หลอกลวง

1368 Words
ออกจากท้องพระโรงมาได้ เจ้าวรรศก็รีบกลับมาหารือกับการิตยังตำหนักที่ทางสราลีตระเตรียมให้พำนักทันใด ออกปากไล่บรรดาข้าราชบริพารออกไป สั่งห้ามให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาด้วยเกรงว่าจะได้ยินสิ่งที่พูดคุย เมื่อบานทวารปิดสนิท หน้าต่างไร้ช่องให้เสียงใดๆ เล็ดลอด เจ้าวรรศก็รีบโพล่งขึ้นทันที “พ่อยักษ์น้อยรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไรกันลุง” การิตที่นั่งประนมมือไว้หว่างอก นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องล่างเหลือบมององค์ยุพราชที่บัดนี้มีสีหน้าตระหนกระคนเคร่งเครียดแล้วถอนหายใจออกมา “ตั้งแต่วันแรกที่องค์วรรศเสด็จออกจากปรมะเลยพ่ะย่ะค่ะ” “ตายโหง” เจ้าวรรศถึงกับหลุดปากอุทานหยาบคาย ตั้งสติได้ก็ถามอีก “เป็นเช่นนั้นแล้ว พ่อยักษ์ใหญ่ไม่ถูกโกรธแย่เลยรึ” “กระหม่อมได้ยินว่าจนถึงบัดนี้ องค์ไอศูรย์ก็ยังมิอาจเข้าไปบรรทมที่ตำหนักหลวงได้พ่ะย่ะค่ะ” ตอบไม่ตรงกับคำถาม แต่ช่างชัดเจนเสียเหลือเกินว่าแผนการชั่วของไอศูรย์นั้นทำให้วิรัลย์โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ถึงขั้นขับไล่ออกจากตำหนัก ไม่ยอมให้นอนร่วมเรียงเคียงหมอนด้วย นี่เขากำลังจะกลายเป็นยักษ์บ้านแตกสาแหรกขาดอย่างนั้นรึ? “แล้วเจ้าศวรรย์ล่ะ” แม้จะหมั่นไส้อนุชาฝาแฝดเพียงใด ทว่าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ก่อนจะขนลุกชันเมื่อได้ยินคำตอบ “องค์ศวรรย์ทรงถูกองค์วิรัลย์ส่งไปอบรมที่เวรุฬาแล้วพ่ะย่ะค่ะ จนกว่าจะครบสามเดือนถึงจะได้กลับมายังปรมะนคร” ถึงกับถูกส่งเข้าพนาวัน ขึ้นเขาขึ้นดอยไปอยู่อย่างทุรกันดาร พ่อยักษ์น้อยโกรธยกครัวเลยนี่นา! “เหลือแต่ข้าแล้วกระมังที่ยังไม่ถูกเชือด” เจ้าวรรศคราง การิตพยักหน้าหงึกหงักตามให้ได้ขนลุกซู่ แต่เมื่อคิดทบทวนดูดีๆ แล้ว จะโกรธเกรี้ยวอย่างใดก็ตามแต่ นั่นหาได้สำคัญ เพราะไม่ว่าอย่างไรไอศูรย์จะต้องหาทางง้องอนวิรัลย์จนได้ เจ้าศวรรย์ที่ถูกส่งไปยังเวรุฬาเองก็หาได้ลำบาก เพราะที่นั่นก็เป็นบ้านเกิดเมืองนอนแต่ก่อนของวิรัลย์ มีพระญาติอยู่รั้งราชบัลลังก์ คงจะได้รับการต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แต่ที่น่าพรั่นพรึงกว่านั้นก็คือ... “แล้วพ่อยักษ์น้อยได้มีคำสั่งใดบ้างหรือไม่ เช่นให้มาลากคอข้ากลับไปอะไรเทือกนั้น” ...ห่วงก็แต่ชะตากรรมของตนเองนี่แหละ! การิตส่ายหน้าพรืด รีบทูลให้คลายความกังวลออกมา “องค์วิรัลย์หาได้ตรัสสั่งสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นก็หมายความว่าข้ารอด?” “กระหม่อมแลเห็นว่าที่องค์วิรัลย์ทรงไม่เร่งร้อนตามองค์วรรศกลับ คงเป็นเพราะไว้หน้าสราลีและปรมะ การลงโทษคงจะเป็นหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ” คำพูดของการิตหาได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย! เจ้าวรรศชักสีหน้า ไม่พอใจกับคำตอบของทหารเอกคู่กายบิดาเท่าไรนัก แต่ก็ต้องยอมจำนนกับข้อเท็จจริงนั้น ลุกพรวดพราดขึ้น ยีเส้นผมยาวสลวยของตนเสียจนยุ่งเหยิง “โอ๊ย แล้วข้าจะทำกระไรดี กลับไปต้องไม่เหลือซากแน่ รู้เช่นนี้แล้ว ข้าไม่น่าสวมรอยมาเป็นเจ้าศวรรย์เลย!” เผลอพลั้งแผดเสียงโวยวายออกไป การิตรีบปรามให้เบาเสียงลงทันใด “อย่าทรงเอะอะโวยวายไปสิพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้ยังพอมีหนทางแก้ไขได้” “ลุงมีแผนรึ” จะบอกว่าไม่มีก็เกรงว่าผู้เป็นนายจะใจฝ่อ การิตจึงได้แต่พยักหน้ารับไปประหนึ่งหลอกยักษ์เด็ก “จะว่ามีก็ได้ องค์วรรศทรงพระทัยเย็นก่อนเถิด ลงประทับตามเดิมแล้วมาหาหนทางแก้ไขกันพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าวรรศไม่โต้เถียงใด ในเพลาเช่นนี้ เขาต้องพึ่งการิตแล้ว เพราะต่อให้เจ้าเล่ห์เพทุบาย เอาตัวรอดได้เก่งกาจเพียงใด แต่เมื่อถูกวิรัลย์โกรธเคืองแล้วไซร้...ตายสถานเดียว ในขณะเดียวกัน องค์นวินซึ่งถูกพระราชบิดาบังคับให้เกี้ยวพาราสีจนกว่าโอรสแห่งกษัตริย์ปรมะจะมีจิตปฏิพัทธ์ด้วย ได้ยินคำสนทนาของสองอาคันตุกะจากแดนไกลเต็มสองรูหูเพราะเขาตั้งใจที่จะมาขอโทษขอโพยอีกฝ่ายที่ทางสราลีได้ไปหลอกลวงไว้ ครั้นเห็นเหล่าข้าราชบริพารออกมานอกตำหนักก็หาได้ใส่ใจ คิดเอาเองว่าอาคันตุกะคงจะโกรธเคืองจนมิอาจทนมองหน้าคนของสราลีได้เขาจึงไม่ให้ผู้ใดเข้าไปกราบทูลว่าตนมา ถือวิสาสะพรวดพราดเข้ามาเองเลย หากจะโกรธมากกว่าเดิมแล้วก็จงโกรธไป เพราะอย่างไรเสีย เขาก็จะขอให้อีกฝ่ายให้อภัยจนได้ แต่...ไม่ยักคิดว่าจะมาได้ยินเรื่องที่ไม่สมควรได้ยินเช่นนี้ เนื้อตัวสั่นเทา ริมฝีปากเองก็สั่นระริก ลำคอแห้งผากราวกับมีเศษผงติดอยู่ ก้อนเนื้อในอกซ้ายก็เต้นระส่ำดุจดั่งกลองศึก ยะ...ยักษ์ตนนั้นหาใช่องค์ศวรรย์ หากแต่เป็นองค์วรรศ แฝดยักษ์ผู้พี่! ทั้งที่อุตส่าห์หลีกเลี่ยงแล้วแท้ๆ ด้วยชื่อเสียงของแฝดผู้พี่นั้นเป็นที่เลื่องลือกันว่านอกจากจะเป็นองค์ยุพราชแล้ว ยังมีนิสัยร้ายกาจ กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ปวดเศียรเวียนเกล้าไปทั่ว เรียกได้ว่าเป็นองค์ยุพราชที่หาได้วางตัวเหมาะสมเลยแม้แต่น้อย บัดนี้มิแปลกใจแล้วว่าเหตุใดถึงได้มีอุปนิสัยกักขฬะถึงเพียงนี้ ต้องรีบนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเสด็จพ่อ... องค์นวินคิดแต่เพียงเท่านั้น เฮอะ! ทำเป็นกล่าวหาว่าสราลีหลอกลวง ปรมะเองก็หลอกลวงไม่แพ้กันนั่นล่ะ! องค์นวินรีบหมุนตัวกลับ หมายจะออกจากนอกตำหนักแล้วรีบไปเข้าเฝ้าพระราชบิดาโดยพลัน หากแต่เพราะไม่ระวัง เมื่อหันขวับก็เซไปชนเข้ากับโต๊ะตัวเล็กซึ่งมีแจกันทองประดับดอกไม้ตั้งอยู่ จะคว้าก็คว้ามิอาจทัน แจกันร่วงหล่นสู่พื้น ส่งเสียงโคร้งเคร้งดังลั่นไปทั่วตำหนัก ทำเอาสองอสุราที่สนทนาพาทีกันอยู่ในห้องบรรทมถึงกับชะงักงัน มองหน้ากันอย่างรวดเร็ว “ลุง...” “มีคนแอบลอบฟังพ่ะย่ะค่ะ” การิตรีบทูลบอก มือคว้าดาบที่เหน็บอยู่ข้างกาย หุนหันเปิดบานทวารออกไปอย่างรวดเร็ว เท่านั้นก็เห็นองค์นวินทำท่างกๆ เงิ่นๆ อยู่ด้านหน้า เมื่อเหลียวกลับมามองตามเสียงบานทวารที่ถูกเปิดและเห็นว่าเป็นการิต ผิวหน้าขาวหยวกขององค์นวินก็ซีดเซียวมากกว่าเดิมเสียอีก “องค์ยุพราช...” การิตคราง มือสอดดาบเก็บลงฝัก หลีกทางให้เจ้าวรรศเดินมาดูหน้าคนแอบฟัง “นึกว่าผู้ใดมาลอบแอบฟัง ที่แท้ก็เจ้านั่นเองเจ้าผักเหี่ยว” บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าไม่ใช่ผักเหี่ยว! แต่จะเถียงไปก็ไร้ซึ่งประโยชน์ บัดนี้เสียวสันหลังวาบไปทั่วทุกอณูแล้ว ถูกจับได้เช่นนี้จะต้องหนีไปตั้งหลักก่อน! องค์นวินไม่อยู่ยั้งอีกต่อไป หมุนตัวหมายจะหนี แต่ก็มิอาจสู้ความว่องไวของเจ้าวรรศที่ปรี่ไปคว้าแขนเอาไว้ได้เสียก่อน “จะไปไหนรึ คิดว่าแอบลอบฟังแล้ว ข้าจะปล่อยให้หนีไปได้หรืออย่างไร” น้ำเสียงเย็นเยียบช่างจับขั้วหัวใจยิ่งนัก ยิ่งหันมาเห็นรอยยิ้มเย็นของเจ้าวรรศแล้ว องค์นวินก็กลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก “มาหาข้าถึงตำหนัก มีสิ่งใดกัน” ถูกถามก็จำต้องตอบ องค์นวินส่งเสียงแหบแห้งตะกุกตะกัก “จะ...เจ้าหาใช่องค์ศวรรย์” พูดเสียเสียงเบา แต่เจ้าวรรศกลับได้ยินเต็มสองหู “แล้วอย่างไร” “จะ...เจ้า...เจ้าคือองค์วรรศ แฝดผู้พี่ ปะ...เป็นองค์ยุพราชแห่งปรมะ หลอกลวง เจ้าเองก็หลอกลวง” คนฟังยกยิ้มขึ้น มองอีกฝ่ายที่เอาแต่ก้มหน้าพูดงึมงำด้วยอารมณ์ขบขัน “หลอกลวงแล้วอย่างไร เจ้ามีปัญหารึ” มีปัญหาอย่างแน่นอน! เสด็จพ่อจะต้องทรงกริ้วแน่ที่ปรมะก็หาได้ซื่อสัตย์!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD