วันเวลายังคงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราสามคนสนิทกันมากขึ้นครับ กับไอ้แนนนี่แมน ๆ ใส่กันได้เลยแต่น้ำตาลคงเป็นข้อยกเว้น
“แป๊บเดียวจะจบปีสองแล้วอ่ะ ไวเนอะ” น้ำตาลเอ่ย
“ก็ดีแล้วไงที่เรียนจบ”
“ก็ใช่... แต่แหมมันเร็วไปหน่อย” มีการบ่นด้วยครับ
“อย่ามัวแต่บ่นอยู่ ผู้ชายมารอรับแล้วน่ะ”
“อย่าแซวดิ งั้นเราไปก่อนนะ”
“เออ เจอกัน”
“โอเค”
คล้อยหลังน้ำตาลผมก็กลับบ้านตามปกติ ที่ผิดปกติคือไอ้แนนหายครับ ไม่มาเรียนสองวันแล้วไม่รู้ว่าแอบไปเที่ยวกับผู้ชายที่ไหนหรือเปล่า แค่เพียงไม่นานก็ถึงบ้านแล้วครับ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถจอดอยู่หลายคัน แต่ช่างเถอะคงจะเป็นแขกของพ่ออีกตามเคยล่ะมั้งขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดไว้แล้วกัน
“ภามมาพอดีเลย แม่จะแนะนำให้รู้จักนะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่พยายามหาคนนั้นคนนี้มาให้ผมได้รู้จัก และทุกครั้งผมก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายปฏิเสธเสมอ
“ผมมีธุระต้องไปทำต่อขอโทษด้วย” จบประโยคก็เดินเลี่ยงขึ้นชั้นบนไปโดยไม่สนใจว่าแม่หรือใครจะทำหน้ายังไง ผมสนแค่ตัวเองมากกว่า
นานนับชั่วโมงที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องจนกระทั่งบานประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าเรียบเฉยที่คุ้นเคย
“บางทีฉันอาจจะต้องคุยกับแกอย่างจริงจังสักครั้งนะ”
“พ่อจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ฉันตั้งใจมีแกเพราะอยากได้ลูกชาย ลูกชายที่เป็นผู้ชายจริง ๆ น่ะ”
“...”
“จะมองว่าใจแคบก็ได้ ถ้าให้พูดกันตามตรงฉันใจไม่กว้างพอที่จะยอมรับมัน”
“พ่อหมายถึงอะไร?”
“แกรู้อยู่แก่ใจ”
“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ”
“แกชอบผู้ชายใช่ไหม?”
“ผมเปล่า” ผมตอบกลับแทบจะทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะเงียบหรือไม่มีคำตอบให้ก็ได้ครับ “ผมไม่รู้หรอกว่าพ่อรู้อะไรมาบ้าง ผมยอมรับว่าเคยรู้สึกดีกับคนคนหนึ่ง แต่นั่นมันก็ผ่านมาแล้ว มันก็แค่เคย”
“ภาม... พ่อจะไม่ถามว่าเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง แต่ในเมื่อแกใช้คำว่าแค่เคยพ่อจะถือว่าภามกลับตัวกลับใจเปลี่ยนความรู้สึกตัวเองได้แล้วนะ” พ่อก็คือพ่ออยู่วันยันค่ำนั่นแหละ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เคยเข้าใจ
“นี่สินะ คือเหตุผลที่พ่อกับแม่พาใครต่อใครมาวุ่นวายกับชีวิตผม”
“ใช่ แต่ไม่ทั้งหมด”
“...”
“และเตรียมตัวให้ดีด้วยพรุ่งนี้แกต้องไปเจอใครคนหนึ่ง ห้ามปฏิเสธ!”
“ได้! แต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยน”
“อะไร?”
“ผมจะเลือกคนที่พ่อหาให้ แต่พ่อต้องเลิกบังคับผม”
“...”
“ผมอยากทำอะไรด้วยตัวเองโดยที่พ่อกับแม่ไม่ต้องคอยชี้นำว่ามันดีหรือไม่ดี อยากใช้ชีวิตบนเส้นทางที่ตัวเองเลือกเองแม้ว่ามันจะแย่หรือผลลัพธ์ของมันจะออกมาไม่ดีก็ตาม ผมขอแค่นี้พ่อให้ผมได้ไหม?”
เรื่องคู่ชีวิตช่างมันก่อนครับ มันคงไม่เป็นปัญหากับผมนักหรอก แต่เรื่องงานเรื่องเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับแบบแผนชีวิตมันสำคัญครับ
“ในเมื่อกล้าขอ ฉันก็กล้าให้แต่แกต้องหมั้นกับหนูปันหยา”
“พ่อจะให้ผมหมั้นกับใครนะ?”
“หนูปันหยาลูกสาวของเพื่อนพ่อเอง”
“แต่พ่อครับ!”
“ไม่มีแต่!! ถ้าแกบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ชอบผู้ชายจริง ๆ ก็หมั้นสิทำไมต้องอิดออดด้วย ฉันอุตส่าห์รับข้อแลกเปลี่ยนของแกแล้วไง”
“หน้าตาเป็นยังไงยังไม่รู้เลย จู่ ๆ ก็ให้หมั้นกันมันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ นิสัยใจคอเขาเป็นยังไงผมไม่รู้ด้วยซ้ำ”
“คำพูดฉันถือเป็นคำขาด และพรุ่งนี้ก็ไปตามนัดด้วยไอ้ลูกชาย” พลางตบบ่าผมสองครั้งแล้วเดินจากไป
รู้สึกเหมือนคิดผิดเลยครับที่ยื่นข้อเสนอไปแบบนั้น จากตอนแรกที่คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรตอนนี้ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ หมั้นทั้งที่ยังไม่เคยเจอหน้ากัน บ้าไปแล้ว...
เช้าอีกวันผมก็มาเรียนเหมือนเดิมและเย็นวันนี้ก็มีนัดด้วยครับ ไม่อยากไปคนเดียวคงต้องพึ่งไอ้แนนอีกตามเคย
“ไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ” ผมเอ่ยบอกมันที่กำลังเล่นเกมส์ในมือถืออยู่
“ไปไหน”
“พ่อจะให้ไปเจอใครบางคนน่ะ ไปเป็นไม้กันหมาให้หน่อย”
“ครั้งนี้ถ้ามึงไม่บอกอะไรให้กูรู้บ้างเลยกูจะเลิกช่วยจริง ๆ ละ”
“เฮ้อ... กูไม่รู้จะเริ่มยังไง” ผมตอบไปตามความจริง
“โอเค กูตั้งคำถามเองแล้วกัน”
“...”
“มึงยังชอบผู้ชายอยู่ไหม?”
“...”
“ภาม ถ้ามึงไม่พูดอะไรออกมาเลยกูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยมึงได้ประมาณไหน”
“ที่กูเคยบอกว่าชอบอ่ะ กูไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
“อะไรวะ กูงงนะเนี่ยก็ตอนนั้นมึงบอกกูกับไอ้ตาลว่ามึงชอบผู้ชายไง”
“ใช่! แต่ไม่ได้ชอบทุกคนไง กูแค่รู้สึกว่าตัวเองพิเศษกับใครคนหนึ่งเท่านั้นเอง และใครที่ว่าเนี่ยมันก็เป็นเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่มัธยม กูไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรเรียกว่าอะไรและมีแค่มันที่ทำให้กูรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดูแล ถูกเอาใจใส่ อยู่กับมันแล้วกูสบายใจอ่ะแต่กูไม่เคยแสดงตัวหรือสารภาพอะไรกับมันเลยนะ ภายนอกก็เพื่อนกันแมน ๆ นี่แหละ เพียงแต่ว่าความรู้สึกบางอย่างมันต่างออกไปเท่านั้นเอง” ผมเล่าความรู้สึกของตัวเองให้ไอ้แนนได้ฟังไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเข้าใจไหม
“ที่กล่าวมาทั้งหมดเนี่ยเป็นเพราะมึงไม่เคยได้รับความรู้สึกแบบนี้จากใครเลยใช่ไหม?”
“...”
“กูไม่ได้เข้าใจมึงอย่างสุดซึ้งอะไรหรอกนะ แต่กูเองก็เป็นเหมือนกันแถมยังต้องแบกหน้ายิ้มตลอดเวลาอีกด้วย บางครั้งกูก็อยากพึ่งพาใครสักคนชนิดที่ว่าหันไปเจอเขาแล้วกูสบายใจขึ้นมาทันทีเลยอ่ะ”
“แต่มีอย่างหนึ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้”
“อะไร?”
“ความรู้สึกจริง ๆ ของกูไง ตอนอยู่ใกล้กันมันก็ดีแต่พอห่างกันกูกลับรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้คิดถึง ไม่ได้โหยหา ส่วนเรื่องที่พ่อกูพาลูกสาวชาวบ้านมาทำความรู้จักเนี่ยกูก็ไม่ได้อะไรนะ สวย น่ารัก แต่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไง กูเลยไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ จะว่าสับสนก็คงไม่ใช่หรอก” ผมพูดจริงครับ มันเฉย ๆ หรือเป็นเพราะผมไม่คิดจะสนใจด้วยมั้ง
“กูไม่รู้จะอธิบายยังไงให้มึงเข้าใจเอาเป็นว่าวันหนึ่งถ้ามึงเจอใครสักคนที่ใส่ใจมึงทุกอย่าง วันนั้นมึงจะได้คำตอบเอง”
“...”
เลิกเรียนผมก็มาตามนัดเลยครับเป็นร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่ง
“พี่...” น้ำเสียงใสเอ่ยพร้อมกับหยุดยืนตรงหน้าผม
“น่ารักว่ะ” ไอ้แนนกระซิบบอก น่ารักจริงครับไม่เถียง
“อยู่มอปลาย?” ผมว่าพลางไล่สายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า... พ่อนะพ่อ ทำกันได้ลงคอ
“ค่ะ คุณลุงให้หยามารอพี่ที่นี่หยาก็เลย...”
“ซื่อบื้อ! ใครสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามไปซะหมด”
“...”
“อยู่มออะไร?”
“มอหกค่ะ”
“แล้วรู้ไหมว่าผู้ใหญ่นัดให้เรามาเจอกันเพื่ออะไร?”
“รู้ค่ะ” ตอบเสียงดังฟังชัดเลยครับ
“แล้วรู้ไหมว่าเราต้องหมั้นกัน”
“ระ รู้ค่ะ”
“เต็มใจมาสินะ”
“...”
ผมไม่รู้เลยว่าพ่อกำลังล้อเล่นอะไรอยู่หรือเปล่า เธอยังอยู่มัธยมอยู่เลยครับ สิบแปดหรือยังก็ไม่รู้แล้วดูสิจะให้ผมหมั้น ให้ตายเหอะ!