหัวใจพลันสั่นสะท้าน กลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงติดขัด “เอ่อ...กระหม่อม...เอ่อ…”
อ๋องห้าสะบัดชายเสื้อ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ สายตาดุดันจ้องเขม็งราวกับปีศาจกินคน พลางเอ่ย “ท่านคงไม่อยากมีอำนาจแล้วอย่างนั้นสินะ”
ประโยคที่เปล่งออกมาของอ๋องห้าเพียงหนึ่ง ทว่ามีอานุภาพร้ายแรงกับจิตใจของเสนาบดีอู๋หรงเป่ยยิ่งนัก
อำนาจและเกียรติยศนำมาซึ่งเงินทองและบารมี บุรุษใต้หล้าล้วนปรารถนาทั้งสิ้น อู๋หรงเป่ยรับราชการเป็นขุนนางมาตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น ทว่าเขากลับเป็นได้แค่ขุนนางชั้นสี่ เพราะความมักมากและไม่รู้จักพอ ด้านมืดในใจจึงครอบงำ เมื่ออ๋องห้าเข้ามาหยิบยื่นโอกาส เปรียบดั่งเอาหีบเงินหีบทองมากองไว้ตรงหน้า คนเจ้าเล่ห์อย่างเขามีหรือจะปล่อยให้เงินทองนั้นหลุดลอยออกไปได้
"ทะ ท่านอ๋อง...โปรดอภัย ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย" อู๋หรงเป่ยประสานมือด้วยท่าทางงกเงิ่น
อ๋องห้าแค่นเสียงหยัน ตะคอกถาม “ท่านจะจัดการกับนางอย่างไร”
อู๋หรงเป่ยกลอกตาขบคิดอย่างหวาดหวั่น เนิ่นนานจึงเอ่ย “กระหม่อมจะส่งบุตรชายของกระหม่อมเข้าไปตรวจสอบนางเสียก่อน”
“ตรวจสอบหรือ? ” อ๋องห้าเหลือกตาเอ่ยด้วยสีหน้าเหม่อลอย ก่อนจะหวนคืนสู่สีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง “หากนางกลายเป็นหนอนบ่อนไส้ หวนกลับมาทำร้ายข้า บอกความจริงกับรัชทายาท เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร!!!”
"กระหม่อมรู้จักนางดี นางลุ่มหลงชายหนุ่มบ้านนอกนั่นอย่างไม่ลืมหูลืมตา กลอุบายที่วางเอาไว้ ล้วนส่งผลต่อจิตใจนาง กระหม่อมมั่นใจว่านางไม่มีทางหักหลังเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ"
“ฟังดูก็มีเหตุผล รัชทายาทเป็นคนหยิ่งยโส หากเขารู้ว่านางหยามเกียรติ ป่านนี้นางก็คงจะเป็นศพไปแล้ว” อ๋องห้านิ่งเงียบไป ครู่หนึ่งจึงเหยียดปากเอ่ยต่อ “จัดการเรื่องนางให้เรียบร้อย หากนางมิใช่งูพิษ จงใช้นางต่อไป จนกว่านางจะหมดผลประโยชน์ แล้วค่อยฆ่านางทิ้งซะ!”
พอได้ยินประโยคสุดท้ายของอ๋องห้า ดวงตาของอู๋หรงเป่ยก็พลันเบิกกว้าง แม้เขาจะใช้นางเป็นเครื่องมืออย่างไร้ปรานี ทว่าหนึ่งส่วนในใจกลับบังเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ณ ตำหนักบูรพา
บ่าวใช้นางกำนัลรินชาร้อนลงไปในถ้วยชาของเยี่ยเทียนอย่างระมัดระวัง ไอสีขาวขมุกขมัวม้วนตัวลอยขึ้นสูงประหนึ่งม่านโปร่ง ในสวนพฤกษาที่เงียบสงบ เยี่ยเทียนยกถ้วยชาจิบอย่างสบายอารมณ์
เขาทอดสายตามองนิ่ง มุมปากระบายยิ้มบางออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ความคิดของเขาวนเวียนอยู่กับซือลี่หยาง นึกถึงใบหน้าสะคราญโฉมที่ยามนี้กลายเป็นคนดื้อรั้นราวกับเด็กเอาแต่ใจ นัยน์ตาสีดำขลับกระจ่างใสแวววาวปานลูกแก้วเจือแววเย่อหยิ่ง ไม่หวั่นเกรงผู้ใด ยามเมื่อเขาอยู่ใกล้ ๆ รู้สึกเหมือนมีพลังหยินหยางดึงดูดรุนแรงยิ่งนัก
ท่าทางเหม่อลอยของเยี่ยเทียน ทำให้อ๋องสี่และอ๋องเจ็ดที่เข้ามาเยี่ยมเยียนในตำหนัก เกิดความรู้สึกอยากหยอกเย้า พวกเขาจึงแอบย่องไปทางด้านหลัง ตะโกนเสียงดังข้าง ๆ ริมหูของพี่ชายพร้อมกัน
“ท่านพี่!!!!!!”
เยี่ยเทียนสะดุ้งเฮือก หลุดออกจากห้วงแห่งภวังค์ทันที พลันหันไปตวาดเสียงดัง “นี่พวกเจ้า!!”
ทั้งสองหัวเราะร่าด้วยความสนุกสนาน หาได้รู้สึกผิดที่โดนเอ็ดตะโรเลยแม้แต่น้อย
“โธ่! ท่านพี่ พวกข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ไฉนถึงได้มองข้าราวกับจะเข่นฆ่าไปได้” อ๋องสี่เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ
“ใช่! นี่เป็นการทักทายของเราสามพี่น้องที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ท่านพี่อย่าได้ทรงกริ้วไปเลย หากมีริ้วรอยเหมือนกับท่านพี่หนึ่งขึ้นมา อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน” อ๋องเจ็ดเอ่ยเสริมพลางเก๊กสีหน้าเคร่งขรึมล้อเลียนอ๋องหนึ่ง
เยี่ยเทียนเห็นเช่นนั้น ก็อดหัวเราะเสียงก้องออกมาเสียมิได้ โกรธน้องชายทั้งสองไม่ลงจริง ๆ
ทั้งสามคนเป็นพี่น้องต่างมารดาทว่าสนิทสนมกันยิ่งนัก ตั้งแต่ยังเยาว์ ทั้งสามร่วมสาบาน ว่าจะเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว เป็นสามทหารเสือของแคว้นฉู่ มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมเสพ จวบจนถึงบัดนี้ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะเป็นรัชทายาท อ๋องสี่และอ๋องเจ็ดก็ยังคงแวะเวียนมาหาพี่ชายและปฏิบัติตัวเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกต่อว่าจากฮองเฮามานับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม และเยี่ยเทียนก็มักจะออกหน้าปกป้องน้องชายเสมอ
“พวกเจ้าเข้ามาหาข้า...มีเรื่องสำคัญอันใด” คิ้วดกเข้มของเยี่ยเทียนขมวดมุ่นถามอย่างสงสัย
อ๋องสี่สะบัดพับจีบในมือคลี่ออก พัดเป็นจังหวะยังไม่รีบร้อนพลางยิ้มตอบ “ข้ามาเยี่ยมเยียน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบจากท่านพี่เท่านั้น”
อ๋องเจ็ดโพล่งเอ่ยขัด “ท่านพี่สี่อยากพูดคุยเรื่องนี้จริงหรือ...”
อ๋องสี่หุบพัดลง ฉีกยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะเอ่ยตามตรง “ยามนี้ถึงฤดูล่าสัตว์แล้ว ข้ากับน้องเจ็ดจะเข้าไปในป่า เลยตั้งใจจะมาชวนท่านพี่สามไปด้วย”
“ล่าสัตว์หรือ…” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วถาม
อ๋องเจ็ดผงกศีรษะหงึกหงัก ส่งสายตาวิงวอนไปหาพี่ชายเป็นประกายแวววาว “ท่านพี่...ไปด้วยกันเถิด ครั้งที่แล้วท่านก็ไม่มากับพวกข้า หากครั้งนี้ท่านไม่ยอมไปด้วยกันอีก ข้ากับท่านพี่สี่จะต้องเหงาเป็นแน่”
“ใช่! หรือท่านพี่จะพาพระชายาไปด้วยก็ได้” อ๋องสี่กล่าว
เยี่ยเทียนนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ เพียงครู่จึงเอ่ย “ข้าจะพานางไปด้วยทำไม”
“ข้าก็พาชายาของข้าไปด้วย...หลิงเฟยอย่างไรเล่า ส่วนน้องเจ็ดที่ยังไม่ได้แต่งงาน ย่อมไร้คู่เคียงติดตามไปด้วยอยู่แล้ว”
อ๋องเจ็ดได้ยินเช่นนั้น ก็ยื่นปากทำหน้านิ่วทันที
“ฮ่า ฮ่า…” เมื่อได้หยอกเย้าน้องชาย อ๋องสี่ก็พลันขำพรืดออกมาอย่างสำราญใจ
เยี่ยเทียนครุ่นคิดเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ข้อเสนอของอ๋องสี่ก็ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ไม่กี่วันนี้ เยว่ชิงนางเอาแต่พูดพร่ำไม่ได้ความ มิหนำซ้ำยังพยายามฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง หากปล่อยนางเอาไว้ในตำหนัก นางคงจะเป็นบ้าตายหรือไม่ก็ได้ตายจริง ๆ เป็นแน่!
“เรื่องที่จะพาชายาไปด้วย ข้าจะลองคิดดูอีกที” เยี่ยเทียนกล่าว
“นั่นก็หมายความว่าท่านพี่ยอมตกลงไปกับพวกข้าแล้ว” อ๋องเจ็ดกระโดดโหยงราวกับลิงโลด อ๋องสี่ฉีกยิ้มดีใจ หลังจากนั้นทั้งสามก็ร่วมกันดื่มน้ำชาฉลองให้กับการนัดหมายครั้งสำคัญด้วยความปีติเปรมปรีดิ์
จนเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่ง จู่ ๆ อ๋องเจ็ดก็โพล่งเอ่ยเปิดประเด็นขึ้น “ท่านพี่ทั้งสอง...ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับฝ่ายในหรือไม่”
น้ำเสียงและใบหน้าที่ตึงเครียดของอ๋องเจ็ดทำให้องค์ชายทั้งสองเกิดความสงสัยใคร่รู้
“เรื่องอันใด เจ้าอย่าบอกนะ ว่ามีนางกำนัลฝ่ายในตายอีก” อ๋องสี่พูดเกี่ยวกับความตายด้วยสีหน้าราบเรียบ ราวกับสิ่งนั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในวังหลัง หาใช่เรื่องน่าตื่นตระหนกอันใด
เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร อ๋องเจ็ดพยักหน้ารัว ๆ กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยสีหน้าขมขื่น
“ข้าได้ยินมาว่า นางกำนัลผู้นั้นเป็นสตรีผู้มีใบหน้างดงามราวกับถอดแบบมาจากบทกวีของนักปราชญ์เหิงจิ้ง มีข่าวลือกระฉ่อนแพร่สะพัดทั่ววัง ความงามของนางถูกตาต้องใจท่านพ่อ วาสนาจะต้องเสริมส่งให้นางเลื่อนจากนางกำนัลขั้นต่ำธรรมดาขึ้นมาเป็นพระสนม แต่น่าเศร้านัก...ไฉนนางถึงได้มีชะตากรรมเช่นนี้”
พออ๋องเจ็ดเอ่ยถึงนางกำนัลผู้นั้น ในใจของเยี่ยเทียนก็กระจ่างแจ้ง นี่จะต้องเป็นฝีมือของมารดาเขาเป็นแน่!
หยางฮองเฮาเป็นสตรีแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยวในสายตาของเยี่ยเทียน ทว่าความจริงแล้ว นางมีความขี้ขลาดแฝงอยู่หลายส่วน นอกจากจะต้องเป็นภรรยาที่ดีแล้ว ยังต้องเป็นมารดาของแผ่นดิน รับภาระอันหนักอึ้งในการเป็นประมุขดูแลฝ่ายในให้สงบเรียบร้อย ความรักที่นางมีต่อฮ่องเต้กวังถงนั้นมากเท่าชีวิต ทว่าความรักนั้นมีมากเกินไป ความหึงหวงทำให้เกิดการกระทำสิ้นคิดอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าฮ่องเต้กวังถงจะไปหมายตาต้องใจผู้ใด หากนางได้เห็นและรับรู้ นางจะรีบกำจัดทิ้งเสียโดยไว ถึงแม้จะเป็นเรื่องปกติของกษัตริย์ที่จะมีนางสนมกี่คนก็ตาม
เรื่องของมารดา เยี่ยเทียนพยายามเข้าไปห้ามปรามอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว ก็มิอาจทำอะไรได้ หากเขานำไปบอกบิดา มารดาจะต้องรับโทษหนักอย่างให้อภัยมิได้ สิ่งนี้ซ่อนอยู่ในใจของเขาราวกับเชือกหนาที่เป็นบ่วงพันธนาการ นับวันยิ่งบีบรัดแน่น รู้สึกเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก
“คนทำช่างร้ายกาจนัก!...พวกท่านคิดว่าเป็นฝีมือของผู้ใด” อ๋องเจ็ดถาม
“ข้าว่าคงไม่พ้นฝีมือของคนในวังหลวงเป็นแน่ อาจเป็นพระสนมหรือไม่ก็นางกำนัลที่ริษยาที่นางงดงามกว่า”
เอ่ยจบ อ๋องสี่ก็หันไปถามความเห็นของเยี่ยเทียนว่า “แล้วท่านพี่เล่า...ท่านคิดว่าเป็นฝีมือของผู้ใด…”
เยี่ยเทียนไม่ตอบอะไร เขาใช้ยกถ้วยชากระดกดื่มหมดในรวดเดียว องค์ชายทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจดีว่าพี่ชายไม่อยากสนทนาเรื่องนี้ต่อ จึงนิ่งเงียบงันตามกันไป