บทที่ 4 หลงเธอ

4098 Words
                                                                                           บทที่ 4                                                                                           หลงเธอ                                                     'ไปคนเดียวคงหลงทาง ใจบาง ๆ ของเรามันหลงเธอ'               "หิว"             อีกแล้วเหรอ นี่เป็นเรื่องวุ่นวายเรื่องที่เท่าไหร่ของวันนี้ที่ยัยตัวยุ่งก่อขึ้นกันนะ             "เมื่อเช้าน้องแพรซดข้าวต้มไปสองสามคำเอง มัวแต่มองพี่ไรเฟิล"             "แล้วทำไมไม่กินให้อิ่มก่อน"             "ก็พี่ไรเฟิลรีบลุกออกมาไงคะ น้องแพรเลยต้องรีบ"             นี่เพิ่งจะเก้าโมงเช้าเองนะ  ยัยตัวยุ่งหิวแล้วหรือนี่ น้ำข้าวต้มคงหมดฤทธิ์แล้วแน่เลย             "จริง ๆ เล้ย"             "หมายถึงน้องแพรเหรอคะ"             "อะไร"             ไรเฟิลหันมามองอย่างสงสัย คุณดอกเตอร์คิดจะเล่นมุกอะไรอีกนะ             "ก็น้องแพรน่ารักจริง ๆ เล้ย"             แพรไหมเลียนแบบน้ำเสียงและคำพูดของเขาเมื่อครู่             "วุ่นวายจริง ๆ เล้ยต่างหาก"             "ชอบว่าให้น้องแพร"             "ก็มันจริง มานี่มาเดี๋ยวพี่จะพาไปส่งที่บ้าน แล้วไม่ต้องตามมาอีกนะ"             "ไม่กินก็ได้"             คนตัวเล็กหน้างอง้ำลงอย่างเห็นได้ชัด เอะอะก็ไล่ เอะอะก็ยุ่ง เธอไม่ได้ทำอย่างนั้นสักหน่อย อุตส่าห์ทำตัวเป็นคนเรียบร้อยเหมือนผ้ายับ ๆ ที่พับไว้             ไรเฟิลเผลอมองคนข้างกายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู เขาแค่ขู่ว่าจะไปส่งที่บ้าน แพรไหมก็กลัวจนหัวหดแล้ว ลงทุนอดข้าวประท้วงเลยหรือ             "ทำไมคะ"             "ก็น้องแพรไม่อยากกลับ อยากอยู่กับพี่ไรเฟิล"             เขาทนดูใบหน้าเศร้า ๆ แบบนี้ไม่ได้เลยจริง ๆ เอาเป็นว่าขอเปลี่ยนความคิดละกัน             "งั้นเดี๋ยวพี่จะพาไปกินที่โรงอาหารของไร่ กินข้าวราดแกงได้ใช่ไหมคะ"             "แกงราดข้าวน้องแพรก็กินได้ค่ะ"             แสดงว่าไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เพราะยังมีอารมณ์มาเล่นมุกอยู่ กวนแบบนี้น่าจะแกล้งให้ได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มสักคืนสองคืน               ไรเฟิลพาน้องแพรไหมมาถึงโรงอาหารของไร่ในอีกสามสิบนาทีต่อมา อยากจะแกล้งมาช้ากว่านี้อยู่หรอกนะ แต่เขากลัวว่าคนตัวเล็กจะหิวจนเจ็บท้องเสียก่อน ยิ่งผอมแห้งแรงน้อยอยู่ด้วย             "อยากกินอะไรเลือกเลยนะ"             แพรไหมมองดูอาหารหลากหลายชนิดในถาดทรงสูง มีทั้งอาหารเหนือที่เธอไม่รู้จัก และอาหารยอดฮิตอย่างผัดกะเพรา และน้ำพริกอีกสองสามอย่าง              ก็อยากลองน้ำพริกอยู่หรอกนะ แต่ดูท่าคงจะเผ็ดน่าดู เพราะงั้นแพรไหมขอไม่แตะน้ำพริกพวกนั้นละกัน             "ขอเป็นไข่พะโล้แล้วกันค่ะ"             ไรเฟิลยื่นจานให้อีกคน แพรไหมอยากได้ข้าวปริมาณเท่าไหร่ ไข่พะโล้มากแค่ไหน บริการตัวเองได้เลย