ร่างบางทิ้งกายดิ่งลงไปในสระน้ำ ซือลี่หยางเข้าสู่ห้วงภวังค์อันมืดมิดลึกสุดในจิตใจ ร่างนั้นค่อย ๆ เลือนหายจมลงไปอย่างเชื่องช้า สายน้ำเย็นเยียบห้อมล้อมกายนางราวกับเป็นบ่วงพันธนาการ ยามนี้นางไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกแล้ว แม้ความตายจะทรมานเพียงใดนางก็ไม่หวาดหวั่น ขอเพียงได้จากไปจากที่นี่ก็เพียงพอ
ทันทีที่เฮือกสุดท้ายกำลังสิ้นสุดลง เสียงน้ำที่ถูกกระแทกอย่างแรงก็ดังกระหึ่ม หยาดน้ำกระเพื่อมสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง ร่างบางของนางถูกชายหนุ่มคว้าเอาไว้ ก่อนที่เขาจะแหวกว่ายพานางกลับขึ้นฝั่ง
ยามเมื่อเท้าเปลือยเปล่าแตะลงบนพื้นดิน เขาก็วางร่างของหญิงสาวลงบนพื้นอย่างทะนุถนอม
“เยว่ชิง...เยว่ชิง!!” ชายหนุ่มผู้นั้นเขย่าร่างแบบบาง เรียกสตินางให้ฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยความร้อนรนใจ
ซือลี่หยางที่มีสติเพียงกึ่งหนึ่ง มองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นไม่ชัดเจนนัก เพียงมองเห็นเป็นภาพเลือนรางสีขาวจาง ๆ เท่านั้น
“ท่านเป็นใคร มาช่วยข้าทำไม” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาพลางหายใจรวยริน
ชายหนุ่มผู้นั้นนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร แววตาที่จ้องมองนางเปี่ยมไปด้วยความสับสนระคนหวาดหวั่น เนิ่นนานจึงกัดฟันเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าห้ามตาย หากจะตาย ต้องตายด้วยน้ำมือของข้าเท่านั้น!”
...แล้วนั่นก็คือคำพูดสุดท้ายที่นางได้ยิน ก่อนที่จะสลบไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด พอซือลี่หยางลืมตาขึ้นอีกครั้งในหัวก็พลันหนักอึ้งและมึนงงไปหมด ชำแรกภาพตรงหน้ายังคงเลือนราง ทว่าผ่านไปได้ไม่นานทุกอย่างก็กระจ่างชัด
วิญญาณข้าคงหลุดออกมาจากร่างของเยว่ชิงแล้วอย่างนั้นสินะ!
และตอนนี้ข้าคงอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรอกลับเข้าร่างหรือไม่ก็อยู่ในปรโลก
ซือลี่หยางคลี่ยิ้มที่มุมปากจาง ๆ กวาดสายตามองรอบด้าน ทว่าเมื่อหันหน้าไปมองข้างเตียง นางก็พบว่าแท้ที่จริงแล้วนางยังคงติดอยู่ในร่างของอีกฝ่าย ไม่ได้ไปไหนอย่างที่ใจวาดหวัง
“พระชายาเพคะ...ทรงฟื้นแล้วหรือเพคะ” อิงลั่วร้องไห้โฮออกมาจนน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า
"ข้าฟื้นแล้ว...เลิกร้องไห้เถิด" ซือลี่หยางเอ่ยเสียงแผ่ว ใบหน้างามฉายแววผิดหวังสุดประมาณ
"พระชายา...บ่าวดีใจเหลือเกินเพคะ บ่าวคิดว่าบ่าวจะสูญเสียพระชายาไปจริง ๆ แล้วเสียอีก" เอ่ยจบ นางก็ร่ำไห้ออกมาหนักกว่าเดิม
ซือลี่หยางยื่นมือไปลูบหลังนางเบา ๆ กล่าวเสียงนุ่มนวล "ข้ายังอยู่ตรงนี้ เพียงแต่รู้สึกเคืองเจ้าเล็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงไม่ปล่อยข้าไป ช่วยข้าทำไมกัน"
อิงลั่วหยุดร้อง เหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้นที่ยังคลออยู่ในลำคอ นางเงยขึ้นมาเอ่ยอย่างงุนงง “หม่อมฉันไม่ได้เป็นคนที่ช่วยพระชายานะเพคะ”
ไม่ใช่นางหรอกหรือ?
