ห้าร้อยปีผ่านไป
ณ เมืองหนานอาน ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ด้านล่างของต้ากวนหมิงซาน ภูเขาสูงซึ่งมีทะเลหมอกปกคลุมตลอดทั้งปีคึกคักด้วยเสียงดนตรีของชาวบ้านที่ให้ความสำคัญกับเทศกาลเซ่นไหว้ ‘วิหคดารา’ หรือเทพเซียนแห่งความรอบรู้ งานใหญ่โตนี้ได้ตำหนักไป๋ซานเป็นศูนย์กลางดูแลทุกอย่างให้ตรงตามประเพณีที่สืบทอดกันมาช้านาน
ตระกูลไป๋เป็นอันดับหนึ่งในเรื่องสำนักหมอเทวดา ซึ่งจะมีทายาทสืบทอดตำแหน่งบุรุษเทพเซียน ตอนนี้ผู้สืบทอดคือเด็กหนุ่มรูปงามซึ่งมีนามว่า ไป๋หลิวหยาง เขาเป็นคนผิวพรรณดี หน้าตาคมคาย รูปร่างสูงสง่า นอกจากเก่งด้านวาทศิลป์ ยังเปี่ยมด้วยความรู้เรื่องตำรายาโบราณ อีกทั้งชำนาญด้านจำแนกพิษต่างๆ เขาปรุงยาทิพย์โอสถได้ตั้งแต่อายุเพียงแปดขวบ ไป๋หลิวหยางนับว่าเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น จึงทำให้บิดาและท่านปู่ผู้ล่วงลับภูมิใจ
โดยหนึ่งร้อยปีจะมีบุรุษเทพเซียนลงมาจุติเพื่อช่วยเหลือผู้คนดังคำทำนายของหมอดูลึกลับ
เช้านี้ไป๋หลิวหยางเดินอยู่ในตลาดที่ผู้คยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขามีความสุข จิตใจแจ่มใส ก้าวไปทางไหนก็ได้รับแต่เสียงชื่นชม
“เชิญคุณชายไป๋แวะเลือกชิมอาหารที่ภัตตาคารผู้น้อยดีหรือไม่”
เจ้าของร้านอาหารอันดับหนึ่งของเมืองออกมาต้อนรับ เขาค้อมตัวลงต่ำอย่างให้เกียรติ เพื่อขอให้ไป๋หลิวหยางก้าวเข้าไปด้านใน หากเด็กหนุ่มดื่มกินอาหารร้านใดในช่วงเทศกาลดังกล่าว นอกจากสร้างความนิยมให้ลูกค้ามากขึ้นหลายเท่าตัวแล้ว ยังช่วยให้ภัตตาคารแห่งนั้นมีชื่อเสียงยิ่งขึ้นด้วย
“ไม่ได้! ต้องให้คนสกุลไป๋ไปยังร้านของข้าเท่านั้น” เสียงดังกล่าวมาจากพ่อค้าขายซาลาเปาตัวหนาใบหน้ามันเยิ้มที่วิ่งถลามาขวางหน้าไป๋หลิวหยาง จนสร้างความตื่นตกใจแก่ทุกคน
“เหลวไหล! อย่าบังอาจเสียมารยาท ร้านซอมซ่อข้างถนนอย่างนั้น คุณชายไป๋จะลดตัวลงไปกินได้อย่างไร ตอนนี้หอดอกท้อของข้ามีสาวงามวัยแรกรุ่นหลายคน แต่ละนางล้วนเชี่ยวชาญเรื่องอักษรและโคลงกลอน นอกจากนั้นยังร้องเพลงไพเราะ ฝีมือเล่นผีผาก็หาตัวจับยาก” แม่เล้าวัยสี่สิบกว่านางหนึ่งเอ่ยแทรก นางเสนอรถม้าพาคุณชายผู้งดงามไปยังสถานที่เริงรมย์ของตน
“หึๆ คุณชายจะเสียเกียรติไปยังสถานที่คาวโลกีย์ของเจ้าได้เช่นไร นางแม่เล้าผู้นี้ช่างอับจนปัญญา กล่าวสิ่งใดไม่รู้จักใช้หัวคิด” กัง บ่าวรับใช้เฒ่าประจำตระกูลไป๋เอ่ยขัด ก่อนกันตัวคุณชายให้ห่างจากความวุ่นวายเบื้องหน้า
“เอาเถิด อย่าได้โต้เถียงกัน ข้าเป็นเพียงเด็กน้อย เกรงว่าจะทำให้ทุกท่านเสียงานโดยเปล่าประโยชน์” เมื่อกล่าวจบไป๋หลิวหยางจึงหยิบหน้ากากป้องกันสิ่งชั่วร้ายขึ้นมา มันเป็นหน้ากากวิหคดาราหรือเทพเซียนนกฮูก ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นเพื่อบุรุษแห่งตำหนักไป๋ซานโดยเฉพาะ
เด็กหนุ่มมองผู้คนผ่านหน้ากากที่อำพรางใบหน้าแล้วหัวเราะร่วน นอกจากคนที่สวมหน้ากากแบบต่างๆ แล้วยังมีคนที่แต่งตัวเป็นภูตผี บ้างน่ากลัว บ้างน่าตลกขบขัน ออกแนวทะเล้นทะลึ่งก็มาก อีกทั้งประดิษฐ์อวัยวะเพศชายผูกห้อยเอว หลายอันใหญ่โตเกินจริง และปลายหัวหยักเป็นสีแดงชวนเสียวไส้ สาวแรกรุ่นพอได้เห็นต่างยกมือปิดหน้าปิดตาด้วยความขัดเขิน กระนั้นยังมิวายหัวเราะด้วยจริตมารยาหญิง
ตามสี่แยกมีหุ่นฟางและหุ่นกระดาษสวยงาม แต่งตัวเขียนหน้าเขียนตาเป็นปีศาจร้ายในตำนาน ซึ่งแทนที่จะทำให้น่ากลัว หุ่นเหล่านั้นกลับอยู่ในชวนหัวร่องอหาย โดยเฉพาะหุ่นกระดาษปั้นเป็นร่างนางแมวสองหางที่มีขนาดเท่าคนจริง
นางแมวสาวมีดวงตาสีฟ้าข้างหนึ่งและอีกข้างเป็นเหลืองอำพัน ท่าทางเต็มไปด้วยจริตจะก้าน ดูเย้ายวนเจือแก่นแก้วน่าหยิก
“นางแมวลักษณะพิเศษเช่นนี้เชื่อกันว่ามีหน้าที่เฝ้า ‘ว่านเก้าชีวิต’ สมุนไพรเซียนที่มีอยู่เฉพาะในต้ากวนหมิงซาน คนทั่วไปยากนักที่จะได้พบเห็น และตอนนี้มันหายสาบสูญไปแล้ว” ตาเฒ่ากังกล่าว
“น่าสนใจ ในเมื่อภายภาคหน้าข้าจักต้องปรุงทิพย์โอสถเพื่อช่วยเหลือผู้คนทั้งใต้หล้า ฉะนั้นข้าควรเลี้ยงแมวที่แสนน่ารักเยี่ยงนี้ไว้สักตัว”
“คุณชายเข้าใจผิดมหันต์ ท่านกับสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ไม่ควรจะอยู่ใกล้ชิดกัน ด้วยลมหายใจท่านเป็นของโปรดที่ปีศาจร้ายปรารถนา โดยเฉพาะพวกที่มีปานแดงอัคคีบนหน้าผาก ท่านยิ่งต้องอยู่ให้ห่างจากมัน!”
กังมองไปยังสัญลักษณ์บนหน้าผากของนางแมว ซึ่งบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจชั่ว ในตำนานกล่าวว่ามันจ้องจะดูดกลืนวิญญาณและควักเอาหัวใจชายหนุ่มไปกิน เพื่อให้ตนมีร่างกายเป็นมนุษย์สมบูรณ์
“นั่นมันนิทานที่ท่านปู่แต่งหลอกข้า เหตุใดพ่อบ้านกังยังเอามาพูดข่มขู่ข้าอีก”
“หามิได้คุณชาย เรื่องนี้ท่านต้องใส่ใจ ชีวิตท่านสำคัญเหนือผู้ใด และบ่าวมีหน้าที่อารักขาเพื่อให้ท่านขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญของตำหนักไป๋ซาน”
“ข้ารู้ว่าพ่อบ้านกังหวังดี แต่ข้ายังเด็กไม่รู้ประสา และยังไม่ถึงวัยที่ต้องทำเรื่องพรรค์นั้น ตอนนี้ขอสนุกกับเรื่องราวบนโลกดีกว่า เอาไว้ถึงเวลาเมื่อไร ข้าจะทำหน้าที่หมอเทวดารักษาผู้คนทั้งใต้หล้าก็แล้วกัน”
ไป๋หลิวหยางกล่าวน้ำเสียงเบิกบาน เขารักการผจญภัย ไม่ชอบคิดเรื่องเครียดให้ปวดหัว
“หวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง บ่าวคงนอนตายตาหลับ”
เด็กหนุ่มโบกมือกับความคิดของตาเฒ่ากัง ก่อนหมุนตัวไปอีกทางเพื่อชมสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจที่อยู่รอบๆ เมืองใหญ่
ไป๋หลิวหยางหยุดยืนดูการละเล่นปาหี่ ซึ่งนักแสดงกำลังแสดงเป็นสัตว์ต่างๆ ในต้ากวนหมิงซาน ทั้งราชากิ้งก่าตัวสีน้ำเงินเข้ม เหล่าตระกูลแมวป่าพ่อแม่ลูก ปีศาจนกยูง ม้าน้ำ เต่าทะเล รวมถึงงูดิน ดูแล้วก็เพลินตาเพลินใจ โดยเฉพาะหญิงสาวที่สวมบทบาทนางแมวซึ่งกำลังส่ายสะโพกยวนยั่วผู้คน
“นางแมวตัวนั้นท่าทางผิดแผกจากผู้อื่น มองแล้วข้าอดคิดไม่ได้ว่านางอาจลงมาจากยอดเขาสูงด้านบนจริงๆ” ไป๋หลิวหยางกล่าวและมองไปยังภูเขาสูงที่มีทะเลหมอกล้อมรอบ
“คุณชาย สิ่งที่เห็นเป็นเพียงการแสดง ท่านอย่าใส่ใจให้มาก อีกอย่างคนพวกนั้นล้วนทำเพื่อเงิน!”
“เจ้ากำลังดูถูกคน ได้ฟังแล้วข้าชักโมโห” ไป๋หลิวหยางกล่าวเสียงขรึม ก่อนหันไปจดจ้องร่างอรชรที่แต่งเป็นนางแมวสองหาง อีกฝ่ายกำลังร่ายรำด้วยกิริยาอ่อนช้อย ในมือมีผีผาบรรเลงเพลงท่วงทำนองหวานซึ้ง
“ข้าอยากมอบน้ำใจให้นางสักเล็กน้อย เจ้าเป็นธุระให้ได้หรือไม่” ไป๋หลิวหยางกล่าวจบจึงล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วส่งถุงเหรียญทองคำจำนวนหนึ่งให้พ่อบ้านกัง
“มันไม่มากไปหน่อยเหรอคุณชาย”
“สำหรับสตรีที่ข้าพึงใจ แค่นี้นับว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”
พ่อบ้านเฒ่าพยักหน้ารับทราบ แต่ในใจกลับนึกค้าน
“ดูท่านจะสนใจนางแมวเจ้าเล่ห์”
“ใครเห็นก็ต้องชอบ หากเจ้าเป็นหนุ่มไยจะไม่เฝ้าฝันถึงสตรีที่แสนอ่อนหวานและงดงาม” ไป๋หลิวหยางกล่าวพลางมองสาวสวยนางนั้นด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
“หากคุณชายอยากสานไมตรีกับนาง ให้บ่าวเป็นธุระให้ดีหรือไม่” ตาเฒ่ากังลองเชิง
“อย่าเลย ข้าแค่ชอบมอง อีกอย่างต้องรีบไป ป่านนี้ทุกคนคงพร้อมที่ศาลเจ้าแห่งโชคชะตาแล้ว” ไป๋หลิวหยางหมายถึงศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ที่หากใครอยากสมหวัง ได้พบความรักกับคู่แท้ต้องไปที่นั่นเพื่อขอพร
“ปีนี้ข้าหวังว่าคุณชายจะได้พบกับหญิงสาวที่อาจเป็นภรรยาของท่านในภายภาคหน้า”
“ฮ่าๆ นั่นคือสิ่งที่ข้าปรารถนายิ่งกว่ารอรับตำแหน่งบุรุษเทพเซียนของตำหนักไป๋ซานเสียอีก” ไป๋หลิวหยางกล่าวด้วยความสำราญใจ