เขาไม่บริการให้หรอกนะ เพราะเดี๋ยวเธอจะไม่พอใจ             ร่างสูงเดินออกไปนั่งรอที่โต๊ะ ปกติตอนเที่ยงเขาก็มากินที่นี่ โรงอาหารประจำไร่ ทุกวันจะมีแม่ครัวมาทำกับข้าวไว้ให้เลือกสรร วัตถุดิบส่วนใหญ่ก็มาจากไร่ทั้งนั้น ผักหลากหลายชนิดก็มาจากที่ไร่เช่นเดียวกัน ยกเว้นเนื้อสัตว์              และที่สำคัญ อาหารเที่ยงที่นี่ไม่ได้มีไว้ขาย เขาตั้งใจจ้างคนมาทำให้คนงานที่ไร่ได้กิน แค่มื้อเดียวเท่านั้น แต่นี่ก็ถือว่าพอแล้วกับสวัสดิการของคนงานในไร่ อย่างน้อยเขาก็ช่วยให้พวกคนงานได้อิ่มหนำในมื้อเที่ยงของวัน และที่พักเขาก็ไม่ได้เก็บเงินค่าเช่า ให้แค่คนงานเสียค่าไฟเองเท่านั้น             "ขอบคุณนะคะ"             "เรื่องอะไร"             "ก็พี่ไรเฟิลเอาน้ำมาให้น้องแพร"             "อ๋อ ไม่เป็นไร พี่กลัวน้องแพรหิวจนตาลาย คิดว่าน้ำล้างจานเป็นน้ำดื่ม"             กวนประสาทก็เป็นเหมือนกันนะคุณคนปากหนัก แค่ยอมรับว่าแก้วน้ำเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ เขาตั้งใจนำมาให้ก็สิ้นเรื่อง             แพรไหมไม่สนคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกต่อไป เธอสนใจเพียงแค่ไข่พะโล้ตรงหน้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหิว เพราะบรรยากาศที่ชวนให้รับประทานอาหารอร่อย หรือเป็นเพราะคนตรงหน้าจ้องกันแน่ แพรไหมถึงได้เอร็ดอร่อยขนาดนี้             ปกติเวลาถูกจ้องเวลากินข้าวก็ต้องเขินเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่กับพี่ไรเฟิลมันไม่ใช่ เธอชอบให้เขามองจะได้เจริญอาหาร เหมือนได้กินข้าวเปล่ากับแววตาหวาน ๆ ของเขาเลย             "เหมือนเด็กเลย"             "หน้าเด็กเหรอคะ"             "กินมูมมาม"             ไรเฟิลยื่นมือมาหยิบเม็ดข้าวที่ติดอยู่ตรงแก้มของเธอออกให้ ปกติเม็ดข้าวจะติดอยู่แค่มุมปากไม่ใช่หรือไง นี่แพรไหมคือขั้นกว่าของการกินมูมมามสินะ ข้าวทั้งเม็ดถึงได้มาติดอยู่ที่แก้มแบบนี้             "หรือตั้งใจให้เม็ดข้าวติด เพื่อที่จะให้พี่หยิบออกให้"             "คุณพี่หลงตัวเองจังเลยนะคะ"             ก็จะไม่ให้หลงตัวเองได้ยังไง แพรไหมยิ่งเล่ห์เหลี่ยมเยอะอยู่             "ก็ไม่แน่"             "น้องแพรไม่ได้ตั้งใจค่ะ อาหารอร่อยมาก และน้องแพรก็หิวด้วยเลยกินมูมมามไปหน่อย"             "นึกว่ากินแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว"             แพรไหมวางช้อนลงแล้วช้อนสายตามองเขา พี่ไรเฟิลหาว่าเธอไม่มีมารยาทงั้นหรือ             "ปกติน้องแพรเป็นสาวเรียบร้อยค่ะ เวลารับประทานอาหารก็ค่อย ๆ ละเลียด กิริยามารยาทอ่อนช้อยยิ่งกว่าสาวชาวดอย คำพูดคำจาอ่อนหวานปานน้ำตาลอ้อย"             "ขนาดนั้นเลย"             "เจ้า"             คนตัวเล็กพยักหน้าประกอบพร้อมกับอู้ภาษาเหนือด้วยน้ำเสียงหวานหยด             "หมดแล้ว จะเติมอีกไหม"             "ก็อยากเติมนะคะ แต่อิ่มแล้ว แล้วก็ถ้าเติมอีกน้ำหนักน้องแพรต้องขึ้นแน่เลยค่ะ เดี๋ยวพี่ไรเฟิลไม่ชอบ"             คนฟังกลอกตา ต่อให้ลดหรือเพิ่ม ถ้าไม่รักไม่ชอบก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี             "พี่ไรเฟิลไม่กินเหรอคะ"             "ยังไม่หิว"             ก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่า เมื่อเช้าคุณพี่ท่านกินข้าวต้มหมดเป็นชาม แล้วนี่เพิ่งจะสามโมงเช้าเอง คงยังไม่หิวหรอกมั้ง มีแต่เธอนี่แหละที่หิวหนักจนตาลาย เพราะกินไปสองสามคำเอง             "กินเสร็จจะไปไหนต่อคะ"             "ไปส่งน้องแพรที่บ้าน"             "ไม่เอา น้องแพรไม่กลับ"             "แต่พี่ไม่เป็นอันทำงานเลยนะคะ"             "รีดนมวัวไปแล้วไง"             เถียงคำไม่ตกฟากจริง ๆ เลย             "มันไม่เป็นชิ้นเป็นอัน"             "แต่ก็ถือว่าได้ทำงานนี่คะ"             โอเคยอมแพ้ เถียงไม่เคยชนะเลยจริง ๆ ยิ่งพอเขาจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด น้องแพรไหมก็ยิ่งส่งสายตาละห้อยมาให้              "เฮ้ออออออออ"             "ถอนหายใจยาวขนาดนี้ ยอมรับแล้วเหรอคะว่าชอบน้องแพร"             ให้ตายสิ ถอนหายใจมันเกี่ยวอะไรกับการชอบเธอล่ะเนี่ย เพ้อเจ้อจริง ๆ เลยแพรไหม             "สอบแกทเชื่อมโยงได้คะแนนติดลบใช่ไหมเนี่ยเรา"             "..."             "หรือไปอยู่ต่างประเทศนานจนไม่เข้าใจภาษาบ้านเกิดไปแล้ว"             "ทำไมคะ"             ยัยเด็กนี่ ไม่มีใครสอนหรือไงว่าอย่ามาเอียงคอถามพร้อมกับทำหน้าสงสัยอย่างนี้ มันน่ารักเข้าใจบ้างรึเปล่า             "ก็ถอนหายใจมันเกี่ยวอะไรกับการชอบน้องแพรล่ะคะ"             "ก็แบบว่า...เฮ้ออออในที่สุดพี่ไรเฟิลก็ตกหลุมรักน้องแพรแล้ว อะไรอย่างนี้น่ะค่ะ"             ยิ่งคุยยิ่งไม่รู้เรื่อง ยิ่งคุยยิ่งปวดหัว เอาเป็นว่าไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดก็แล้วกัน              "อิ่มแล้วเหรอ"             "ค่ะ"             "เอาไปล้างไป"             แพรไหมพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็เก็บอุปกรณ์ในการรับประทานอาหารของตนเองไปล้างอย่างไม่อิดออด              ไรเฟิลมองตามด้วยความสงสัย แพรไหมไม่ถามเขาหน่อยเหรอว่าทำไมต้องล้างเอง ทั้งที่เธอเป็นแขกของที่นี่             แต่ก็ไม่น่าแปลกสักเท่าไหร่ แพรไหมไปอยู่เมืองนอกมาหลายปี ที่นั่นต่างจากที่นี่ เธอคงชินกับการช่วยเหลือตัวเองในทุก ๆ เรื่อง เมื่อเขาบอกให้เก็บจานไปล้างเธอถึงไม่ต่อต้านและมีคำถามเลยสักนิด             อย่างน้อยน้องแพรไหมเพื่อนน้องสาว ก็ดีกว่าสาว ๆ ทุกคนที่เคยมาตามกรี๊ด ๆ เขาแหละนะ คนพวกนั้นทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ที่สำคัญไม่กินข้าวราดแกงด้วย              อยากรู้เหมือนกันว่าวิเศษวิโสมาจากไหน เหาะได้เหมือนเครื่องบินก็ไม่ ด้วยเหตุนี้ สาว ๆ พวกนั้นจึงไม่เคยได้รับความสนใจจากเขาเลยแม้แต่คนเดียว             เอ๊ะ...นี่เขาสนใจแพรไหมงั้นหรือ ไม่หรอกน่า ก็แค่เป็นเด็กแปลกและแตกต่างจากคนอื่นที่ผ่าน ๆ มาก็แค่นั้นแหละ...มั้ง               หลังจากกินข้าวเสร็จ ไรเฟิลก็พาแขกคนพิเศษด้านความแปลกขึ้นไปยังไร่ส้ม             ส้มที่เขาปลูกไว้มีเนื้อที่เกือบห้าสิบไร่ บนเขาทั้งลูกปกคลุมไปด้วยต้นส้มเขียวหวาน             ไรเฟิลปลูกเพื่อส่งออกนอกประเทศอย่างเดียว บอกตามตรงว่าถ้าให้ขายในประเทศ แน่นอนว่าต้องโดนกดราคา ถูกพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ และยิ่งไปกว่านั้น ภาครัฐไม่ได้สนใจจะแก้ปัญหาอะไรเลย              ดังนั้นไรเฟิลจึงแก้ปัญหาเอง ด้วยการส่งออกไปขายต่างประเทศซะเลย ทั้งราคาดี และได้เงินเยอะกว่าหลายเท่าตัว             "น้องแพรกินได้ไหมคะ"             คนตัวเล็กดูตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ส้มนับร้อยนับพันนับล้านลูกเต็มไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็น บอกเลยว่าชอบมาก ๆ              แต่ไม่ว่าจะอยากลิ้มรสของส้มเขียวหวานสด ๆ จากต้นมากแค่ไหน แพรไหมก็จำได้ดีในสิ่งที่เขาบอกเมื่อคืน ว่าไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องขออนุญาตเจ้าของไร่ และเจ้าของหัวใจเสียก่อน             "ชิมสิ"             ไรเฟิลอนุญาต แค่กินส้มไม่กี่กิโล คงไม่ทำให้ส้มทั้งไร่เขายืนต้นตายหรอกนะ เพราะแพรไหมน่ะเกิดมาเพื่อทำลายยังไงล่ะ             "ปอกให้น้องแพรชิมหน่อยสิคะ"             เจ้าของไร่กลอกตาด้วยท่าทางเอือมระอา นึกยังไงถึงได้อ้อนให้เขาปอกให้กินเนี่ย             ไรเฟิลเด็ดส้มมาหนึ่งลูก จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้าคนตัวเล็ก             "น้องแพรคะ"             "ขาาาาา"             ร่างสูงคว้ามือนุ่มนิ่มมากุมไว้ การกระทำของเขาส่งผลให้แพรไหมเกิดอาการขวยเขินขึ้นมาทันที              คนบ้า ไหนบอกไม่ชอบไง พี่ไรเฟิลข้ามขั้นจะขอแต่งงานเลยเหรอ              "มีมือมีเท้า ปอกกินเองนะคะ"             แป่ววววว แล้วที่เธอจินตนาการไปไกลเมื่อครู่คืออะไรกัน หน้าแตกอีกแล้วแพรไหม             "เวลากินก็เด็ดทีละลูกนะ เดี๋ยวกินไม่หมด"             "..."             "เฮ้ยยยย ยัยดื้อเอ๊ย"             ไรเฟิลกุมขมับ เมื่อเขาพูดเสร็จแพรไหมก็ลงมือเด็ดส้มเป็นสิบ ๆ ลูกมาไว้ในเสื้อ เสื้อยืดตัวสวยถูกเธอจับผ้าตรงท้องให้ยืดออก แล้วเก็บส้มทิ้งลงไปในนั้น ให้ตายสิ ยัยนี่เคยฟังที่เขาพูดบ้างไหมเนี่ย             "พี่ไรเฟิลบอกเด็ดทีละลูก"             "ก็ใช่ไง เคยฟังกันบ้างไหมเนี่ย"             "น้องแพรเด็ดมาสิบลูก เพราะน้องแพรเด็ดเกิน"             เนี่ย!!! หยอดไปอีกหนึ่งดอก ไม่เขินให้มันรู้ไป             "..."             นั่นไงพี่ไรเฟิลหน้าแดงแล้ว คงกำลังเขินมุกเสี่ยวของเธออยู่ล่ะสิ             "โมโหฉิบหายเลยโว้ยยยยยยยยยย"             พี่ไรเฟิลคนดีหันหลังให้กับเธอแล้วตะโกนเข้าไปในไร่ส้ม คงกำลังระบายอารมณ์เขินอายตามประสาคนดิบเถื่อนล่ะมั้ง กร้าวใจที่สุดเลย             "กินให้หมดเลยนะ ใครบอกอยากเด็ดเกิน"             "แต่ว่าความจริงแล้ว น้องแพรเด็ดเกินกว่าส้มอีกนะคะ"             รู้แล้วจ้าว่าเด็ดเกิน ประหลาดเกินด้วย คนอะไรคุยด้วยไม่กี่นาทีปวดหัวไปแล้วสามสิบครั้ง เฮ้ออออพี่ไรเฟิลท้อแท้             จากนั้นแพรไหมก็อาสาเก็บส้มช่วยเขา โทษฐานที่เธอเด็ดเกิน ไรเฟิลจึงทำโทษด้วยการให้แพรไหมเก็บส้มเป็นเวลาสองชั่วโมง ห้ามหนีไปไหน และห้ามเดินตามเขาโดยเด็ดขาด แม้เธอจะอาสาช่วยก็ตามที             ไรเฟิลแค่ต้องการเวลาพักผ่อน หยุดได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วที่หวานหูแต่ปวดหัวของเธอสักสองชั่วโมง อย่างน้อยก็ยังดีกว่าได้ยินทั้งวัน             "คุณป้าเก็บส้มมานานหรือยังคะ"             แพรไหมถือโอกาสสานสัมพันธไมตรีกับคุณป้าคนเก็บส้มทันที อย่างน้อยรู้จักมักจี่กันไว้ก็ดี มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน และอีกไม่นานเธอต้องมาเป็นเจ้าของที่นี่อีกคน ในนามของแฟนคุณไรเฟิล เพราะงั้นควรรู้จักกับทุกคนเอาไว้             "สามปีแล้วเจ้า"             "หนูชื่อแพรไหมนะคะ"             "เป็นคนงานใหม่ก๋า"             "อ๋อไม่ค่ะ แพรเป็นแฟนคุณไรเฟิล"             ขอถือโอกาสแนะนำตัวเลยละกันนะ พี่ไรเฟิลคงไม่ว่าอะไร             "แฟนคุณไรเฟิลก๋า งามแต้งามว่า"             "ขอบคุณค่ะคุณป้า คุณไรเฟิลตาถึงใช่ไหมคะ"             "เจ้า คุณไรเฟิลเปิ้นตาถึง มีแฟนงามแต้งามว่า งามปะล่ำปะเหลือ"             แพรไหมอมยิ้มบิดไปบิดมา ไม่ใช่บิดลูกส้ม แต่เธอกำลังบิดร่างกายต่างหาก คุณป้าก็ชมเกินไป เธอเขินจนจะลอยได้อยู่แล้วนะ             คนตัวเล็กค้อมหัวขอบคุณคุณป้าแล้วเดินจากมา เพราะมัวแต่เขินอายและบิดม้วน เธอจึงไม่รู้ว่าเดินห่างจากถนนออกมาไกลแค่ไหนแล้ว             พี่ไรเฟิลย้ำนักย้ำหนา ว่าให้เธอเก็บส้มอยู่แค่ต้นที่ใกล้ถนนเท่านั้น ตายล่ะแพรไหม เธอขัดคำสั่งคุณแฟนได้อย่างไรเนี่ย             ตอนนี้น่าจะบ่ายแล้ว หมอกที่หนาเมื่อเช้าจางลง และแสงอาทิตย์ก็ส่องลอดแหวกม่านใบไม้ลงมา              เอาไงดีแพรไหม แล้วคนงานหายไปไหนกันหมดนะ             "ยู้ฮู บงชูร์ มีใครอยู่ที่นี่ไหมคะ"             ร่างเล็กตะโกนทักทายเป็นภาษาวัยรุ่น และภาษาฝรั่งเศสสลับกัน บอกตามตรงว่าตั้งแต่เรียนมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ใช้ภาษาฝรั่งเศสหลังจากเรียนจบ             น่าภูมิใจจริง ๆ              "สวัสดีเจ้า มีใครอยู่ที่นี่ไหมเจ้า"             แพรไหมเดินลงมาตามความชันเรื่อย ๆ เสียงซู่ซ่าที่ดังอยู่ใกล้ ๆ เรียกร้องให้เธอเดินเข้าไปหา             "สวยจัง"             ลำธารเล็ก ๆ ปรากฏตรงหน้า น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ช่างสวยงามยิ่งนัก             "ขอบคุณนะเจ้าน้ำตก อย่างน้อยก็มีแกที่บอกให้ฉันสู้"             คนที่แอบตามมาหลุดยิ้ม ยัยน้องแพรไหมแปลกจริง คุยกับน้ำตกก็ได้ด้วย เธอทึกทักเอาเองว่าเสียงน้ำไหล เป็นเสียงที่บ่งบอกให้เธอสู้             คงกำลังคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกในเทพนิยายอยู่สินะ             "พี่ไรเฟิลลลลลลลลลล"             แพรไหมนั่งลงตรงโขดหิน ถอดรองเท้าออกแล้วตะโกนเรียกชื่ออีกคนเสียงดังก้อง ขอให้มีคนได้ยินทีเถอะ             "สบายจัง"             น้ำเย็น ๆ ไหลมากรอกับเท้า คล้ายกับว่าถูกธรรมชาติหยอกล้อ หากทุกข์ใจให้เอาเท้าจุ่มน้ำ มันช่วยได้แบบนี้เองสินะ             "คุณพี่ไรเฟิลขา"             "..."             "คนใจร้าย ไม่รักไม่ชอบแล้วมาแกล้งเค้าให้หลงป่าทำไม"             "..."             "น้องแพรหลงแค่พี่คนเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว ยังจะให้หลงป่าอีกเหรอ"             ไรเฟิลที่ยืนหลบมุมอยู่เลิกคิ้วสงสัย เขาไปแกล้งเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เท่าที่รู้คือเขากลับมา แล้วคุณป้าก็บอกว่าแฟนเขาเดินมาทางนี้             แม้จะแปลกใจแต่ไรเฟิลก็ไม่ได้ถามต่อ แพรไหมคงเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าเป็นแฟนเขาสินะ แสบจริง ๆ             เพราะรู้พื้นที่ทุกซอกทุกมุมของที่นี่ ไรเฟิลจึงพอเดาได้ว่าแพรไหมจะเดินมาทางไหน พื้นที่ด้านล่างใกล้ ๆ ไร่มีลำธารอยู่ เขาจึงเดาว่าแพรไหมจะเดินมาตรงนี้แน่นอน และก็เป็นดังที่คาดจริง ๆ             ไรเฟิลแอบตามเสียงเล็ก ๆ ของเธอมาติด ๆ ไม่ให้คลาดสายตา เขาเองก็กลัวว่าแพรไหมจะเป็นอันตรายเช่นเดียวกัน เพราะเธอไม่ได้คุ้นชินกับหนทางที่นี่             "เทวดาาาาาาาาา"             เอาแล้วไง ยัยนี่เล่นของสูงแล้ว             "เจ้าที่เจ้าทางขา ขอให้พี่ไรเฟิลตามมาด้วยเถอะ"             "..."             "ท่านปกปักษ์รักษาที่นี่ คงรู้จักพี่ไรเฟิลดีใช่ไหมคะ คนนั้นแหละค่ะแฟนน้องแพรไหม"             เดี๋ยวนะ นี่แพรไหมอวดกับเจ้าที่เจ้าทาง อวดเทวดาว่าเป็นแฟนเขาด้วยเหรอเนี่ย ให้ตายสิ             "น้องแพรฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ"             "..."             "ช่วยดลใจให้พี่ไรเฟิลตามน้องแพรมาที ถ้าพี่ไรเฟิลตามหาน้องแพรเจอเป็นคนแรก แสดงว่าพี่ไรเฟิลรักน้องแพร"             เอาล่ะไรเฟิล ได้เวลาปล่อยให้น้องแพรอยู่ที่นี่คนเดียวแล้ว เขาควรกลับไป แล้วบอกให้คนงานมาตามจะดีกว่านะ เดี๋ยวพอเขาแสดงตัวว่าตามเธอมา แพรไหมต้องทึกทักเอาเองว่าเขารักเธอแน่             "แล้วจะกลับยังไงเนี่ย"             แพรไหมลุกขึ้นยืนเมื่อพาเท้าน้อย ๆ ไปแช่น้ำจนพอใจ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนถึงจะเจอผู้คน เอาเป็นว่าขอเชื่อตัวเองด้วยการเดินลงเขาไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน             เมื่อสวมรองเท้าเสร็จ เธอก็ออกเดินทางทันที เสียงกิ่งไม้หักที่ดังขึ้นด้านหลังช่วยฉุดรั้งร่างกายเธอเอาไว้ แต่สติสัมปชัญญะกำลังกระเจิดกระเจิง             "คุณผี อย่ามาหลอกหลอนน้องแพรเลยนะคะ"             รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งเมื่อได้ฟังดังนั้น คนปกติที่ไหนจะคุยกับผีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแบบนั้นกันนะ              ไม่ใช่ว่าน่ารักหรอก แต่เขาแค่ไม่เคยได้ยินเท่านั้นเอง             เรียวขาเล็กเกิดอาการสั่นสะท้านเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เธอไม่ได้กลัวสัตว์จะมากิน แต่กลัวผีจะมาหลอกต่างหาก             "พี่ไรเฟิลขา น้องแพรกลัว"             แพรไหมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เธอหลับตาแน่น ในหัวไม่ได้นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้ว แต่นึกถึงพี่ไรเฟิลต่างหาก             "กรี๊ดดดดดดดดด"             เสียงกรีดร้องดังก้องป่า เมื่อไรเฟิลวางมือลงบนไหล่ตัวเล็ก แพรไหมตัวสั่งงันงกเมื่อรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังเกาะไหล่เธออยู่             "แพรไหม"             "ฮืออออออ"             "นี่พี่เอง"             "ขอร้องนะคะอย่ามาหลอกมาหลอนแพรเลย"             "น้องแพร นี่พี่ไรเฟิลเอง"             แพรไหมกลัวจนตัวสั่น สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดก็คือกลัวว่าจะไม่ได้เจอพี่ไรเฟิลอีก             "แพร"             "ฮืออออออ"             น้ำตาเม็ดใสไหลออกมาในที่สุด เมื่อคิดได้ว่าจะไม่ได้กลับไปอีกแล้ว ไม่ได้กลับไปหาคนที่รัก อุตส่าห์หอบสังขารมาที่นี่เพื่อตามหารักแท้ เธอจะมาจบชีวิตที่นี่ไม่ได้นะ             "น้องแพรไหมคะ นี่พี่ไรเฟิลเอง"             ทำไมผีถึงได้พูดเพราะอย่างนี้นะ             "ลืมตาเร็ว"             ไรเฟิลพลิกร่างเล็กให้หันมาเผชิญหน้า แพรไหมหลับตาปี๋ แถมยังมีน้ำตาไหลออกมาอีก น่าสงสารเสียจนเขาต้องกอดเอาไว้  มือเรียวลูบหลังลูบไหล่อย่างต้องการปลอบประโลม             "พี่เอง พี่อยู่ตรงนี้"             แพรไหมลืมตาเมื่อตั้งสติได้ อ้อมกอดของเขาช่างอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัย มือเขาที่กำลังลูบนั่นอีก แค่รู้ว่าเป็นเขาความกลัวทั้งหมดก็หายไป             "ไม่เป็นไรนะเด็กดื้อ"             ไรเฟิลปลอบ เขารู้ว่าแพรไหมกลัวมาก เด็กในเมืองต้องอยู่ในป่าคนเดียวเป็นเวลานานย่อมกลัวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว และป่านี้แพรไหมก็ไม่เคยมาเสียด้วย             "คนใจร้าย"             "พี่ไม่ได้บอกให้น้องแพรเป็นนักสำรวจนี่คะ พี่บอกแค่ให้เก็บส้ม"             "ก็ยังใจร้ายอยู่ดี"             โอเคเขาใจร้ายก็ได้ บอกแค่ว่าให้น้องแพรเก็บส้มเท่านั้น แต่เขาไม่ได้บอกให้คนตัวเล็กเป็นนักสำรวจน้อยที่คอยสำรวจป่าจนหลงมาถึงตรงนี้             "โอเคพี่ขอโทษ หยุดร้องได้แล้ว"             "พี่ไรเฟิลไม่รู้หรอกว่าน้องแพรกลัวแค่ไหน"             "ต่อไปก็อย่าดื้อ อยู่ใกล้ ๆ พี่เข้าไว้"             "แล้วก็มาบอกเบื่อ ปวดหัวกับน้องแพร"             "ไม่พูดแล้ว"             "จริงนะคะ"             "อ่า...แค่วันนี้ละกัน"             ยังดีที่เขาไหวตัวทัน ไม่งั้นหลงกลน้องแพรแน่ ๆ เธอจะหลอกให้เขาไม่บ่นเธอสินะ             ไรเฟิลดันร่างเล็กออก ใช้ข้อนิ้วเกลี่ยน้ำตาบนแก้มนิ่มนวลเนียนบางเบา              ไม่รู้สิ เขาแค่คิดว่าไม่อยากเห็นน้ำตาของแพรไหมเลย มันรู้สึกว่าตัวเองผิดยังไงยังงั้น ที่ดูแลเธอได้ไม่ดี             "หยุดร้องไห้ได้แล้วยัยดื้อ พี่ขอโทษก็ได้โอเคไหม"             แพรไหมพยักหน้าแล้วพาตัวเองมาอยู่ในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง             ให้ตายสิ เพิ่งรู้จักกับแพรไหมได้สองวัน เขาเสียกอดไปกี่ครั้งแล้วนะ             "เดินมายังไงถึงหลงทางได้ล่ะเรา"             "น้องแพรไม่ได้หลงทางค่ะ น้องแพรหลงเธอ"             ดวงตาดำขลับจงใจจ้องมองเขาอย่างเผย แพรไหมต้องการให้พี่ไรเฟิลรู้ว่าเธอน่ะหลงพี่ไรเฟิล ไม่ได้หลงทาง             ไม่น่าเลยถามเลยไรเฟิล โดนหยอดจนได้ อยากบอกแพรไหมอยู่เหมือนกัน ว่าน้ำหยดลงหินทุกวัน หินปวดหัว             อย่าหยอดเยอะ เดี๋ยวใจพรุน               ไรเฟิลพาแพรไหมเดินออกมาจากป่าเพียงไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ คนตัวเล็กยิ้มกว้างเมื่อเดินตามเขาออกมาได้สำเร็จ ที่ที่เธอเดินเข้าไปเมื่อครู่ เป็นเพียงป่าเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างไร่ส้มเท่านั้นเอง เพียงแค่เดินขึ้นเขาไปอีกสักนิดก็เจอกับรถของพี่ไรเฟิลแล้ว              เธอดื้อและซนตามที่เขาบอกจริง ๆ นั่นแหละแพรไหม รับบทเป็นนักสำรวจจนต้องเสียน้ำตา             "น้องแพรนึกว่าจะไม่ได้ออกมาเจอพี่ไรเฟิลแล้วซะอีก"             "ก็เล่นซนเอง"             "ถ้าน้องแพรติดอยู่ในป่าไปจนตาย ขอให้พี่ไรเฟิลรู้ไว้นะคะว่าความรักของน้องแพรจะอยู่กับพี่ไรเฟิลตลอดไป"             หยอดได้แบบนี้คงไม่เป็นไรแล้วมั้ง คนร้องไห้งอแงเมื่อครู่นี้คงหายไปแล้วสินะ             "เหนื่อยจังค่ะ"             "แดดร้อนด้วยมั้ง"             เขาเองก็มีเหงื่อไหลเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับแพรไหมลูกคุณหนูจบนอกกันล่ะ             วันนี้มันอะไรกันนะ ช่วงเช้าหมอกลงหนาจัดจนเกือบเที่ยง พอบ่ายมาแดดกลับส่องแสงจนร้อนซะงั้น             "วันนี้แดดดีจัง"             ไรเฟิลเปรยกับตัวเองเบา ๆ แต่มีหรือที่น้องแพรไหมที่เดินตามมาติด ๆ จะไม่ได้ยิน             "แดดดีเหมือนพี่ไรเฟิลเลยนะคะ"             มุกอะไรอีกเนี่ย เขาไม่เข้าใจหรอกนะ เขากับแดดจะเหมือนกันได้ยังไง             "ยังไงคะ"             ไรเฟิลถามอย่างสงสัย             "เอาใหม่ค่ะ พระอาทิตย์น่ะแดดดี แต่พี่ไรเฟิลน่ะแดดดี๊ค่ะ"             แพรไหมเล่นใหม่เพื่อให้เขาได้เข้าใจง่าย ๆ และปฏิกิริยาของไรเฟิลก็คือการส่ายหน้าช้า ๆ อย่างเอือมระอา              รู้แบบนี้น่าจะแกล้งให้นั่งอยู่ในป่านานกว่านี้สักหน่อย ไม่น่าขี้สงสารเลยไรเฟิล น่าจะปล่อยให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียให้เข็ด              ออกมาแล้วก็ยังจ้อไม่หยุดเหมือนเดิม แถมขยันหยอดกว่าเดิมอีก ไหนบอกกลัวผีไง น้องแพรไหมยอมให้ผีเจาะปากมาพูดได้ไงเนี่ย              เฮ้อออออ เขาต้องอยู่กับน้องแพรไหมอีกนานแค่ไหนกันนะคะ ไรเฟิลชักจะท้อแท้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD