“วันนี้พลอยเข้ามาหาพี่ตอนสิบโมงครึ่งนะ พี่จะอธิบายรายละเอียดงานและสิ่งที่พลอยต้องทำตลอดหกเดือนระหว่างที่พี่รักษาตัวอยู่ จะได้แนะนำให้รู้จักกับเสือ..คนที่พลอยต้องดูแลด้วย”
พลอยรดาได้รับสายจากฝนตั้งแต่เช้าตรู่ เธอตบแก้มตัวเองเบาๆเพื่อขับไล่ความง่วงงุน
บทบาทของเธอในตำแหน่งผู้จัดการดารากำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ
“พลอยจะไปเยี่ยมพี่เอ๊ะนะแม่”
พลอยรดาในชุดเสื้อแฟชันคอปกสีขาวกับกางเกงสแล็กสีดำเข้ารูปสะพายกระเป๋าเดินเข้ามาหาผู้เป็นแม่ในครัว
“แต่ขอกินข้าวฝีมือแม่ก่อนนะ” พลอยรดายิ้มแฉ่ง วันนี้เธอแต่งหน้าอ่อนๆ ขับให้ใบหน้านวลเนียนนั้นดูอ่อนกว่าวัย
“รอแป๊บนึงนะพลอย ไข่ดาวใกล้สุกแล้ว” พัชราละสายตาจากกระทะบนเตาชั่วครู่หันมาบอกลูกสาวคนโตที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“ได้ค่า”
อาหารมื้อเช้าที่แม่ทำไว้ให้เป็นข้าวต้มปลาร้อนๆที่ส่งควันสีขาวและกลิ่นหอมฉุยแตะจมูก นอกจากนี้ยังมีข้าวผัดซีอิ๊วและไข่ดาวที่แม่ทอดเอาไว้อีกหลายฟอง
จะว่ามื้อเช้าของครอบครัวพลอยรดาแปลกก็ว่าได้ เพราะมันไม่ได้มีแค่อย่างเดียว มองๆดูแล้วมื้อนี้ดูจะหนักกว่ามื้ออื่นด้วยซ้ำ
นอกจากมื้อเช้าจะแปลกแล้ว คนกินก็แปลกไม่แพ้กัน...
พลอยรดาชอบกินข้าวต้มปลากับไข่ดาวเป็นมื้อเช้าที่สุด ฟังดูไม่เข้ากันเท่าไหร่ที่ไข่ดาวจะมาวางอยู่บนข้าวต้ม แต่พลอยรดาชอบกินแบบนี้จริงๆ
ตอนไปเรียนเมืองนอกเธอทานอาหารเช้าที่มีแต่ขนมปัง ไข่ดาว แฮม และไส้กรอกจนเอียน สุดท้ายก็ต้องทำข้าวต้มของโปรดกินเอง แรกๆก็เป็นข้าวต้มปลาธรรมดา หลังๆมาเธอก็เริ่มประยุกต์เอานั่นเอานี่มาใส่เพิ่ม เป็นไส้กรอกบ้าง แฮมบ้าง แครอทบ้าง และเธอก็ค้นพบว่าไข่ดาวกับข้าวต้มปลาคือคู่หูที่เธอชอบมากที่สุด
พลอยรดายังจำได้ดีว่าตอนที่วิดีโอคอลคุยกับครอบครัวแล้วสาธยายการทำอาหารของตัวเองให้ที่บ้านฟัง คนในบ้านเธอกลั้นขำกันยกใหญ่เพราะไม่มีใครคิดว่ามันจะเข้ากันได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีใครว่าหรือล้อเลียนพลอยรดา หากนั่นเป็นอาหารเช้าที่เธอชอบ ผู้เป็นแม่ก็พร้อมเข้าครัวทำให้เสมอ และก็เป็นแบบนั้นตั้งแต่พลอยรดากลับมาถึงไทย
ส่วนข้าวผัดซีอิ๊วและไข่ดาวน่ะเป็นมื้อเช้าสุดโปรดของพิมวารีเขา น้องสาวเธอชอบทานอาหารเช้าหนักๆแบบจัดเต็ม บางวันก็ล่อกะเพราตั้งแต่เช้าจนพลอยรดารู้สึกเสียดท้องแทน แต่ดูเหมือนพิมวารีจะกินแบบนั้นได้สบาย
“แล้วนี่ต้องเริ่มงานวันไหนน่ะพลอย”
พัชราเดินมานั่งใกล้ๆลูกสาวคนโต เมื่อวานหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลเธอก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่ฝนขอร้องให้ครอบครัวฟัง แน่นอนว่าคนเป็นพ่อที่อยู่เชียงใหม่ก็รับรู้จากการวิดีโอคอล ไม่มีใครเอ่ยคัดค้านอะไรเพราะครอบครัวของพลอยรดาเป็นประเภทที่ปล่อยให้ลูกได้ตัดสินใจเอง ถ้าผิดพลาดก็แค่บอกเล่า จะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา
ส่วนพิมวารีน้องสาวของเธอพอรู้ว่าเธอจะไปเป็นผู้จัดการดาราก็ดีใจกระโดดโลดเต้นยกใหญ่ แล้วก็เอาแต่พูดว่าพี่พลอยจะดังแล้วๆ จนพลอยรดาต้องเบรกน้องสาวตัวเองด้วยการบอกว่าเธอไปเป็นผู้จัดการดารา ไม่ใช่ไปเป็นดาราสักหน่อย
“คิดว่าน่าจะเป็นพรุ่งนี้ค่ะแม่ พี่ฝนจะอธิบายรายละเอียดงานทั้งหมดให้วันนี้” ผู้เป็นแม่พยักหน้ารับ
“คุณยายล่ะคะแม่”
“อยู่ในสวนน่ะ ดื้อจะออกไปดูพื้นที่ไว้ปลูกผักทำสวน นี่ก็มาขอให้แม่พาไปซื้อต้นไม้กับเมล็ดพันธุ์มาด้วยนะ” พลอยรดาหลุดหัวเราะ
“แม่ไปคนเดียวเหรอคะ”
“ก็ไปกันหมดนั่นแหละ ทั้งแม่ คุณยาย แล้วก็พิม...รายสุดท้ายน่ะร้องอยากออกไปเปิดหูเปิดตา”
“คุณยายก็ไปด้วยเหรอคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ แม่ห้ามแล้วห้ามอีกแต่ก็ยังดึงดันจะไปดูด้วยตัวเอง เลยต้องตามใจเขาหน่อย” พลอยรดายิ้มแล้วตักข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะลุกไปล้างชามของตัวเอง
“พลอยไปก่อนนะคะแม่”
“จ้า”
“พี่เอ๊ะจ๋า”
เอ๊ะแทบจะพ่นน้ำที่เพิ่งยกขึ้นดื่มเมื่อได้ยินเสียงผู้ชายดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก
“พูดจาหวานหูเชียวนะไอ้เสือ” คณาธิปยิ้มแฉ่ง ชายหนุ่มเดินมาเกาะแขนผู้จัดการที่อยู่ในท่านั่งพิงหมอน
“ผมก็พูดกับพี่เอ๊ะจ๋าของผมแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วไง”
“เหรออออ” เอ๊ะลากเสียงยาว
“เนี่ย ผมมาถึงก่อนเวลานัดตั้งสิบนาทีแน่ะ”
“จ้าๆ”
“แล้วอาการพี่เป็นยังไงบ้างอะ เข้าเฝือกแบบนี้ก็ไม่มีใครดูแลผมแล้วสิ” คณาธิปพูดเสียงอ่อย แต่ในใจโลดแล่นไปไกลถึงฮาวาย ถ้าผู้จัดการเขาบาดเจ็บจนต้องรักษาตัวนานๆ เขาก็จะได้เป็นอิสระ ทำงานเสร็จก็แอบแวบไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ตามใจอยาก
“ใครบอกว่าไม่มี” คณาธิปเบิกตากว้าง ที่ผู้จัดการเขาพูดมันหมายความว่า...
“พี่จะมาดูแลผมในสภาพนี้เหรอพี่เอ๊ะ พี่ต้องรักษาตัวนะ ผมไม่อยากให้พี่เจ็บตัวเพิ่ม” คำพูดนั้นแฝงไปด้วยความเป็นห่วงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งแฝงความโอดครวญ เขาอยากได้อิสรภาพ สักสองสามวันก็ยังดี เขาอยากออกไปเที่ยวจะแย่ ที่ผ่านมาผู้จัดการเขาไม่ยอมปล่อยให้เขาเถลไถลได้เลย
“ใครบอกฉันจะดูแลแก”
“อ้าว”
“แกจะได้ผู้จัดการคนใหม่มาดูแลแกหกเดือน แล้วหลังจากนั้นถ้าขาฉันหายดีฉันก็จะกลับมาดูแลแกเหมือนเดิม”
“ไม่เอานะพี่เอ๊ะ!” คณาธิปร้องเสียงหลง เขาเขย่าแขนผู้จัดการตัวเองพร้อมกะพริบตาปริบๆขอความเห็นใจ
“ผมไม่อยากได้ผู้จัดการใหม่อ่า ไม่มีใครมาแทนที่พี่ได้หรอก ในระหว่างที่พี่รักษาตัวอยู่ผมสัญญาว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด”
“ดูแลด้วยการพาตัวเองไปเที่ยวเล่นตามใจชอบเหรอ?” คณาธิปสะดุ้ง เมื่อความในใจถูกอีกฝ่ายอ่านออกอย่างหมดจด
“พี่อย่ามองผมในแง่ร้ายสิ” คณาธิปยังมีความพยายามที่จะเอาชนะให้ได้รอบนี้
“ฉันมองแกในแง่ของความเป็นจริงต่างหาก คิดว่าฉันจะตามแกไม่ทันรึไงฮึ” คณาธิปยิ้มแหยๆ
“แต่ผมก็ไม่อยากได้ผู้จัดการใหม่อยู่ดีอ่า นะพี่เอ๊ะ น้า…ผมดูแลตัวเองได้จริงๆ” ชายหนุ่มโผเข้ากอดผู้จัดการของตัวเองพร้อมเอาหัวถูๆไหล่เหมือนแมวอ้อนเจ้าของไม่มีผิด
“ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงแกก็ต้องมีผู้จัดการชั่วคราว”
“พี่เอ๊ะอ่า เสือไม่อยากได้ผู้จัดการคนใหม่จริงๆนะ” ชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่อตัวเองเป็นการเพิ่มเลเวลความอ้อนเข้าไปอีก
“หรือแกจะให้ฉันดูแลแก?”
“ผมอยากให้พี่พักมากกว่า” คณาธิปผละตัวออกแล้วกะพริบตาส่งสายตาออดอ้อน
“ผมจะเป็นเด็กดี เพราะงั้นพี่ไม่ต้องห่วง”
“ถ้าแกเป็นเด็กดีของผู้จัดการชั่วคราว ฉันก็ไม่ห่วงแล้วล่ะเสือน้อย”
“พี่เอ๊ะอ่า!”
คณาธิปล่ะอยากจะลงไปนอนดิ้นบนพื้นให้อีกฝ่ายเห็นใจ แต่ดูจากนิสัยของผู้จัดการเขาแล้วนอกจากจะไม่เห็นใจ เผลอๆอีกฝ่ายอาจจะโทรไปยกเลิกละครของผู้กำกับชื่อดังทันทีเลยก็ได้
“เดี๋ยวผู้จัดการชั่วคราวแกก็จะมาถึงแล้ว อยู่รอเจอด้วยล่ะ”
“ไม่เอาอะ! ผมไม่เอาผู้จัดการชั่วคราวนะ!” คณาธิปดิ้นเฮือกสุดท้าย ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อยากได้ผู้จัดการชั่วคราว!
เอ๊ะถอนหายใจกับความดื้อของเด็กในความดูแล ดื้อยิ่งกว่าเด็กห้าขวบอีกมั้งเธอว่า
“ไอ้เสือ..”
“ไม่เอาไม่พูดกับพี่เอ๊ะแล้ว! ไม่อยากเจอผู้จัดการชั่วคราวด้วย! ผมกลับก่อนนะ ไว้จะมาเยี่ยมใหม่ครับ” คณาธิปตัดบท เขาต้องรีบชิ่งหนีก่อนที่ผู้จัดการชั่วคราวจะมา ไว้ค่อยหาหนทางไปคุยกับค่ายเรื่องผู้จัดการใหม่ทีหลังแล้วกัน
“เสือ!” คณาธิปกลับหลังหันวิ่งไปเปิดประตูเพื่อหนี ในจังหวะนั้นเองเขาก็ชนเข้ากับคนๆหนึ่งจนเซ ส่วนอีกฝ่ายนั้นเกาะขอบประตูไว้ได้ทันจึงไม่ล้มก้นจ้ำเบ้า
“เป็นเด็กหรือไง ถึงได้เที่ยววิ่งเล่นในโรงพยาบาลไปทั่ว!”
เจ้าของเสียงหวานใสตะคอกใส่หน้าดาราดังด้วยความหงุดหงิด เพราะถูกชนจนเกือบจะล้ม พลอยรดาจึงอดที่จะต่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้
“ผมไม่ใช่เด็..!” คณาธิปหันไปมองคนที่เขาชนหน้าประตูห้อง ปากกำลังจะโต้แย้งแต่พอเห็นหน้าอีกฝ่ายคณาธิปก็ชะงัก
ใบหน้าแบบนี้…
“โซ่...” คณาธิปพึมพำ