ซือลี่หยางพยายามนึกคิด เพียงครู่หนึ่ง นางก็จำได้เลือนรางว่า มีเสียงบุรุษพูดคุยกับนางก่อนที่จะสลบไป คำพูดนั้นติดอยู่ในซีกหนึ่งของหัวสมอง นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แม้แต่เสียงยังจำไม่ได้ นางรู้เพียงว่าวินาทีสุดท้ายก่อนที่ร่างจะตกลงไปในน้ำ ...ไม่ใช่ความตั้งใจ ทว่ามีคนผลักนางจากทางด้านหลัง
"หากไม่ใช่เจ้า แล้วเป็นใคร" ซือลี่หยางคาดคั้นถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อิงลั่วอ้ำอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาเอ่ยตอบ "มีขันทีผู้หนึ่งอุ้มพระชายามาส่งที่พระตำหนักเพคะ"
ขันทีอย่างนั้นหรือ?
"คงเป็นขันทีที่เผลอไปเห็นข้าตอนที่อยู่ในตำหนักร้างเป็นแน่" ซือลี่หยางเอ่ยพึมพำกับตนเอง
อิงลั่วได้ยินเช่นนั้น คิ้วน้อย ๆ ของนางก็พลันขมวดมุ่นด้วยความสงสัย "ตำหนักร้างหรือเพคะ"
ซือลี่หยางพยักหน้าหงึกหงักกล่าวตอบว่า "ใช่! ข้าเข้าไปที่ตำหนักหนึ่งมา ตำหนักนั้นตั้งอยู่ทางหัวมุมทิศตะวันตก ห่างออกไปสองลี้เป็นหอดูดาว"
สิ้นสุดคำพูด ใบหน้าของอิงลั่วก็พลันเปลี่ยนเป็นสีซีดขาว เอ่ยตอบ "วะ ว่าอย่างไรนะเพคะ พระชายาเข้าไปในตำหนักจี๋ม่อมาอย่างนั้นหรือ"
"ตำหนักจี๋ม่อ...ตำหนักของผู้ใดกัน" ซือลี่หยางถาม
ใบหน้าของอิงลั่วพะอืดพะอมเหลือจะกล่าว ทว่าฝืนใจเอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก "ตะ ตำหนักจี๋ม่อคือ ตำหนักเย็นเพคะ"
ตำหนักเย็นหรือ ?
เมื่อครุ่นคิดใคร่ครวญในใจ ดวงตาคู่งามของซือลี่หยางก็พลันขยายเบิกกว้าง นางเคยอ่านเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มา ตำหนักเย็นที่เล่าขานเป็นตำหนักที่มีไว้สำหรับจองจำวิญญาณของพระสนมนางในที่หมดอำนาจวาสนา เช่นนั้น ข้าก็ไม่ต่างอะไรจากเดินเข้าไปในตำหนักผีสิงอย่างนั้นนะสิ!
"ตำหนักเย็นจี๋ม่อ เป็นแหล่งรวมของพระสนมนางกำนัลที่ถูกปลด ไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อีกแล้ว หม่อมฉันได้ยินมาว่า ในตำหนักจี๋ม่อ บ้างก็มีเสียงกรีดร้อง เสียงร่ำไห้อย่างทุกข์ระทม บ้างก็เคยมีคนเจอวิญญาณล่องลอยอยู่ในนั้น แค่พูดยังรู้สึกขนลุก พระชายากล้าหาญมากเลยนะเพคะ ที่สามารถเข้าไปในนั้นคนเดียวได้" อิงลั่วเอ่ยพลางเอาสองมือลูบขนอ่อนที่แขนด้วยสีหน้าหวาดกลัว
"หากข้ารู้...ข้าคงจะเข้าไปหรอก" ซือลี่หยางนิ่วหน้าเอ็ดตะโร พลางเอ่ยเล่าต่อ "ข้าได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีด้วย ข้าจำได้ว่ามีคนผลักข้าตกลงไปในน้ำ หลังจากที่ถูกช่วยขึ้นมาจึงได้ยินเสียงบุรุษ ไม่ใช่ว่าข้าถูกผีผลักตกน้ำอย่างนั้นหรือ"
ขณะเล่าไป นางก็ขนลุกซู่ไป ได้ฟังเรื่องเล่าจากอิงลั่วแล้ว ก็อดคาดเดาไปในทิศทางของสิ่งเหนือธรรมชาติเสียมิได้ "ตอนข้าเข้าไปมีกลิ่นเหม็นแปลก ๆ แต่เดินเข้าไปในอุทยาน กลับได้กลิ่นดอกมณฑาขาวที่หอมฟุ้ง จึงคิดว่าที่นี่มีคนดูแลอยู่ ใครจะรู้กันเล่า ว่าเป็นตำหนักเย็นอย่างที่เจ้าว่า"
"ที่จริงแล้ว ตำหนักเย็นมีพระสนมอาศัยอยู่เพคะ"
"พระสนมองค์ใดหรือ"
อิงลั่วหลุบตาเอ่ยตอบ "พระสนมหงเสียนเฟยเพคะ"
"พระสนมหงเสียนเฟย...ยศเสียนเฟย นางกำนัลขั้นหนึ่งมิใช่หรือ นางเป็นถึงตำแหน่งสูงนัก จะสูญเสียความโปรดปรานได้อย่างไร"
อิงลั่วเข้าไปป้องมือ เอ่ยกระซิบกระซาบข้างริมหูของซือลี่หยาง "พระสนมหงเสียนเฟยถูกกล่าวโทษในข้อหาเข้ามายุ่งเกี่ยวราชกิจของฝ่าบาททั้งที่เป็นฝ่ายใน ฝ่าบาทไม่ชอบใจ ชะตากรรมของนางจึงเป็นเช่นนั้นเพคะ"
สิ้นสุดคำพูด ซือลี่หยางก็เอ่ยรำพันออกมา "ข้าเข้าใจคำว่า ภูเขายิ่งสูงก็ยิ่งหนาวเหน็บแล้ว"
"แต่ที่น่าสงสารที่สุด เห็นว่าจะเป็นพระสนมฉุนเหนียงจื่อหรือมารดาของอ๋องห้าเพคะ"
"มารดาของอ๋องห้า…นางเจอเรื่องยุ่งยากอันใด" ซือลี่หยางเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
อิงลั่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย "พระสนมถูกกล่าวหาว่าลักลอบคบชู้กับขันทีในวังหลวงเพคะ"
ซือลี่หยางเบิกตาโต ยกมือกุมอกด้วยความตกใจ เอ่ยถาม "แอบลักลอบคบหากับขันทีถือเป็นเรื่องใหญ่ ร้ายแรงเสียยิ่งกว่ากระไร แล้วนางทำเช่นนั้นจริงหรือไม่"
อิงลั่วเล่าต่อ "หม่อมฉันได้ยินมาจากสหายที่เป็นนางกำนัลด้วยกัน พระสนมฉุนเหนียงจื่อเป็นสตรีงามชั้นสูงรู้เรื่องกฎระเบียบเคร่งครัดในวัง นางปรนนิบัติรักใคร่ฝ่าบาทเป็นอย่างดีมาเนิ่นนาน ไม่มีทางที่จะทำเช่นนั้นได้เลยเพคะ อีกอย่างวังหลวงเป็นสถานที่ที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี บ่าวคิดว่าการที่พระสนมจะถูกใส่ความก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด"
ได้ฟังน้ำเสียงมาดมั่นจริงจังของอิงลั่วแล้ว ซือลี่หยางก็เชื่อมั่นในตัวของฉุนเหนียงจื่อหลายส่วน ซักถามต่อ "แล้วยามนี้นางเป็นเช่นไร"
"ย้ายออกมาจากตำหนักเย็นแล้วเพคะ"
คำตอบของอิงลั่วทำให้นางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าคำต่อไปกลับทำให้หัวใจของนางร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น
"พระสนมหงเสียนเฟยถูกตัดลิ้น ทำให้พูดไม่ได้ ฝ่าบาทเห็นใจ จึงยอมปล่อยนางกลับไปพักที่ตำหนักเดิมเพคะ"
"ตะ ตัดลิ้นเลยหรือ เหตุใดจึงโหดร้ายนัก" ซือลี่หยางกลืนน้ำลายอย่างประหม่า
"หม่อมฉันว่า เราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถิดเพคะ เดี๋ยวจะหดหู่ใจ จนเสวยอาหารไม่ลงกันพอดี"
ซือลี่หยางผงกศีรษะเบา ๆ พลางทอดถอนหายใจ ต่อไปหลังจากที่องค์รัชทายาทสืบต่อราชบัลลังก์ นางก็ต้องเป็นฮองเฮา ต่อไปคงต้องวุ่นวายกับบรรดานางสนมในวังเป็นแน่...
เมื่อร่างกายอบอุ่นขึ้น อาการง่วงเหงาหาวนอนจากความอ่อนเพลียก็ครอบงำ ซือลี่หยางหลับใหลยาวนาน ตื่นมาอีกทีก็เห็นแสงสีทองยามสนธยาเสียแล้ว
นางเกลือกกลิ้งพลิกตัวไปมาบนเตียงนอนอย่างเกียจคร้าน พยายามสลัดความง่วงงุนออกไป ทว่ายังไม่ทันลุกขึ้นนั่ง เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูเรือนที่ขยับเปิดออกก็พลันดังขึ้น นางที่ยังคงซุกหน้าอยู่บนหมอนใบใหญ่ เอ่ยถามเสียงอู้อี้ "อิงลั่ว...นั่นเจ้าหรือ"
ไม่มีเสียงอันใดตอบกลับมา ทว่าเสื้อคลุมของนางกลับกำลังถูกเลิกขึ้น เพียงครู่ ผ้าเปียกหมาด ๆ ก็ค่อย ๆ ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของนางอย่างเบามือ ความเย็นสบายกายทำให้นางหลับตาลงด้วยความเคลิบเคลิ้ม เอ่ยเสียงแผ่ว "อิงลั่ว...อย่างนั้นแหละ อย่างนั้น"
ผ้าผืนบางเคลื่อนคล้อยไล่เรียงไปบนผิวเนียนนุ่มอย่างใจเย็น เขาใช้ผ้าเช็ดบริเวณแผ่นหลัง ข้ามส่วนกลมกลึงของบั้นท้ายลงไปที่ขาและฝ่าเท้า ซือลี่หยางอดรนทนไม่ไหว ข้างในห้องรุ่มร้อนเกินไป จึงใช้มือดึงสายของเสื้อผูกคอชั้นในถอดและสะบัดออกทันที
เสียงเข้มทุ้มร้องห้ามว่า 'อย่า!' ดังขึ้น นางสะดุ้งตกใจรีบคว้าเสื้อผูกคอชั้นในขึ้นมาปิดที่ทรวงอก ก่อนจะหันไปมอง
ไม่ใช่ อิงลั่ว แต่เป็นองค์รัชทายาท!
ซือลี่หยางกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ พลางถลึงตาถาม "องค์รัชทายาทจะทำอะไรหม่อมฉันเพคะ"
"เช็ดตัว...ข้าเพียงปรารถนาจะเช็ดตัวให้เจ้าเท่านั้น" เยี่ยเทียนกล่าวด้วยท่าทางอึกอัก
ซือลี่หยางรีบแย้ง "แต่นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของพระองค์"
"แล้วหน้าที่ของสามีต้องทำอย่างไร..."
คำถามของเยี่ยเทียนทำให้นางนิ่งอึ้งไป ก่อนหน้านี้ผลักไส ยามนี้กลับมาทวงสิทธิ์ องค์รัชทายาทต้องสมองเลอะเลือนไปแล้วเป็นแน่
ยามเมื่อสลัดความคิดในหัวสมองออก ซือลี่หยางก็รีบหันหลังหนีทันทีด้วยความขวยเขิน "ออกไปก่อนเพคะ หม่อมฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า"
"เสื้อผ้าไม่สำคัญ ข้ายังเช็ดตัวให้เจ้าไม่เสร็จ"
"หม่อมฉันจะเปลี่ยนเพคะ ได้โปรดออกไปข้างนอกด้วย"
บรรยากาศเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เยี่ยเทียนจะโพล่งเอ่ยเสียงขรึม "เช่นนั้น เจ้าก็เปลี่ยนไปสิ ข้าจะหันหน้าหนี"
เมื่อรู้ว่าเขาดื้อรั้นไม่ยอมไปไหน นางจึงจนใจจำยอมสวมใส่เสื้อผ้าตรงนั้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
เยี่ยเทียนไม่ทำตามวาจา เขาชำเลืองตามองแผ่นหลังขาวนวลเนียนผุดผ่องขยุกขยิกไปมา ใบหน้าไร้อารมณ์ราวกับก้อนหิน ทว่ามีสีแดงก่ำผุดขึ้นลามไปถึงใบหู
เพียงไม่นานท่อนบนของหญิงสาวก็ถูกปกปิดอย่างมิดชิด นางคว้าเสื้อคลุมผ้าต่วนตัวบางมาคลุมทับอีกที ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยเสียงเนิบช้า "หม่อมฉันมิได้จับไข้ ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่เข้ามาดูแลหม่อมฉันเพคะ แต่ยามนี้ไม่เป็นไรแล้ว…"
เยี่ยเทียนไม่ฟังอะไร เขานั่งลงข้างกายนาง บิดผ้าฝ้ายในอ่างทองเหลืองขึ้นมาเช็ดที่แขนของนางต่อ ทำราวกับวาจาของนางเป็นเพียงอากาศธาตุ หาได้มีอิทธิพลมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดอันหนักแน่นของเขาได้
นางขมวดคิ้วผูกเป็นปมมองเขาอย่างสงสัย ที่พระองค์ทำลงไป เป็นเพราะห่วงใยข้าอย่างนั้นหรือ สรุปแล้วองค์รัชทายาทจะดีหรือจะร้าย เป็นคนอย่างไรกันแน่ ?
ขณะครุ่นคิดอย่างใจลอย จู่ ๆ เยี่ยเทียนก็โพล่งถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงกระโดดน้ำ เกลียดชังข้านัก จึงอยากหนีให้หลุดพ้นใช่หรือไม่”
นางเหลือบตามองเขาหนึ่งที เผยอริมฝีปากแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย พลางครุ่นคิดในใจ ทำไมเขาถึงรู้? หรือว่า...จะเป็นองค์รัชทายาทที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ หาใช่ขันทีอย่างที่อิงลั่วบอก
แต่แล้วทำไมกันล่ะ! ในเมื่อเขาโกรธเกลียดข้านักมิใช่หรือ
จิตใจมนุษย์ช่างซับซ้อนนัก ข้าไม่เข้าใจบุรุษผู้นี้เลยจริง ๆ อีกเพียงนิดเดียวข้าก็จะตาย จะได้ออกจากร่างนี้สมดั่งใจปรารถนาแล้ว ไฉนถึงมาขัดขวางข้า ทำเช่นนี้ แทนที่จะซาบซึ้งใจกลับรู้สึกโกรธเคืองมากกว่าเสียอีก
“เพคะ” นางตอบเสียงห้วนสั้น คำตอบนั้นทำให้เยี่ยเทียนชะงักมือค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางผ้าฝ้ายผืนบางลงในอ่างทองเหลืองและเอี้ยวตัวคว้าถ้วยยาที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาแทน
“กินซะ!” เยี่ยเทียนสั่งการเสียงแข็ง
ซือลี่หยางเม้มปากแน่น ส่ายศีรษะรัว ๆ แสดงท่าทีขัดขืนอย่างชัดเจน
“ข้าบอกให้กินอย่างไรเล่า” เยี่ยเทียนเอ่ยเสียงดุดันขึ้น แววตาจับจ้องไปที่นางเขม็ง ทว่าไม่เป็นผล ซือลี่หยางยังคงส่ายหน้าและปิดปากแน่นสนิทดังเดิม
“นี่เป็นยาต้มของตำหนักเจ้า ไม่ใช่ยาพิษ หากข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะลงไปช่วยเจ้าทำไม”
ซือลี่หยางมองเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย เพียงรอให้เขาอดรนทนไม่ไหวและเดินออกไปเอง
ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่าง...
“เจ้าจะกินหรือไม่กิน” เยี่ยเทียนถามเสียงเฉียบ
“ไม่!” นางตะโกนกลับไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น เยี่ยเทียนก็พลันทอดถอนหายใจอย่างหนัก ก่อนจะยกยาต้มที่ประคองในมือกระดกดื่มเสียเอง
ซือลี่หยางตะลึงงันไปหลายอึดใจ ดวงตาพลันเบิกกว้างโต บังเกิดคำถามผุดขึ้นในใจมากมาย ทว่ายังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ เยี่ยเทียนก็พลันพุ่งกายเข้ามาประกบร่างบาง ใช้มือเชยคางนางขึ้น ก่อนจะแนบริมฝีปาก ถ่ายเทยาต้มจากปากของเขาให้นางด้วยความดูดดื่ม
ซือลี่หยางกลืนยาต้มลงคอโดยไม่ทันตั้งตัว น่าแปลกที่ยาขม ทว่ายามเมื่อถูกป้อนจากริมฝีปากของเยี่ยเทียน ไยจึงรู้สึกหวานล้ำนัก
เยี่ยเทียนยังคงประกบริมฝีปากนางแน่นไม่ปล่อยไปไหน เขาหลับตา พยายามและเล็มกลีบปากเรียวบางจากนางทีละเล็กทีละน้อย
พวงแก้มขาวกระจ่างประดุจหิมะของหญิงสาวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ร่างบางรู้สึกอ่อนยวบยาบแทบจะละลายกองอยู่ตรงนั้น หัวสมองนางเริ่มพร่าเลือน ม่านตาค่อย ๆ ขยับปิดลงอย่างเชื่องช้า เคลิบเคลิ้มจนลืมว่าก่อนหน้านี้นางโกรธเคืองเขาไปเสียสนิท
"พระชายาเพคะ…" เสียงเล็กแหลมของอิงลั่วดังขัดจังหวะขึ้น ก่อนที่นางจะเยื้องย่างเข้ามา ครั้นเมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังพลอดรักกัน นางจึงรีบกล่าวคำขอโทษอย่างลวก ๆ และรีบจ้ำเท้าออกไปทันที
เสียงของอิงลั่วทำให้ซือลี่หยางได้สติ นางพลันใช้มือเล็กทั้งสองข้างผลักร่างของอีกฝ่ายดันออกไป
เยี่ยเทียนกะพริบตากระชั้นถี่ มีท่าทีอึกอักเล็กน้อย เขาไม่เคยมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับนาง เป็นเพราะเหตุใด ยามนี้เขาก็ไม่อาจหาคำตอบให้กับตัวเองได้เช่นกัน
“องค์รัชทายาท...นี่ท่าน!!!” หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่น
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร เพียงก้าวขายาว ๆ เดินออกไปจากตำหนัก ปล่อยให้นางนั่งงุนงง ยกมือกุมอกอย่างขลาดเขิน หัวใจในโพลงอกเต้นระส่ำระสายไม่หยุด…จะ ใจข้า ไยถึงได้สั่นรัวแรงถึงเพียงนี้!