Episode-๐๙ เรื่องที่ต้องรู้

1438 Words
“ไง... คิดถึงแม่เหรอถึงมาหาได้น่ะ” แม่เอ่ยทักทายเมื่อเห็นหน้าผม “คงงั้นมั้งครับ” “แล้วน้องล่ะมาด้วยหรือเปล่า” “เปล่า” “อยู่คนเดียวเหงาแย่เลย ทำไมไม่พาน้องมาด้วย” “ไม่จำเป็น” “ภาม!” “ผมอยากรู้เรื่องของปันหยา” “...” “วันก่อนผมไปที่โรงเรียนมาแล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งหาเรื่องปันหยา” แม่นิ่งไปเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น ผมมั่นใจว่าแม่ต้องรู้ทุกอย่างแต่จะบอกผมมากน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง “ถ้าไม่บอกอะไรให้ผมรู้บ้างเลยงั้นแม่ก็เอาปันหยากลับไปเถอะครับ ข้อแลกเปลี่ยนของพ่อปันหยาบอกผมหมดแล้วและผมก็อยากบอกพ่อกับแม่เหมือนกันว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันผิดทั้งหมด ที่ผมเป็นแบบนี้เพราะทุกคนเอาแต่บังคับให้เป็นแบบนั้นให้เป็นแบบนี้ ทุกคนคาดหวังโดยที่ไม่สนว่าผมกำลังทำอะไรอยู่หรือว่าอยากทำอะไร” ตอนนี้เหมือนผมมากกว่าที่เป็นฝ่ายทำให้ปันหยาดีขึ้น “ขอโทษนะ แม่ไม่รู้ว่าลูกจะอึดอัดขนาดนี้” “ผมไม่ได้โกรธหรอกนะผมแค่อยากแสดงความคิดเห็นในมุมของผมบ้างเท่านั้นเอง” เข้าใจครับว่าพ่อแม่หวังดีกับเราแต่บางอย่างมันมากไปไง “กับปันหยาก็เหมือนกัน ผมถามจริง ๆ แม่คาดหวังอะไรอยู่เหรอ หวังให้เรารักกันหรือหวังให้ปันหยาหลุดพ้นจากวังวนความคิดตัวเอง” “พูดขนาดนี้ก็คงรู้เรื่องราวมาพอสมควรสินะ” “...” “แม่จะบอกให้ก็ได้... พวกเราเป็นเพื่อนรักกันและรู้มาตลอดว่าเขาทั้งคู่มีความสัมพันธ์ต่อกัน พ่อของปันหยามีครอบครัวอยู่ก่อนแล้วซึ่งแม่ของเธอเองก็รู้แต่ก็ยังยืนยันที่จะอยู่ตรงนั้น ความสัมพันธ์ผิด ๆ มันดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งนานก็ยิ่งผูกพัน ทั้งที่เราเป็นเพื่อนกันแต่แม่กลับไม่เคยเตือนเขาเลยแถมยังช่วยปิดบังอีกต่างหาก” “คำว่าเพื่อนมันสำคัญนะครับ ทำไมแม่ถึงทำแบบนั้น” สำหรับผมขึ้นชื่อว่าเพื่อนต้องเตือนกันได้ครับ ฟังหรือไม่ฟังก็อีกเรื่องหนึ่ง “เพราะแบบนี้ไงเราสองคนถึงอยากพยุงปันหยาให้ได้มากที่สุด เพราะความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ในวันนั้นที่ทำให้เด็กคนหนึ่งมีปมมาจนถึงทุกวันนี้! รู้แบบนี้แล้วแม่หวังว่าภามจะใจดีกับปันหยาบ้างนะ” “...” นี่สินะเหตุผลที่แท้จริง “ตอนแรกพ่อกับแม่ตั้งใจรับปันหยามาเป็นลูกบุญธรรมเองด้วยซ้ำ แต่พอคิด ๆ ดูแล้วอยู่ในความดูแลของภามน่าจะดีกว่า” “ทำไมถึงเป็นผม?” “เพราะน้องเลือกภาม และแม่ก็เชื่อว่าลูกจะดูแลน้องได้” ผมไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงมั่นใจว่าผมจะดูแลปันหยาได้ แต่เอาเถอะเห็นแก่ความรู้สึกผิดของพวกเขาผมจะยอมดูแลให้ก็ได้ “ส่วนเรื่องหมั้นอันนี้แม่ไม่รู้ ลูกคงต้องไปหาคำตอบจากพ่อเอาเอง” เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิดพ่อน่ะเหรอจะเลิกบังคับผม เหอะ! “ครับ งั้นผมกลับก่อนนะ ป่านนี้สาวน้อยของแม่หิวข้าวตายแล้วมั้งอะไรก็ทำไม่เป็นสักอย่าง” “อย่าดุน้องนักเลยค่อย ๆ สอนกัน” เห็นไหมครับเข้าข้างกันไปหมด อยู่คุยกับแม่ต่ออีกนิดหน่อยก็กลับครับ ก่อนเข้าห้องก็ได้ของกินติดไม้ติดมือมาด้วยวันนี้ขี้เกียจทำไง แกรก! “ปันหยา!!” “อื้อ... อย่าเพิ่งด่านะคะเดี๋ยวหยาจะรีบเก็บให้” ใบงานเกลื่อนห้องเลยครับแทบไม่มีที่ให้เดินอ่ะคิดดูเถอะ จะไม่เยอะได้ยังไงก็เธอเล่นค้นพื้นฐานใหม่ทั้งหมดตั้งแต่มัธยมต้นเลยครับ “อันนี้เป็นพื้นฐานมอต้นหยาทำความเข้าใจใหม่หมดแล้ว ส่วนอันนี้เป็นปรับพื้นฐานมอปลายค่ะ” เธอว่าพลางชี้ให้ดู “หยาจำแต่สูตรเอาไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า พี่ช่วยดูให้หน่อยสิคะ” โน้ตแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าผม จากกระดาษเป็นร้อยแผ่นเธอมีความสามารถสรุปออกมาได้ในแผ่นเดียวคิดดูเถอะครับแถมยังสรุปแต่ใจความสำคัญอีกด้วยนะ “อืม ใช้ได้ทั้งหมด” “เหลือเวลาอีกหนึ่งเทอมหยาน่าจะรั้งอันดับตัวเองขึ้นมาได้นิดหน่อย” “ความจริงเธอเป็นที่หนึ่งด้วยซ้ำ” “...” “ช่างเถอะ! ปรับตอนนี้ก็ยังทันอยู่” “ค่ะ” หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มเก็บเศษซากกระดาษที่รื้อออกมาครับ ไม่ต้องเดาเลยว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่... หลายวันผ่านไป ปันหยาเข้าสู่ฤดูกาลสอบปลายภาคแล้วครับ ถึงจะแค่เทอมแรกแต่มันก็สำคัญครับ หลายวันมานี้เจ้าตัวอ่านหนังสือหนักมาก วันนี้ก็เหมือนกัน “จะตีสองแล้วนะ” “พี่ไปนอนก่อนเลยเดี๋ยวหยาปิดไฟให้เอง” ปากพูดกับผมก็จริงแต่สายตาก็ยังคงจ้องมองตัวหนังสืออยู่ “นอนอะไรงานยังไม่เสร็จเหมือนกัน” “...” “พอแล้ว ไปนอนได้แล้ว” ผมว่าพลางเอื้อมมือไปปิดหนังสือ “ต้องไปสอบแต่เช้านะไม่นอนหรือไง” “อีกสองหน้าจะจบแล้วค่ะ” มีการต่อรองด้วยนะครับ ผมไม่ได้ขัดอะไรแต่นั่งมองเงียบ ๆ แทนจนกระทั่งอ่านจบ “พี่...” “ว่า?” “ฝันดีนะคะ” เป็นประโยคน่าเบื่อที่ผมได้ยินทุกคืนก็ว่าได้ครับ “ไปนอนได้แล้ว” “พี่ก็เหมือนกันนะ” “อืม” ถามว่าผมเลิกรำคาญเธอแล้วเหรอ? คำตอบก็คือยังครับ เพราะบางครั้งปันหยาก็จุกจิกน่ารำคาญเกินไป เช้าอีกวันผมมาส่งเธอที่โรงเรียนแต่ตัวผมเองไม่มีเรียนหรอกตั้งใจว่าจะกลับไปนอนต่อนั่นแหละ “สอบเสร็จแล้วโทรมานะ” “ค่ะ สวัสดีค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะลงจากรถและเข้าโรงเรียนไป ครืด... ครืด... พ่อสุดที่รักของผมเองครับ “คิดถึงผมหรือไง?” (ขนลุกฉิบหายใครเขาคิดถึงแก) “อ้าว แล้วพ่อโทรมาหาผมทำไมล่ะ” (หนูปันหยาอยู่ข้าง ๆ ไหม) “ไปโรงเรียนแล้วครับ ผมเพิ่งไปส่งเมื่อกี้เอง” (อ่อ... เข้ามาที่บ้านหน่อยสิ) “เป็นประโยคคำสั่งสินะ” (เออ! ให้ไว) แล้วก็วางสายไปเลยครับ ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะมาถึงเพราะรถค่อนข้างติดครับ แต่ดูเหมือนบ้านผมจะมีแขกนะ “...” “สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ทุกคนตามมารยาท “นั่งก่อนสิลูก วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ” แม่เอ่ย “ไม่มีครับ” “...” ทุกคนเงียบเหมือนกับว่าไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง “พ่อกับแม่อยากพูดอะไรกับผมหรือเปล่า?” “นี่อาปัญญา พ่อของหนูปันหยา” พ่อเอ่ยแนะนำคนข้าง ๆ ให้รู้จัก “ครับ” “ปันหยาเป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยถามผมครับ “ดีกว่าตอนแรกนิดหน่อยครับ ก็ยิ้มบ่อยขึ้น” ผมพูดไปตามความจริง อยู่ด้วยกันแรก ๆ ปันหยาพูดเก่งก็จริงแต่เธอไม่ยิ้มเลยครับ ที่ขยันถามขยันเซ้าซี้เพราะอยากชวนคุยมากกว่าผิดกับตอนนี้ที่ดูจะร่าเริงขึ้นมาหน่อย “อาฝากปันหยาด้วยนะ” “ฝากน่ะได้ครับ ผมดูแลเหมือนน้องสาวคนหนึ่งด้วยซ้ำแต่นั่นมันก็แค่ภายนอกเพราะบาดแผลในใจผมรักษาแทนใครไม่ได้หรอก” ผมไม่ได้ก้าวร้าวหรือเจตนาพูดเสียดสีคุณอานะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าเขารู้สึกผิดต่อปันหยาบ้างไหม เจ็บได้สักเสี้ยวหนึ่งของปันหยาหรือเปล่า... “เขาคงเกลียดอาไปแล้ว” “ผมไม่...” ครืด... ครืด... ยังพูดไม่ทันจบครับมือถือก็มีสายเข้าซะก่อน “ว่าไง” ผมรับสายแล้วเปิดลำโพงให้พ่อเธอได้ฟังน้ำเสียงลูกสาวตัวเอง (หยาลืมบัตรประจำตัวนักเรียนไว้ในรถค่ะ) “ปันหยา!” (ค่อยด่าตอนถึงห้องนะคะ ตอนนี้เอามาให้หยาก่อนอีกสิบห้านาทีจะเข้าห้องสอบแล้ว) “ไม่ต้องสอบแล้วมั้งศูนย์คะแนนไปเลย” (ไม่ได้นะคะงั้นที่อ่านหนังสือจนตาเหลือกก็ไม่มีประโยชน์สิ) “เฮ้อ...” (รอหน้าโรงเรียนนะคะ) แล้วก็วางสายไป “สนใจคำพูดผมบ้างก็ดีสิ” “ดูปันหยาเขาเชื่อใจนายนะ” “...” “รีบไปเถอะภามเดี๋ยงน้องเข้าห้องสอบไม่ทัน” แม่เอ่ย “ดี! ติดศูนย์ไปเลย” “ภาม!” ผมพูดไปอย่างนั้นแหละครับจะแกล้งอะไรเธอได้ก็ในเมื่อทุกคนพร้อมใจกันปกป้องขนาดนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD