สามวันแรกเป็นอะไรที่ยากลำบากมากสำหรับผม ต้องใช้คำนี้แหละถึงจะเหมาะ ปันหยาทำอะไรไม่เป็นเลยครับแม้กระทั่งหุงข้าว...
“รอให้น้ำมันร้อนแล้วค่อยเทไข่ลงไปนะ”
“อ้าว! ไม่ทันแล้วค่ะ” เธอว่าพลางหันมายิ้มแหย ๆ ให้ผม
“ไม่เป็นไรมันก็ใช้ได้เหมือนกันแต่จำไว้ทำอะไรก็ตามควรจะให้กระทะมีความร้อนก่อน”
“ค่ะ”
ใช่ครับ! ตอนนี้ผมกำลังสอนเด็กซื่อบื้อทอดไข่ดาวอยู่ความจริงก็อยากจะดุด่าว่าออกไปนะ แต่พอนึกถึงตอนที่ตัวเองทำครั้งแรกแล้วสภาพก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่เลย ทุกคนต้องมีครั้งแรกเสมอผมคิดแบบนั้นเลยเก็บความหงุดหงิดของตัวเองไว้ในใจแล้วเงียบปากแทน
“อ๊ะ!” ถึงกับสะดุ้งครับเมื่อน้ำมันกระเด็นใส่มือ
“เบาแก๊สหน่อย”
“ตอนพี่ทำไม่เห็นน้ำมันจะกระเด็นใส่แบบนี้เลย”
“ทำบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง”
“ทำไมอีกด้านหนึ่งสีมันเหมือนจะไหม้เลยล่ะคะ”
“ไม่เหมือน แต่มันไหม้เลยแหละ ทิ้ง! ทำใหม่”
“...”
ฟองที่หนึ่ง...สอง...และสามครับกว่าจะได้อย่างที่ใจต้องการ ผมไม่ได้แกล้งนะแค่อยากสอนให้ทำได้จริง ๆ อย่างอื่นทำไม่เป็นช่างมันก่อนแต่ไข่เจียวไข่ดาวมันเป็นพื้นฐานไงมันง่ายสุดแล้วและเชื่อว่าใครหลาย ๆ คนก็คงเริ่มต้นทำอาหารจากไข่นี่แหละที่เป็นเมนูแรก
“อย่าลืมปิดแก๊สทุกครั้งที่ทำอาหารนะ ข้อนี้สำคัญมากห้ามลืม!”
“ค่ะ”
ที่บอกว่ามีภาระเพิ่มนี่ไม่ได้พูดเล่นเลยนะ
“ฉันจะไปข้างนอกนอนก่อนเลยไม่ต้องรอและห้ามออกไปไหนด้วย”
“พี่จะกลับไหมคะหรือจะค้างที่อื่น”
“ที่อื่นมีให้ค้างด้วยเหรอ ถามโง่ ๆ” จบประโยคผมก็แยกตัวเข้ามาในห้องเพื่ออาบน้ำแต่งตัวครับ วันนี้มีนัดกับไอ้แนน
“อย่าลืมที่บอกนะ ห้ามออกไปไหนมันมืดแล้ว”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
มีอีกหลายเรื่องราวครับที่ผมอยากรู้และคนที่จะตอบผมได้มากที่สุดก็คือปันหยานั่นแหละ ตั้งแต่ที่ย้ายมาวันแรกผมไม่เห็นพ่อหรือแม่ของเธอเลยแม้แต่เงา มันน่าแปลกไหมล่ะครับนี่ลูกทั้งคนเชียวนะ แต่ช่างเถอะ! เก็บความสงสัยนี้เอาไว้ก่อนแล้วกันผมมั่นใจว่าที่พ่อบังคับเรื่องหมั้นและยัดเยียดปันหยามาให้ผมดูแลเจตนาจริง ๆ ของเขาไม่ได้มุ่งหวังให้เป็นสามีภรรยากันแน่นอนแต่มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่ยอมบอกผมมากกว่า
“ทำหน้าอย่างส้นตีน” ไอ้แนนเอ่ยเมื่อผมมาถึง
“ไม่รู้ว่ะ อธิบายไม่ถูกเลยว่าต้องรู้สึกยังไง”
“แม่มึงว่าไงล่ะ”
“เขาบอกให้คิดซะว่าปันหยาเป็นน้องสาวคนหนึ่งและยังออกคำสั่งให้กูดูแลให้ดีที่สุดอีกด้วย”
“สาวน้อยของกูอ่ะนะ”
“เออ!”
“ฮ่า ๆ ตอนนี้ยังเด็กไงเป็นน้องสาวไปก่อนโตอีกหน่อยค่อยว่ากัน”
“เพ้อเจ้อ!”
“จำคำกูไว้เหอะภาม ถ้าผิดจากที่กูพูดนะกูยอมเป็นหมาเลย”
“งั้นมึงก็คงต้องเตรียมตัวเป็นหมารอ”
“คิกคิก จะคอยดู”
แค่ไม่นานน้ำตาลก็มาครับ เราสังสรรค์กันตามประสาเพื่อนนั่นแหละ หยิบเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยก่อนจะวนมาที่เรื่องผมอีกครั้ง
“ภาม ไอ้ความรู้สึกผู้ชายชอบผู้ชายด้วยกันมันเป็นยังไงเหรอ” คำถามของน้ำตาลทำเอาผมเงียบไปหลายวินาที
“ก็คงไม่ต่างจากผู้หญิงกับผู้ชายล่ะมั้ง”
“เหรอ... แต่ทำไมเรารู้สึกว่าภามเจ็บปวดจัง”
“...”
“อย่าหาว่าเสียมารยาทเลยนะ เราสังเกตหลายครั้งแล้วภามชอบเหม่อเหมือนมีเรื่องให้คิดตลอดเลยอ่ะ ตั้งแต่ที่เรารู้จักกันวันแรกจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่”
“ก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรนะ เฉย ๆ ด้วยซ้ำแต่เราคงชอบเหม่อไปเองมั้ง”
ผมตอบไปตามความจริงครับ ถามว่าเจ็บปวดหรือเปล่าก็ไม่นะ อาจจะมีบ้างที่คิดมากและรู้สึกน้อยใจที่อยู่ ๆ มันก็ตีตัวออกห่างแต่ว่านั่นมันก็ผ่านไปเป็นปีแล้ว ตอนนี้ตอบได้เต็มปากว่าเฉย ๆ ครับรวมไปถึงกับปันหยาก็ด้วย
“ช่างเถอะ ๆ ขอโทษนะที่ถามอะไรแปลก ๆ เราคงจะดื่มเยอะไป” ตาลมันว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นมาดื่ม
อยู่สังสรรค์จนดึกก็แยกย้ายกันกลับครับ น้ำตาลแฟนมันมารับส่วนผมมาส่งไอ้แนน กว่าจะถึงห้องก็ปาไปตีหนึ่งแล้ว
แกรก!
“ทำไมยังไม่นอนอีกพรุ่งนี้ไม่ไปเรียนหรือไง” ผมเอ่ยถามคนตรงหน้าที่กำลังนั่งจดจ่ออยู่กับกองหนังสือครับ
“สอบวันเว้นวันค่ะ แต่หน้านี้หยาทำไม่ได้” เธอว่าพลางยื่นหนังสือมาให้ผมพร้อมกับใบงาน
“ผิดทั้งหมดที่ทำมา แทนค่าผิดคำตอบไม่ต้องพูดถึง”
“...”
“พรุ่งนี้จะสอนให้แต่ตอนนี้ไปนอนได้แล้ว”
“พี่ไม่มีเรียนเหรอคะ”
“มีช่วงบ่าย อย่ามัวแต่พูดมากเอาของไปเก็บได้แล้ว”
“ค่ะ”
กว่าจะหยิบนั่นจับนี่ช้ามากครับผมต้องช่วยเก็บอ่ะไม่งั้นคงไม่ได้นอน
“คราวหน้าอย่ารื้ออะไรเยอะแยะแบบนี้อีกนะ”
“ค่ะ”
“ค่ะ! ค่ะ!! ค่ะ!!! พูดเป็นอยู่คำเดียวหรือไง”
“...”
“เฮ้อ... ไปนอนเหอะ”
“ฝันดีนะคะ” จบประโยคก็เดินผ่านหน้าผมเข้าห้องไป
“...” คราวนี้กลายเป็นผมที่เงียบซะเอง มันรู้สึกแปลกใหม่ครับที่ได้ยินอะไรแบบนี้ ...
เช้าอีกวันตื่นขึ้นมาก็สายแล้วครับเพราะเมื่อคืนนอนดึก ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาก็เห็นปันหยานั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับใบงานปึกหนา
“หิว..”
“แล้วทำไมไม่หาอะไรกินอ่ะ ถ้าฉันไม่อยู่เธอจะนั่งอดตายอยู่ตรงนี้ใช่ไหม?” ผมว่าพลางมองหน้าเธอนิ่ง ๆ “นอกจากจะทำอะไรไม่เป็นแล้วเธอยังไม่รู้จักเอาตัวรอดอีกด้วย”
“...”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ยิ่งกว่าเลี้ยงเด็กอีกครับ ปันหยาเหมือนจะไม่รู้วิธีการใช้ชีวิตเลยด้วยซ้ำ ต้องคอยบอกคอยสอนอยู่ตลอดเธอถึงจะทำได้
เข้ามาในครัวก็ต้องหัวร้อนอีกครับเมื่อเปิดหม้อข้าวดูแล้วเห็นว่ามันไม่สุก คงจะใส่ปริมาณน้ำกับข้าวไม่พอดีกัน
“สอนกี่รอบแล้วว่าใส่น้ำแค่นี้”
“ขอโทษ หยาก็แค่อยากลองทำด้วยตัวเองบ้าง”
“แล้วทำไมไม่จำที่บอกล่ะ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหมก็ควรจะถามก่อนนะแล้วดูผลลัพธ์ที่ออกมาสิ นอกจากจะกินไม่ได้แล้วยังเสียของอีกด้วย ถามจริงอยู่บ้านเป็นคุณหนูตื่นมาก็มีของกินวางตรงหน้าเลยเหรอถึงทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง!!” ผมตวาดออกไปเสียงดังลั่น หงุดหงิดครับ ดูท่าทางแล้วคงจะอยู่ร่วมกันยาก
“หยาพยายามทำให้มันดีแล้วแต่มันได้แค่นี้นี่คะ แล้วที่พี่พูดเมื่อกี้มันผิดทั้งหมด นอกจากจะไม่ใช่ลูกคุณหนูแล้วหยายังเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ต้องการอีกด้วย!! ก็ไม่เคยมีใครสอน ไม่เคยมีใครให้ความสำคัญแล้วมันแปลกอะไรที่หยาจะทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง อ๋อ...พี่พูดถูกอย่างหนึ่งค่ะ หยาเอาตัวไม่รอดจริง ๆ นั่นแหละ” เธอร่ายประโยคยาว ๆ ออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ตอนนี้
“เงียบ! อย่าร้องให้เห็นนะ” ได้ยินแบบนั้นก็รีบเช็ดน้ำตาทันทีเลยครับ “ไปล้างมือเดี๋ยวจะสอนทำใหม่”
“ค่ะ”
จากที่ฟังเธอพูดก่อนหน้านี้จับใจความได้ว่าครอบครัวมีปัญหาครับ แต่ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร มันคงจะหนักพอสมควรถึงขนาดไม่สนใจเลย แม้กระทั่งรู้จักช่วยเหลือตัวเองยังไม่สอนให้เรียนรู้เลยครับ ผมจะกลายเป็นพี่ชายเต็มตัวก็คราวนี้แหละ