“พ่อเล่นตลกอะไรกับผมเนี่ย” ผมโวยวายใส่คนตรงหน้ายกใหญ่เมื่อกลับมาถึงบ้าน “มัธยมยังเรียนไม่จบเลย”
“แล้วยังไง? แป๊บเดียวก็เรียนจบแล้วแกจะโวยวายทำไม มันก็เป็นไปตามข้อตกลงนี่ ฉันไม่บังคับแกแล้วไง อยากจะเรียนอะไร อยากจะทำอะไรตามใจเลยตามสบายไม่ห้ามสักอย่าง”
“พ่อ!” เหมือนก้าวเท้าเข้าห้องขังไปข้างหนึ่งเลยครับ “ไม่รู้แหละ ยังไงผมก็ไม่มีทางหมั้นตอนนี้แน่นอน”
“แล้วใครบอกว่าจะให้หมั้นตอนนี้?”
“...”
“ระหว่างนี้แกมีหน้าที่ดูแลน้อง”
“ดูแลยังไง?” ผมถามกลับแทบจะทันทีตั้งแต่เกิดดูแลแค่ตัวเองมาโดยตลอดเลยครับ “แล้วทำไมผมต้องดูแลด้วย”
“แกเป็นยังไงปันหยาก็เหมือนแกนั่นแหละ” จบประโยคพ่อก็เดินออกไปเลยแถมยังทิ้งปมปริศนาไว้ให้ผมอีก
หลายวันผ่านไป
“เรื่องเรียนเป็นยังไงบ้างลูก”
“ก็ดีครับ ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด” ผมว่าพลางมองหน้าแม่นิ่ง ๆ ปกติไม่ค่อยถามสักเท่าไหร่ วันนี้มาแปลกดูท่าทางคงมีอะไรอีกตามเคยสินะ
“ดีจัง...”
“แม่อยากพูดอะไรกับผมหรือเปล่า?”
“เรื่องหนูปันหยาน่ะ จริงหรือเปล่าที่ลูกรับข้อเสนอของพ่อ”
“พ่อต่างหากที่รับข้อเสนอของผม”
“คิดดี ๆ นะภาม”
“ผมคิดดีแล้วครับ กับปันหยาคงไม่มีปัญหาอะไรอยู่ด้วยกันไม่ได้เดี๋ยวก็แยกย้ายไปเองแหละ” ผมตอบกลับอย่างไม่คิดอะไรมากนักและไม่ได้ประชดด้วย คนไม่ได้รักกันจะอยู่ด้วยกันนานสักแค่ไหนกันเชียวเว้นแต่ว่ามีความอดทนและเหตุผลส่วนตัวแค่นั้นแหละ
“ถ้างั้นก็คิดซะว่าปันหยาเป็นน้องสาวของภามคนหนึ่งแล้วกันนะ” ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจเรื่องของปันหยานักหรอกครับ แต่พอได้ยินแม่พูดแบบนี้แล้วในใจมันก็เกิดคำถาม
“ผมรู้สึกเหมือนแม่กำลังสงสารปันหยาเลย มีอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า?”
“มี... แต่ภามไม่ต้องกังวลหรอกเพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูก”
“ในเมื่อไม่เกี่ยวแล้วทำไมผมต้องดูแลปันหยาด้วย”
“เพราะน้องเลือกภาม”
“...” ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งถามกลับยิ่งไม่ได้คำตอบ
“อ่อ! อีกสองวันลูกต้องย้ายไปอยู่กับน้องนะ เป็นคอนโดของเรานั่นแหละที่นั่นสะดวกสบายใกล้โรงเรียนน้องและยังใกล้มหาวิทยาลัยของภามอีกด้วย”
“แม่ว่าไงนะ?” ทุกอย่างเหมือนถูกวางไว้ทั้งหมดเลยครับ แค่รอเวลาที่ผมกับปันหยาเดินเข้ามาเท่านั้นเอง “ผมรู้นะว่ายังไงก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วแต่ทำไมมันเร็วแบบนี้ล่ะครับ”
“ช้าหรือเร็วก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดี ลูกเตรียมตัวให้พร้อมก็พอ จงระลึกไว้เสมอไม่ชอบหน้ากันยังไงก็ห้ามทำร้ายกันเด็ดขาด”
จบประโยคแม่ก็เดินจากไปทิ้งผมไว้ท่ามกลางความไม่เข้าใจอยู่แบบนั้น รู้สึกเหมือนชีวิตจะวุ่นวายมากกว่าเดิมซะอีก
สองวันต่อมา
และแล้ววันนี้ก็มาถึง ทุกอย่างมันกระชั้นชิดรวดเร็วไปหมดเลยครับดีที่มีสองห้องนอนไม่อย่างนั้นคงอึดอัดมากกว่านี้
“เก็บของเสร็จแล้วออกมาคุยกันหน่อยนะ”
“ค่ะ”
อย่างที่รู้ว่าผมเป็นพวกไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่กับปันหยารู้สึกว่าจะคุยกันง่ายครับ เธอดูเป็นคนเงียบ ๆ แต่ก็นั่นแหละไม่รู้ว่าจะเงียบนานแค่ไหน
“เอ่อ... พี่มีอะไรจะคุยกับหยาเหรอคะ”
“เลิกทำท่าทางตื่นกลัวใส่ฉันสักทีเหอะ เห็นแล้วรำคาญว่ะ” เห็นแล้วหงุดหงิดครับผมก็ไม่ได้น่ากลัวแบบนั้นไหม?
“ขอโทษ หยาแค่ทำตัวไม่ถูก”
“เงยหน้าด้วยเวลาพูดอ่ะ”
“คะ? ค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้ามองผม
“ทำไมถึงไม่ปฏิเสธ?”
“...”
“รู้ไหมว่าการอยู่กับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก ไม่ได้รู้สึกมันเจ็บปวดมากแค่ไหน? หรือว่าพ่อยื่นข้อเสนออะไรให้เหรอถึงได้เต็มใจมาอยู่ตรงนี้” ผมถามไปตามความคิดและมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้
“หยาไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วพี่ไม่ต้องห่วงนะคะ หยาจะไม่ทำให้พี่เดือดร้อน จะไม่วุ่นวายกับพี่ด้วย ถ้าพี่มีคนรักหรือมีคนในใจหยาก็จะไม่ก้าวก่ายเลย”
“มีเหตุก็ต้องมีผลแต่ในเมื่อไม่อยากบอกก็จะไม่ถามอีก” ผมไม่ชอบยุ่งกับใครก็รู้อยู่ “ห้ามพาคนอื่นเข้ามาที่นี่ จะไปไหนมาไหนต้องบอกทุกครั้งและข้อสุดท้ายห้ามทำอะไรเลอะเทอะหรือทำห้องรกเด็ดขาด!” ผมรักสะอาดครับ จะว่าเจ้าสำอางก็ได้แหละเห็นอะไรขวางหูขวางตาแล้วมันหงุดหงิดไปหมด
“ค่ะ”
“ถามจริง ๆ พ่อยื่นข้อเสนออะไรให้เธอ”
“ช่างมันเถอะค่ะ พี่คงไม่อยากรู้เรื่องราวของหยาหรอกเอาเป็นว่าหยาเต็มใจที่จะอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
“แต่ฉันไม่เต็มใจ!”
“งั้นพี่ก็ต้องจัดการความรู้สึกตัวเองค่ะ เพราะมันเป็นปัญหาของพี่ไม่ได้เป็นปัญหาของหยา”
“ต่อปากต่อคำเก่งเหมือนกันนี่”
“หยาเปล่า ก็แค่พูดไปตามความคิดเท่านั้นเอง”
“ช่างเถอะ! ข้อตกลงของเราก็มีเท่านี้แหละ”
“ค่ะ”
หลังจากพูดคุยกันจบเราก็แยกย้ายกันเข้าห้องครับ ผมอยู่ห้องใหญ่ส่วนปันหยาอยู่ห้องเล็ก
ก๊อก ๆ ๆ
“อะไรอีก”
“หิวค่ะ” น้ำเสียงใสเอ่ยพร้อมกับมองหน้าผมนิ่ง ๆ
“ในครัวมี อยากกินอะไรก็ทำเอาเลย”
“คือว่า... หยาทำไม่เป็น” ประโยคหลังเสียงแผ่วเบาเชียวครับ
“เฮ้อ...”
คำว่าดูแลของพ่อเนี่ยมันขนาดไหนกันนะ “ยังไม่ได้ซื้อของสดเข้ามา มีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินไปก่อนแล้วกัน”
“ค่ะ”
จากนั้นผมก็เดินนำมายันโซนห้องครัว “นั่งรอตรงนี้”
เธอไม่ได้ตอบอะไรแค่พยักหน้ารับเท่านั้นเอง รู้สึกเหมือนกำลังประคบประหงมเด็กน้อยเลยครับ โน่นก็ทำไม่เป็น นี่ก็ทำไม่ได้ ...
“พี่ไม่กินด้วยกันเหรอคะ” เธอเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผมเอามาแค่ถ้วยเดียว
“ไม่ล่ะ ตามสบาย เสร็จแล้วเรียกนะเราจะไปซื้อของกัน” ผมว่าพลางนั่งรอที่โซฟาพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเพื่อค่าเวลา
“ค่ะ”
หยาเป็นผู้หญิงที่ทำอะไรช้ามากครับ แค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยเดียวใช้เวลาเกือบชั่วโมง เห็นแล้วโคตรหงุดหงิดอะไรจะเชื่องช้าขนาดนี้
“บอกไว้ก่อนเลยนะถ้าตอนเช้าไปเรียนแล้วช้าแบบนี้จะให้ไปเอง” ผมไม่ได้ขู่ครับ ผมพูดจริง
“จะพยายามปรับตัวให้ได้นะคะ”
“คิดได้แบบนี้ก็ดี”
มาถึงห้างสรรพสินค้าผมก็ตรงไปยันโซนของสดทันที แต่รู้สึกว่าคนที่มาด้วยจะไม่ค่อยอยากเดินตามสักเท่าไหร่
ผลัก!
“อ๊ะ! ขอโทษค่ะ”
“มองทางบ้างเวลาเดินน่ะ เหม่ออะไรอยู่”
“อยากได้อันนั้น” เธอว่าพลางชี้มือไปที่หมอนรูปการ์ตูนชื่อดังครับ “มันกำลังลดราคา”
“อยากได้อะไรก็หยิบมา”
“พี่พูดจริงนะ?”
“อืม”
“ขอบคุณค่ะ” ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินไปเลือกมา
ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองมีภาระมากกว่าน้องสาวอีกครับ ที่ยอมทำตามอย่างว่าง่ายเพราะมันอยู่ในข้อตกลงของพ่อต่างหากล่ะ ...