“ข้าไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะมีใครที่มันเหิมเกริมถึงขนาดกล้าเล่นงานท่านเจ้าสำนักของพวกเราได้ถึงขนาดนี้”
เสียงหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะตามมาด้วยอีกเสียงหนึ่ง
“นอกจากจะลอบทำร้ายท่านจอมมารอย่างสาหัสแล้ว พวกมันยังเอาตัวท่านจอมมารของพวกเราไปขังไว้ในถ้ำ เท่านั้นไม่พอ มันยังใช้ต้นโม่วยีผนึกกำลัง กำกับท่านจอมมารเอาไว้ ไม่ให้หลุดออกมาได้อีก หรือหากผู้ใดเข้าไปเด็ดเจ้าต้นนั่นทิ้ง ท่านจอมมารก็จะกระทำการข่มเหงต่อคนผู้นั้น ราวกับโจรบ้ากามตัณหา”
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร” อีกเสียงถามขัดทันที น้ำเสียงนั้นหากฟังให้ดีมีความสงสัยในตัวอีกฝ่ายที่เล่าเรื่องอยู่ไม่น้อย
“เรื่องราวของต้นโม่วยี ใครก็รู้ฤทธิ์เดชของมัน พวกชาวบ้านพากันแย่งหาอยากครอบครองเพราะมันเป็นยาบำรุงที่ร้อยปีจะโตมาสักครั้งหนึ่ง แต่มันไม่ได้ดีต่อพวกเรา โดยเฉพาะท่านจอมมาร..” เสียงเล่าแผ่วลงเมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ “แล้วเจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าท่านจอมมารไม่ได้ทำเช่นนั้นกับผู้ใด”
“ไม่มีเลยขอรับ ตอนที่พวกเราไปถึงในถ้ำนั้น แม้จะไม่พบท่านจอมมารแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยของผู้ใดในถ้ำ นอกจากร่องรอยเอ่อ เสื้อผ้าของท่านจอมมารที่ขาดจนไม่เหลือเป็นชิ้นเลยขอรับ”
“คงถูกเจ้าต้นนั่นทารุณท่านจอมมารของพวกเรา ดีเท่าไรแล้วที่รักษาชีวิตกลับมาได้” เสียงนั้นกล่าวตอบ แล้วถามใหม่อีกประโยค
“ท่านจอมมารเล่า หายไปที่ใด เจ้าจึงไม่พบท่านที่ในถ้ำ”
“อยู่ในตลาดสดขอรับ”
“ไปตลาดสดอย่างนั้นหรือ” ผู้ถามเต็มไปด้วยท่าทางงุนงง “ไม่เป็นไร ท่านจอมมารไม่เป็นอันใดมาก ทั้งยังกลับมาถึงสำนักของเราได้ก็ดีมากแล้ว”
เสียงพูดคุยเหล่านั้นเงียบลงราวข้อยาม จ้าวหลิวจึงได้ลืมตาขึ้น เขาจะปวดหัวเช่นนี้ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องราวในถ้ำ หลังจากที่โซ่ตรวนปลดปล่อยเขาออกมาจากการถูกล่ามกักกันได้
แม้จ้าวหลิวจะเป็นถึงเจ้าสำนักไฮว่ชั่ว แต่จ้าวหลิวมิใช่ผู้ที่มีความเลวมาแต่กำเนิด หากพบศัตรูย่อมต้องมีฆ่าฟันกันจนตายไปข้างหนึ่ง แต่จ้าวหลิวไม่เคยคิดเบียดเบียนคนชรา คนพิการ เด็กหรือสตรีที่ไร้หนทางต่อสู้ เขาไม่เคยทำเช่นนั้นแม้แต่ครั้งเดียว
และร่างเล็กที่มุดเข้ามาในถ้ำมืดมิดที่เขาถูกจองจำครั้งนั้น จ้าวหลิวก็มั่นใจว่านางเป็นหญิง เขาจำเสียงพึมพำเยาะเขาที่นางเปล่งเสียงพูดออกได้เป็นอย่างดี เสียงนั้นถูกฝังอยู่ในหัวของเขาแล้ว หากได้ยินเสียงนั้นอีก จ้าวหลิวมั่นใจว่าเขาจำนางได้
แต่ทว่า...จ้าวหลิวได้แต่คิดไปว่า หญิงผู้นั้นช่างโชคร้ายนัก
เขารู้ว่านางต้องการต้นนรกนั่น แต่นางคงไม่รู้ว่าต้นโม่วยีระยำต้นนั้นได้ถูกคนผู้หนึ่งหรืออาจเป็นกลุ่มหนึ่งจองจำเขาไว้ไม่ให้หลุดออกมาจากถ้ำนั้นได้
ทันทีที่นางดึงมันออก นั่นหมายถึงว่านางได้ปลดปล่อยเขาแล้ว
นอกจากนางจะปลดปล่อยเขาแล้ว นางยังถูกเขาที่ต้องฤทธิ์ของต้นโม่วยีกระทำการล่วงล้ำข่มเหงนางอีกด้วย
“จ้าวหลิว ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เสียงถามหวานใสทว่ามาดมั่นดังมาจากประตูภายในห้องของจ้าวหลิว นางคือซูเมิ่ง บุตรสาวของพ่อบ้านแห่งสำนักไฮว่ชั่วนั่นเอง
“ใช่ ท่านจอมมารกลับมาแล้ว”
นั่นไม่ใช่เสียงตอบของเขา แต่เป็นเฟยเทียน คนสนิทที่ถูกทำร้ายปางตายเช่นกัน ก่อนที่เขาจะถูกลอบทำร้ายอย่างสาหัสและพาตัวไปจองจำเอาไว้
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านจอมมารกลับมาถึงแล้ว”
“ข้ารอถามข่าวของจ้าวหลิวมาตลอด เหตุใดจึงจะไม่รู้” ซูเมิ่งกล่าวตอบอย่างหัวเสียที่ถูกซักไซ้เช่นนั้น จ้าวหลิวยกมือโบกให้ทั้งสองคนหยุดโต้กันไปมาเสียที นั่นเองซูเมิ่งจึงได้หุบปากของนางลง
“ว่าแต่..” ซูเมิ่งเกริ่นคำขึ้นมาคำหนึ่งแล้วก็มิกล้าเอ่ยต่อ นางมองวงหน้าหล่อเหลาของจ้าวหลิว ชายเดียวในดวงใจของนางด้วยสายตาเกรงใจอยู่หลายส่วน
“เรื่องใดที่เจ้าต้องการถาม พูดมา”
จ้าวหลิวส่งเสียงแหบถามนางกลับ เป็นเสียงแหบที่ฟังแล้วน่ากลัว น่าขนลุก น่าเกรงขามยิ่งนัก แต่ทว่าก็ไม่เท่ากับเมื่อตอนที่เขาถูกขังไว้ที่ในถ้ำนั่น
“ข้าจะถามว่าใครกันที่เป็นคนเข้าไปช่วยเหลือท่าน”
จบคำถามของซูเมิ่ง คิ้วหนาเข้มพาดเฉียงแบบเดียวกับดาบคู่กายของจ้าวหลิวพลันกระตุกขึ้นมาถี่ๆ เพราะมันใช่ธุระอันใดของนางกัน ซูเมิ่งจึงได้เอ่ยถึง
“ใช่ขอรับ ใครหรือขอรับท่านจอมมารที่ช่วยท่านออกมา พอจะพบหน้าหรือไม่ขอรับ”
คำถามเซ้าซี้ของอู๋จี๋ บ่าวที่คอยดูแลดังไล่ตามมาจากด้านหลังขณะยกถาดยามาให้ ยิ่งทำให้คิ้วของจ้าวหลิวกระตุกมากยิ่งขึ้น
กระทั่งเฟยเทียนที่มิใช่พวกปากมากก็ยังเอ่ยถามอีกคน
“ใช่ขอรับ ผู้นั้นคือใคร”
“ใช่ๆ ท่านได้พบเจอคนที่ช่วยท่านหรือไม่ จะได้นำรางวัลไปมอบให้อย่างไรล่ะ ว่าแต่ ท่านผู้นั้นเป็นหญิงหรือชาย” ซูเมิ่งที่เอาแต่ถามวนเวียนแต่คำถามนี้ ยังคงไม่ยอมจบเรื่องลงง่ายๆ ก็จะให้นางจบเรื่องลงง่ายๆ ได้อย่างไร เพราะมันทำให้นางนอนไม่หลับเลยสักวันตั้งแต่จ้าวหลิวกลับมา
เรื่องนี้มีผู้รู้น้อยก็จริง แต่ซูเมิ่งไปสืบมาจนรู้จนได้ ว่าหากใครเข้าไปปลดปล่อยจ้าวหลิว จะต้องถูกเขากระทำต่ำช้าหยาบหนาด้วย และนางก็ไม่อยากได้ยินว่าจ้าวหลิวกระทำเรื่องอย่างว่านั่นกับผู้ชายนี่นา
ดวงตางดงามของซูเมิ่งเบิกกว้างขึ้น นางถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ ขณะรอคอยคำตอบว่าผู้ใดคือคนที่ปลดปล่อยท่านเจ้าสำนักของพวกตนออกมา
“เหตุใดเจ้าจึงได้สนใจนักซูเมิ่งว่าเป็นชายหรือหญิง”
“ข้าย่อมต้องสนใจสิเจ้าคะ เพราะข้าจะได้...เอ่อ ..จะได้มอบของตอบแทนให้ถูกกับคนผู้นั้น” ซูเมิ่งกล่าวแก้เก้อตอบกลับไป น้ำเสียงของนางตะกุกตะกักอยู่บ้าง เมื่อต้องพูดทั้งยังต้องสบสายตาดำเหลือบแดงของคนถาม “เพราะหากเป็นชาย ข้าก็จะได้มอบของมีค่าที่เหมาะกับชาย หรือหากว่าเป็นหญิง..” นางสะดุดตรงนี้เล็กน้อย เพราะหากว่าเป็นหญิง ซูเมิ่งเองก็มิได้โล่งใจไปเสียทีเดียว