4

1213 Words
ซูเมิ่งเองก็มิได้โล่งใจไปเสียทีเดียว นั่นย่อมหมายถึงว่าหญิงผู้นั้นถูกจ้าวหลิวละเมิดล่วงเกินนาง คิดแล้วอดช้ำใจมิได้ นางแอบรักจ้าวหลิวมาตั้งแต่จำความได้แล้ว เมื่อรู้ว่าเขามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้อื่น นางอดเสียใจมิได้ แม้ว่าจ้าวหลิวจะมีโดยควบคุมตนเองมิได้ก็ตามที ก่อนจะรวบรวมสติพูดออกไปอีกว่า “ข้าก็จะได้มอบพวกของกำนัลล้ำค่าให้นาง ตามอย่างที่เหล่าผู้หญิงชอบๆ กันเจ้าค่ะ” ผู้นั้นย่อมเป็นหญิง เป็นหญิงสาวอย่างแน่นอน แต่เป็นหญิงที่ร่างกายของนางนั้นเล็กบางมาก เล็กราวกับยังเป็นเด็กอยู่ นอกจากคนผู้นั้นจะถูกเขาล่วงเกินจนหมดเรี่ยวแรง แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ทิ้งร่องรอยต่อเขาที่ตรงแขนข้างซ้าย เป็นริ้วรอยเล็กๆ ราวกับลูกแมวข่วน จ้าวหลิวมองรอยที่แขนแล้วก็นึกต่อจากนั้นไปว่า เขามิได้เห็นเลยว่าหญิงผู้นั้นมีหน้าตาเช่นไร เพราะข้างในถ้ำนั้นมืดมาก และเมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็ไม่พบหญิงผู้นั้นเสียแล้ว ไม่คิดเลยว่านอกจากจะกระทำการน่ารังเกียจด้วยการห่ามหื่นบ้ากามไม่เลือกคน หลังปลดปล่อยกับหญิงผู้นั้นจนสติกลับคืนมา สิ่งที่ผนึกกำลังตรึงเขาไว้ยังไม่หมดฤทธิ์เดชของมันลงง่ายๆ จ้าวหลิววิ่งชนถ้ำจนแตกเป็นรูโหว่ เขาวิ่งเตลิดออกไปด้านนอก จนไปหยุดที่ตลาดสด จ้าวหลิวฉกเอาเนื้อดิบที่ในตลาดสดแห่งแรกที่วิ่งมาถึง ยัดก้อนเนื้อดิบเข้าปากกิน แทบไม่เคี้ยวด้วยซ้ำ เขากลืนลงคอไปเลยราวกับอดยาก แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะฤทธิ์ของพลังที่อัดแน่นในต้นโม่วยี หลังจากยัดเนื้อดิบเข้าปากจนหมดร้านแล้วนั้น จ้าวหลิวยังตวาดเด็กเล็กๆ ที่มองเขาตาค้าง และตรงไปรังแกคนพิการกับคนชราอีกด้วย หาเรื่องทำร้ายคนที่ด่าทอเขาตรงข้างทาง ผู้คนแตกตื่น เขาห้ามร่างกายของตนเองไม่ได้ ตอนนั้นเขายังเห็นว่ามีทหารจากทางการพยายามเข้ามาจับกุมเขา แต่แล้วคนในสำนักก็ตามเจอเขาเข้าพอดี หนึ่งในนั้นปล่อยควันไร้ความทรงจำ ก่อนจะช่วนกันพาเขาออกมาจากที่แห่งนั้น จ้าวหลิวนึกถึงเรื่องราวสุดอัปยศนั้นแล้วแววตาของเขาพลันแดงก่ำขึ้น ความเฉยเมยเดียวดายถูกสั่นสะเทือนจากภายในอย่างที่จ้าวหลิวมิเคยได้รับมันมาก่อน สิ่งนี้เรียกว่าอันใดกัน เจ้าสำนักไฮว่ชั่วปัดความรู้สึกชั่ววูบนั่นทิ้งไป แล้วคิดต่อไปว่าหากเขารู้ตัวคนที่ทำร้ายเขาจนสาหัสและยังล่ามเขาไว้ด้วยพลังที่อัดกับต้นโม่วยี เขาจะฆ่ามันด้วยการเลาะกล้ามเนื้อของมันออกทีละมัด จ้าวหลิวส่งสายตาเรียกเฟยเทียนพร้อมกับมอบหมายให้คนสนิทของเขาผู้นี้ออกตามหาหญิงเคราะห์ร้ายรายนั้น หากเขาได้พบเจอหญิงผู้นั้นอีก เขาจะมอบความช่วยเหลือให้นางจนสุดชีวิต นานหลายเดือนเฟยเทียนไม่สามารถหาตัวคนที่ท่านเจ้าสำนักของตนต้องการ เฟยเทียนวนเวียนจนทั่วแถบนั้นแล้วก็จนปัญญา เขาว่าจ้างแหล่งข่าวให้ช่วยตามหาตัว แต่หาที่ใดก็หาไม่พบ อาจเป็นเพราะไม่รู้เบาะแสอันใดเลย นอกจากว่าเป็นหญิงร่างเล็กที่มีกลิ่นแปลกๆ ติดกายนาง จึงทำให้หาเท่าไรก็หาไม่พบเจอก็เป็นได้ จ้าวหลิวที่เฝ้ารอที่จะไถ่ความผิดของเขา ได้แต่กลัวว่าชาตินี้อาจไม่พบเจอหญิงผู้นั้นอีก เขารู้สึกผิดบาปยิ่งนัก พลันนั้นความโดดเดี่ยวอ้างว้างไร้ที่มาได้แผ่กระจายไปทั้งหัวใจ ยากนักที่จะดับความผิดนั้นให้หลุดหายออกไปจากหัวใจของเขาได้ เสียงอาเจียนดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่มี่ฮวนออกมาจากถ้ำจางเจี้ยได้เพียงสามเดือนเศษ ศิษย์พี่ฟู่หลิงมองนางด้วยสายตาสงสัย เมื่อเห็นอาการไม่สู้ดีของนาง เช้ามาจะแอบไปโก่งคออาเจียนที่หลังโรงหมอ ตนตามไปดูเห็นเป็นเช่นนี้มาครึ่งเดือนได้แล้ว ไม่รู้ว่าเจ็บป่วยอันใด เหตุใดไม่ไปให้ท่านอาจารย์ช่วยดูให้ “เป็นอะไรของเจ้า” ฟู่หลิงเอ่ยถามนางเมื่อเห็นว่าเดินหน้าซีดมาทางนี้แล้ว มี่ฮวนยกมือขึ้นลูบเหงื่อเย็นชื้นออกจากใบหน้าพูดสิ่งใดไม่ออกเพราะอาเจียนหนักจนปากคอของนางสั่นไปหมด “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าตะกละกินให้มันมากนัก” “ข้ายังไม่เห็นว่ามี่ฮวนกินอันใดมากมายเลย เห็นแต่อ้วกตั้งแต่เช้า ตื่นมาก็อ้วก กินเพียงน้ำก็อ้วกแล้วยังอ่อนแรง หน้ามืดบ่อยๆด้วย มิใช่ว่า…” คนพูดคือศิษย์พี่เจียงอู่ ที่เดินเข้ามาคุยด้วยการเอ่ยปากท้วง เจียงอู่เปิดปากพูดค้างคำไว้เพียงเท่านั้น แล้วย่อตัวลง เพื่อแตะปลายนิ้วมือของตนที่ข้อมือของมี่ฮวน จะทำการตรวจชีพจรหาโรคให้ แต่พอจับแล้วก็ไม่พบว่าเจ็บป่วยอันใด มี่ฮวนดึงเอาข้อมือของนางกลับช้าๆ อ่อนแรงไม่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดแน่ เจียงอู่เห็นท่าทีมีพิรุธจึงได้พึมพำไปว่า “นี่เจ้า เจ้า มิใช่ว่า...” ฟู่หลิงขยับตัวเข้ามาถามด้วยอาการอยากรู้เต็มเปี่ยม ว่าจะใช่อย่างที่ตนคิดหรือไม่ก็ไม่รู้ “ไม่ใช่ว่าอันใดอย่างนั้นหรือพี่เจียงอู่” “ไม่ใช่ว่าจะคิดอู้งานหรอกหรือ” “ข้าเปล่านะ” มี่ฮวนร้องบอกแล้วหอบร่างที่นับวันจะบวมน้ำมากยิ่งขึ้น ทั้งๆ ที่นางก็มิค่อยได้กินข้าวปลาอาหารลงท้องไปสักเท่าไร จากนั้นอีกราวหนึ่งเดือนกับอีกสิบวัน อาการของมี่ฮวนก็ยังไม่ดีขึ้น ศิษย์พี่เจียงอู่ที่คอยเฝ้ามองนางมาตลอด ตั้งแต่นางออกมาจากถ้ำด้วยสภาพราวกับถูกหมาฟัดมา “มี่ฮวน เจ้ามานี่” คนที่เรียกนางนั้นเป็นศิษย์พี่คนโปรดของอาจารย์ เขาชื่อหลิวชาง ทางนั้นเรียกแล้วเห็นนางเดินเชื่องช้านัก ก็จัดแจงเดินมาหาเสียเอง ทางนั้นดึงข้อมือของมี่ฮวนมาจับไว้แน่นเพื่อตรวจหาโรคร้ายไปพร้อมด้วย ครั้งก่อนนางเคยตรวจมี่ฮวนมาแล้วสามครั้ง แต่ก็ไม่พบว่าป่วยอันใด ชีพจรดูปกติทุกอย่าง แต่แล้วครั้งนี้กลับแน่ชัดขึ้น! “มีสิ่งใดบ้างหรือไม่ศิษย์พี่ มี่ฮวนเจ็บป่วยด้วยโรคใด” ศิษย์พี่หลิวชางผู้นั้นตรวจพบแล้ว ใบหน้าดูตกใจไม่น้อย เขาปล่อยข้อมือของมี่ฮวน พร้อมกับพึมพำไม่ดังนัก “มี่ฮวน เจ้าท้องหรอกหรือ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD