บทที่ 8
ตั้งใจ
'เพราะฉันตั้งใจ ว่าจะไม่รักใครอีกนอกจากเธอ'
"น้องแพรคะ มากินปลาเผาเร็ว พี่ทำสุกแล้ว"
แพรไหมที่มุดตัวอยู่ในผ้านวมผืนหนาถอนหายใจหนักหน่วง ถึงเวลาปั้นหน้ายิ้ม แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วสินะ
ร่างเล็กลุกขึ้นอย่างไม่อิดออด จากนั้นก็เดินออกมานั่งกับเขาดังเช่นเคย แต่ครั้งนี้แพรไหมไม่ได้นั่งเบียดชิดติดกับเขา เพราะเธอเกรงว่าจะเผลอแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาให้เขาได้เห็น
"นี่ของน้องแพรค่ะ"
ไรเฟิลยื่นปลาตัวโตที่เขานำมาเสียบไม้และเผาจนสุกให้แพรไหม
"ขอบคุณค่ะ"
แพรไหมยิ้มและรับปลาตัวนั้นมา หากเป็นเวลาปกติปลาเผาตัวนี้คงจะอร่อยมาก ๆ เลยสินะ
แต่ในตอนนี้แม้ภายนอกจะดูปกติดีทุกอย่าง แต่ภายในของแพรไหมกลับกำลังฟุ้งซ่าน
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พี่ไรเฟิลไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ
"ไม่อร่อยเหรอ"
เพราะเห็นว่าแพรไหมกินไปนิดเดียวไรเฟิลจึงเอ่ยถาม เขารู้ดีว่าน้องแพรไหมกำลังคิดอะไรอยู่ คงคิดมากกับการกระทำของเขาเมื่อสักครู่อยู่สินะ
"อร่อยค่ะ"
"กินน้อยจัง"
"ปลาพี่ไรเฟิลตัวโตมาก น้องแพรคิดว่าแค่นี้ก็กินไปเยอะแล้วนะคะ"
ไรเฟิลพยักหน้าเข้าใจ เขาเองก็กินไม่ค่อยลงเหมือนกัน เพราะมีบางอย่างที่กำลังค้างคาอยู่ในใจ
เขาไม่อยากให้แพรไหมเข้าใจในตัวเขาผิดไป เพราะงั้นคงต้องรีบทำให้ยัยตัวแสบเข้าใจเขาถูกสักทีสินะ
น้องแพรไหมของเขาจะได้กลับมาสดใสได้ดังเดิม
แม้ว่าปลาทั้งสองตัวจะถูกกินไปนิดเดียว แต่เมื่อทั้งคู่กินเสร็จไรเฟิลก็ยังเก็บปลาพวกนั้นไว้ในถุงให้มิดชิดดังเดิม เขาคิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะเอาเนื้อปลาพวกนี้ไปเป็นของฝากเจ้าหนมปังสักหน่อย
"ง่วงรึยัง"
"ค่ะ"
"ไม่ดูดาวก่อนเหรอ"
แพรไหมมีท่าทีอึกอัก เธออยากดูมาก ๆ แต่ถ้าให้ทนนั่งอยู่กับเขานาน ๆ แพรไหมกลัวว่าตัวเองจะคิดมาก และพาลทำให้น้ำตาไหล
"ดูดาวเป็นเพื่อนพี่ก่อนสิ"
ดูดาวเป็นเพื่อนงั้นหรือ ใครเขาอยากเป็นเพื่อนกัน มีแต่อยากเป็นแฟนต่างหาก
แล้วอะไรดลใจให้พี่ไรเฟิลอยากดูดาวกับเธอเนี่ย ปกติมีแต่ไล่ให้ไปไกล ๆ แถมอยู่ใกล้เธอทีไรก็บ่นปวดหัวตลอด
"วันนี้ฟ้าเปิด ดาวสวยมากเลยนะ"
"..."
"ดึก ๆ ก็จะมีดาวตก"
วันนี้ท้องฟ้าเปิดอย่างที่ไรเฟิลว่าจริง ๆ เป็นปกติของฤดูหนาวอยู่แล้วที่จะมองเห็นดวงดาวพร่างพราวสุกสกาวเต็มท้องฟ้า
และตอนนี้พระจันทร์ก็ยังไม่ขึ้นเสียด้วยสิ อาจจะเป็นค่อนคืนไปแล้วพระจันทร์ถึงจะปรากฏตัวให้เห็น
ดังนั้นในตอนนี้จึงเป็นโอกาสเหมาะแก่การดูดาวเป็นอย่างมาก
"น้องแพรหนาวค่ะ"
เพราะสถานที่ที่ทั้งคู่อยู่ เป็นหน้าผาขนาดเล็กที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ไม่มีเต็นท์อื่นมาคอยบังลมให้ ทำให้เวลาที่ลมพัดจะปะทะเข้ากับร่างกายเต็ม ๆ
ความจริงแล้วลมเย็นแค่นี้ไม่ระคายผิวเธอหรอกนะ แพรไหมก็แค่หาข้ออ้างเพื่อที่จะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดเขาเท่านั้นแหละ
ไรเฟิลลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหลังเต็นท์แล้วหยิบเสื่อผืนเล็ก ๆ ออกมาปูลงใกล้ ๆ กับกองไฟ จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในเต็นท์แล้วออกมาพร้อมกับผ้านวมผืนที่แพรไหมใช้ห่มเมื่อครู่
"มานี่เร็ว"
เจ้าของไร่กวักมือเรียกให้แพรไหมมานั่งลงบนเสื่อกับเขา ซึ่งแพรไหมก็ทำตามอย่างไม่อิดออด
ร่างเล็กสอดตัวเข้าไปในผ้าผืนหนา และทันทีที่เธอทำสำเร็จไรเฟิลก็ลุกขึ้นอีกครั้ง
อะไรของเขากันนะ ไม่อยากใกล้เธอขนาดนั้นเลยหรือไง
"รอแป๊บนึง"
เขาเข้าไปในเต็นท์อีกครั้ง แล้วกลับออกมาพร้อมหมอนสีเทาเข้มที่มีเพียงใบเดียวเท่านั้น เพราะนอนคนเดียวมาตลอดในเต็นท์นี้จึงมีแค่หมอนใบเดียว
"นอนลงสิ"
ไรเฟิลชักชวนเมื่อเขาวางหมอนลงบนเสื่อเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงสอดตัวเข้ามาในผ้าผืนเดียวกันกับแพรไหม จากนั้นก็นอนลงตรงตำแหน่งที่มีหมอนพอดิบพอดี หนำซ้ำยังขอร้องแกมบังคับให้เธอทำตามด้วย
"นอนดูดาวกัน"
แพรไหมรู้สึกราวกับได้ยินเสียงกระซิบเมื่อไรเฟิลเอื้อนเอ่ย อาจเพราะหนุนหมอนใบเดียวกัน และอยู่ใกล้จนศีรษะชนชิดติดกัน เสียงที่เธอได้ยินจึงเบาราวกระซิบ
ในที่สุดเธอก็เลิกสนใจเขา แพรไหมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตอนนี้รู้สึกว่าดวงดาวที่มองเห็นจะชัดเจนและเยอะมากขึ้นกว่าเดิม
สวย นั่นคือสิ่งที่แพรไหมสัมผัสได้
หากเป็นคู่รัก คงโรแมนติกน่าดู
"สวยไหมคะ"
"สวยมากเลยค่ะ"
"น้องแพรจะกลับเมื่อไหร่คะ"
แพรไหมแค่นยิ้มคล้ายสมเพชตัวเอง เขาคงอยากให้เธอกลับมากเลยสินะ หากเป็นชั่วโมงก่อนเธอคงตอบเขาไปโดยไม่ต้องคิด ว่าจะกลับเมื่อได้พี่ไรเฟิลเป็นแฟน
แต่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์มาเล่นอีกแล้วล่ะนะ
"อยากให้น้องแพรกลับขนาดนั้นเลยเหรอคะ"
"ไม่ใช่สักหน่อย"
"..."
"ถ้ากลับเร็ว ๆ นี้ก็จะได้พามาที่นี่บ่อย ๆ แต่ถ้าอยู่ยาวก็จะได้ไม่พามาบ่อยไง"
ถ้าเกิดแพรไหมจะกลับเมืองกรุงในเร็ววันนี้เขาจะได้พามาที่นี่อีกในสองสามวันข้างหน้า แต่ถ้าแพรไหมคิดจะอยู่ที่นี่ยาว ๆ เขาก็จะไม่ได้พามาบ่อยไง อยากมาเมื่อไหร่ก็ค่อยมา
"ดาวตก!"
แพรไหมตะโกนอย่างตื่นเต้น เมื่อนอนตัวเกร็งได้สักพักก็มองเห็นว่ามีแสงของดวงดาวกำลังพุ่งลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ก็เพียงแค่เสี้ยววิเท่านั้น จากนั้นก็หายไป
"อธิษฐานสิคะ"
"แต่แสงหายไปแล้วนะคะ"
"งั้นรอดวงใหม่ก็ได้ มีให้เห็นทั้งคืนแน่นอนค่ะ"
ไรเฟิลหันมายิ้มให้คนที่นอนเบียดอยู่ข้าง ๆ เสื่อผืนเล็กนิดเดียว ผ้าห่มผืนเดียว หนำซ้ำยังมีหมอนอยู่แค่ใบเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาและเธอต้องนอนเบียดกัน และไรเฟิลก็รับรู้ว่าแพรไหมกำลังเกร็ง
ไหนบอกชอบเขาไง แตะตัวกันแค่นี้ก็เกร็งแล้วหรือ อ่อนไปหรือเปล่าน้องแพรไหม
"ดาวเต็มท้องฟ้าเลยค่ะ สวยมากเลย"
แพรไหมเลิกสนใจคนข้างกาย ร่างเล็กนอนมองท้องฟ้าด้วยสายตาเปล่งประกาย คงจะมีความสุขมากสินะ ทั้งชีวิตแพรไหมอยู่แต่ในเมืองหลวงและต่างประเทศ อาจจะเคยเห็นดวงดาวมาบ้าง แต่ก็คงจะไม่ชัดเจนเท่าในตอนนี้
สังเกตเอาจากสีหน้าเพ้อฝันนั่นแล้ว ไรเฟิลก็พอจะเดาได้ว่าแพรไหมคงจะชอบที่นี่มาก
"สวยจริง"
แต่กับไรเฟิลเขาไม่ได้มองท้องฟ้า เพราะสิ่งนั้นน่ะเขาเห็นจนชินตาแล้วล่ะ สิ่งที่นอนอยู่ข้างกายต่างหากที่เขามองเท่าไหร่ก็ไม่ชินสักที
"น้องแพรชอบจัง"
แพรไหมยังมองดูท้องฟ้าเช่นเดิม ดวงดาวสุกสกาวส่องแสงระยิบระยับเต็มไปหมด เพราะจดจ่อรอคอยดาวตก เธอจึงไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างสักเท่าไหร่
ทำให้แพรไหมพลาดบางอย่างไป บางอย่างที่กำลังจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา
นั่นก็คือสายตาของพี่ไรเฟิลนั่นเอง
"อืม...พี่ก็คิดว่าชอบแล้วเหมือนกัน"
"ดาวตกอีกแล้วค่ะ"
คนเฝ้ารอรีบหลับตา นำมือทั้งสองมาผสานกันแล้วกำแน่นไว้ตรงอก แพรไหมกำลังอธิษฐานขออะไรบางอย่าง และไรเฟิลก็ไม่สามารถเดาได้ว่าคนข้างกายประสงค์สิ่งใด เพราะแพรไหมอธิษฐานอยู่ในใจ
ไรเฟิลลอบมองดวงหน้าเนียนใสที่ต้องแสงจากกองไฟด้วยรอยยิ้ม เปลือกตาขยับยุกยิกแม้ริมฝีปากจะเม้มแน่น
โดยรวมแล้วถือว่าแพรไหมมีเสน่ห์มาก มากจนหาคนมาเปรียบเทียบไม่ได้
"พี่ไรเฟิลไม่อธิษฐานเหรอคะ"
เมื่อลืมตาขึ้น แพรไหมก็เห็นว่าเขากำลังนอนอมยิ้ม แพรไหมเดาว่าพี่ไรเฟิลคงมีความสุข แต่เขาจะไม่ขอพรอะไรจากดาวตกเลยหรือ
"ไม่ล่ะ พี่ชินแล้ว"
แพรไหมพยักหน้า เขาคงเห็นดาวตกบ่อย และคงจะอธิษฐานขอพรจนไม่มีเรื่องจะขอแล้วสินะ
แต่สำหรับเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นดาวตกแบบชัดเจนเต็มสองตาขนาดนี้
"น้องแพรอธิษฐานว่ายังไงคะ"
เพราะความอยากรู้ว่าสิ่งที่แพรไหมขอเกี่ยวกับตัวเขาหรือเปล่า ไรเฟิลจึงถือวิสาสะขอเสียมารยาทเอ่ยถามออกไป
"น้องแพรขอให้สัตว์ทุกตัวในโลกมีความสุขค่ะ"
"หืม"
ไรเฟิลหันมามองคนข้างกายด้วยความสงสัย แพรไหมไม่ชอบสัตว์ แต่ขอพรให้สัตว์มีความสุขเนี่ยนะ มันช่างย้อนแย้งเสียเหลือเกิน
"น้องแพรไม่ชอบสัตว์นี่คะ"
"ไม่ชอบ แต่ขอให้พวกเขามีความสุขไม่ได้เหรอคะ"
ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ไรเฟิลตอบคำถามในใจพลางส่งยิ้มไปให้คนข้างกาย แพรไหมก็มีจิตใจที่อ่อนโยนเหมือนกันนะเนี่ย
"ทำไมถึงขอแบบนั้นล่ะคะ"
"น้องแพรคิดว่าสัตว์ไม่ฉลาดเท่าคนค่ะ ที่อยู่ของพวกเค้าก็ไม่ได้ดีเท่าคน หนำซ้ำบางตัวยังถูกเลี้ยงไม่ดีอีก เลยขอให้พวกเค้ามีความสุขมาก ๆ"
"พี่ก็เลี้ยงสัตว์นะ แบบนี้น้องแพรจะคิดว่าพี่เลี้ยงพวกเค้าไม่ดีหรือเปล่าคะ"
"คิดค่ะ"
แพรไหมหันมาสบตากับคนที่นอนเบียดกายอยู่ข้าง ๆ ด้วยแววตาจริงจัง
"สัตว์ของพี่ไรเฟิลคงหนาวมาก เพราะไม่มีผ้าห่มอุ่น ๆ ให้ห่ม แถมฤดูฝนยังต้องเปียกฝนอีก"
"แต่ถึงไม่มีผ้าห่ม พวกเค้าก็มีขนนะคะ"
"แค่นั้นไม่พอหรอกค่ะ ต้องให้พวกเค้าอยู่ในบ้านที่สะอาด ไม่ใช่ทุ่งหญ้าแบบนั้น"
น้องแพรไหมเอ๊ย ไรเฟิลเถียงต่อไม่ไหว ขืนเถียงยังไงก็ไม่สู้อยู่ดี น้องแพรคิดได้ยังไงนะว่าให้สร้างบ้านให้สัตว์ พวกเค้าหากินหญ้าก็ต้องเลี้ยงให้อยู่กับทุ่งหญ้าสิ
"โอเค เอาไว้ถ้าน้องแพรไหมอยากเลี้ยงค่อยสร้างบ้านหลังใหญ่ให้พวกเค้านะคะ"
"น้องแพรไหมจะสร้างบ้านให้สัตว์ของเราค่ะ"
"ของเรา"
"ใช่ค่ะ สัตว์ของเรา เพราะอีกไม่นานน้องแพรก็จะได้เป็นแฟนของพี่ไรเฟิล และก็จะได้เป็นเจ้าของไร่ด้วย"
มั่นใจจังเลยนะ คนที่เศร้าสร้อยกับเหตุการณ์เมื่อครู่หายไปไหนเสียแล้วล่ะ
ทั้งคู่นอนคุยกันได้สักพักในที่สุดไรเฟิลก็รู้ตัวว่าเขาพูดอยู่คนเดียวตั้งนานสองนาน เหตุเพราะน้องแพรไหมจอมป่วนเคลิ้มหลับไปแล้วน่ะสิ
ได้เวลาแอบมองแก้มขาว ๆ นั่นอีกแล้วสินะ ไรเฟิลคิดในใจพร้อมอมยิ้ม
เหตุการณ์เมื่อครู่เขาไม่ได้ตั้งใจก็จริง และรู้ดีว่าน้องแพรไหมก็คงจะเสียใจกับการกระทำของเขาอยู่ไม่น้อย
"น้องแพรคะ"
"..."
อีกคนยังหลับตาพริ้ม คงกำลังมีความสุขอยู่กับความฝันสินะ นอนบนดิน ท่ามกลางท้องฟ้า ดวงดาว และลมหนาว มีเพียงกองไฟกับผ้าห่มเท่านั้นที่ให้ความอบอุ่น แพรไหมคงชอบมากสิท่า
"เมื่อกี้พี่ไม่ได้ตั้งใจ"
แพรไหมลืมตาในที่สุด เธอไม่ได้หลับสักหน่อย แค่หลับตาพักผ่อนซึมซับเอาความสุขเพียงเท่านั้น พี่ไรเฟิลจะย้ำทำไมกันนะ ชอบเห็นเธอเสียใจมากเลยหรืออย่างไร
"รู้แล้วค่ะ"
ร่างเล็กลุกขึ้นนั่ง เตรียมจะเดินหนีเขาไปอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำตามใจไรเฟิลก็คว้าแขนเรียวเล็กเอาไว้เสียก่อน
ไรเฟิลลุกขึ้นตาม เขารู้สึกว่าแพรไหมกำลังจะเข้าใจเขาผิด
"ฟังให้จบก่อนได้ไหมคะ"
เจ้าของไร่เอ่ยคำพูดหวานหูชวนให้หลงใหล และแพรไหมก็ไม่คิดจะต่อต้านเขาจริง ๆ
โอเคพูดมาเลยพี่ไรเฟิล พูดมาสิว่าไม่ได้ชอบน้องแพรไหม
"ตอนนั้นพี่ไม่ได้ตั้งใจ"
ย้ำอีกแล้ว เขาชอบเห็นเธอเจ็บปวดหรือยังไงกันนะ
แพรไหมหน้าหงิกอย่างปิดไม่มิดอีกต่อไป ในขณะที่ไรเฟิลอมยิ้มกับภาพที่เห็นตรงหน้า น้องแพรไหมที่ร่าเริงและชอบส่งยิ้มให้เขา ตอนนี้กำลังหน้าบึ้งกับประโยคที่เขาพูดเมื่อครู่
ทำไมกันล่ะ ก็แค่พูดความจริงเองนะ ตอนนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจน่ะถูกแล้ว เพราะถ้าตั้งใจมันต้องไม่จบแค่นั้นแน่ และตอนนี้เขาอยากตั้งใจแล้ว เพราะไม่อยากเห็นน้องแพรไหมใจห่อเหี่ยว
"แต่ตอนนี้พี่ตั้งใจแล้ว"
"ตั้งใจอะไรคะ"
แพรไหมหันมามองเขาด้วยแววตาสงสัย แต่ใบหน้ากลับงอง้ำราวกับว่ากำลังงอนเขานักหนา
"ขออนุญาตทำสิ่งที่พี่ตั้งใจได้ไหมคะ"
น้ำเสียงอ่อนหวานนั่นก็น่ารักอยู่หรอกนะ แต่เขาจะมาขออนุญาตเธอทำไมกัน แพรไหมไม่เข้าใจ
"อยากทำอะไรก็ทำสิคะ น้องแพรไม่มีสิทธิ์ห้ามพี่ไรเฟิลสักหน่อย"
ก็นี่น่ะไร่เขานี่เนอะ เธอจะไปมีสิทธิ์อะไร
ไรเฟิลแย้มยิ้มพร้อมกับเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ เงาที่สะท้อนจากกองไฟบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทั้งคู่ใกล้กันเพียงใด
ใกล้จนไอลมอุ่นร้อนที่พ่นออกมาสัมผัสกัน และมันก็ทำให้ขนอ่อนในการลุกชัน
พี่ไรเฟิลตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นะ
"ขออนุญาต"
"..."
เมื่อจมูกแตะกัน และริมฝีปากชิดใกล้ ไรเฟิลก็เอ่ยออกมาเบา ๆ
"จูบน้องแพรไหมนะคะ"
ไม่ใช่ว่าเธอไม่คิดที่จะต่อต้าน แต่ร่างกายไม่ยอมขยับต่างหาก แพรไหมยอมให้พี่ไรเฟิลพาริมฝีปากบางเฉียบมาแตะกัน และมันก็ช่างนุ่มนวลเสียเหลือเกิน
เปลือกตาขยับปิด เหตุเพราะทนต่อสู้กับแววตาหวานล้ำของพี่ไรเฟิลไม่ไหว สายตาที่แสดงออกชัดเจน ว่าอยากกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว
ตามความคิดของแพรไหมน่ะนะ
ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว คุณเจ้าของไร่และเจ้าของหัวใจไม่ได้แตะต้องเพียงริมฝีปากของเธอ แต่ความนุ่มหยุ่นกำลังขบเม้ม ชักชวนให้เธอเปิดทางเชิญชวนให้เขาได้สัมผัสลึกล้ำมากกว่านั้น
ไรเฟิลงับริมปากล่างของแพรไหม หยอกเย้าและล่อลวงให้เธอเปิดทางให้เขาได้สะดวก
และในที่สุดหลังจากคลอเคลียอยู่นานสองนาน ลิ้นร้อนที่ร้อนจนแพรไหมต้องยกมือทั้งสองข้างมาโอบไหล่ของเขาเอาไว้ เพราะหากไม่หาที่ยึดเหนี่ยว เธอเกรงว่าตัวเองจะลอยละลิ่วปลิวลงหน้าผาไป
แพรไหมยอมให้เจ้าของไร่ได้สำรวจพื้นที่ในโพรงปากจนพอใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่พอ
ความนุ่มนิ่มพัดพลิ้วลิ่วไปตามซอกฟัน หยอกเอินกับลิ้นของเธอจนแพรไหมต้องครางประท้วง นี่คือความหวานล้ำที่เธอไม่เคยพานพบมาก่อน
จากอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็นจนต้องห่มผ้าเมื่อครู่ กลับกลายเป็นร้อนฉ่าจนแพรไหมนึกอยากเปลื้องผ้าให้รู้แล้วรู้รอด
ไรเฟิลช่างช่ำชอง เขาทำให้แพรไหมอ่อนระทวยจนต้องซบหน้าลงกับไหล่กว้างเมื่อถอนจูบออก
ฉับพลันความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว
"คงจูบบ่อยสิท่า ถึงได้เก่งแบบนี้"
ไรเฟิลแย้มยิ้ม พร้อมกับลูบไล้กลุ่มผมนุ่มสลวยหอมกรุ่นนั้นไปมา
เขาจะไปจูบกับใครล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องฝึกก็ทำเป็นกันทุกคนนั่นแหละ สัญชาตญาณจะเป็นตัวนำทางไปเอง
"นี่แน่ะ"
แพรไหมทุบอกเขาหนึ่งที แต่แรงที่มีก็น้อยนิดเสียยิ่งกว่ามด แค่นี้ไรเฟิลไม่สะทกสะท้านหรอก
"พี่อยู่บนไร่ บนภูเขาก็จริง แต่พี่มีสมาร์ตโฟน มีเงินติดตั้งอินเทอร์เน็ต แค่จูบเอง ดูซีรีส์ ดูละครน้ำเน่าแค่นี้ก็ทำเป็นแล้ว"
"..."
"น้องแพรไม่เคยจูบต่างหาก ถึงได้คิดว่าพี่เก่ง"
รู้ทันอีก
"งั้นน้องแพรจะไปลองจูบกับคนอื่นดู แล้วมาเปรียบเทียบกับพี่ไรเฟิล ดูซิว่าใครจะเก่งกว่า"
"ลองดู"
ลองดูงั้นหรือ พี่ไรเฟิลไม่หวงเธอสักหน่อยเลยหรือไร จูบกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขาซึ่งเป็นจูบแรกของเธอเชียวนะ ขยันทำให้เสียใจจริง ๆ เลย
"พี่จะพาเจ้าหนมปังไปกัดให้เป็นโรคพิษสุนัขบ้าตายให้หมดเลย"
แพรไหมลอบยิ้ม เธอรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมรักพี่ไรเฟิลจริงจังจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วล่ะ
นิยามของคำว่าซึน คือพี่ไรเฟิลนี่เอง
"หวงน้องแพรเหรอคะ"
"ไม่"
ขยันทำให้เสียใจอีกแล้ว ร้องไห้ดีไหมนะ เมื่อกี้นี้ยังทำตัวหวานหยดอยู่เลยแท้ ๆ
"ไม่ปฏิเสธ"
"คนบ้า"
แพรไหมทุบไหล่เขาอีกครั้ง เธอพอจะเข้าข้างตัวเองได้จริงจังหรือยังนะ พี่ไรเฟิลจูบเธอขนาดนี้แล้ว ต้องมีใจบ้างแล้วล่ะ
ไม่รู้ว่าเธอจะใจดีเกินไปหรือเปล่า หากจะบอกว่าความรู้สึกเสียใจเมื่อครู่หายไปแล้ว หายไปราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น
"น้องแพรไหมคะ"
อย่าพูดคะขาได้หรือเปล่า น้องแพรไหมแพ้
"คะ"
"ตอนนี้พี่ตั้งใจแล้วนะ"
"น้องแพรไม่เห็นว่าพี่ไรเฟิลจะตั้งใจตรงไหนเลยค่ะ"
"..."
"ทำให้ดูอีกได้ไหมคะ"
ยัยเจ้าเล่ห์เอ๊ย ไรเฟิลดันร่างเล็กออกห่างจากตัว จากนั้นก็เคาะนิ้วลงกับหน้าผากมนหนึ่งที ได้คืบจะเอาศอกนะน้องแพรไหม เขาเองก็อยากแสดงให้น้องแพรไหมเห็นอีกเช่นเดียวกัน แต่พอคิดไปคิดมาแล้วก็ไม่ดีกว่า เดี๋ยวน้องแพรไหมจะเหลิง
"ชอบน้องแพรแล้วใช่ไหมคะ"
แพรไหมเอ่ยถามพร้อมกับจ้องหน้าเขาราวกับคาดคั้นเอาคำตอบ ไรเฟิลส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ
เขาก็แค่อยากแกล้งเธอเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ชอบจะจูบเธอทำไมกัน เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ประตูดินขนาดนั้นเสียหน่อย
"ม่ายยยย"
"แล้วมาจูบเค้าทำไม"
"นั่นสินะ ถ้าไม่ชอบจะจูบทำไม"
แพรไหมหน้างอง้ำ ไม่ดงไม่ดูมันแล้วดาว เข้านอนดีกว่า เบื่อขี้หน้าพี่ไรเฟิลแล้ว
"จะไปไหนคะ"
"นอนแล่ว เหม็นขี้หน้า"
"ยังคุยกันไม่จบเลยนะคะ"
"ไม่คุยกับคนใจร้าย"
แพรไหมสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดหลวม ๆ ที่แสนอบอุ่นของเขา จากนั้นก็ก้าวเร็ว ๆ ไปยืนรออยู่ที่หน้าเต็นท์
ไรเฟิลลุกขึ้นตาม รวบเอาผ้าห่มกับหมอนมาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็เดินดุ่ม ๆ เข้าเต็นท์ไป กองไฟที่ลุกโชติช่วงเมื่อครู่เริ่มดับมอด แต่แสงของดวงดาวยังสว่างไสว แต่ต่อให้สวยเท่าไหร่ ก็ไม่สวยสดงดงามเท่าคนตัวเล็กในอ้อมกอดของเขาหรอกนะ
"หนาวหรือเปล่า"
"ถ้าน้องแพรบอกว่าไม่ พี่ไรเฟิลจะกอดน้องแพรแบบนี้ไหมคะ"
ร่างสูงแกล้งส่ายหน้าช้า ๆ ทั้งที่ความจริงในใจเขาก็คือ ต่อให้แพรไหมจะร้อนหรือหนาว ถ้าเขาอยากกอดก็จะกอดอยู่ดี เหมือนในตอนนี้ไง
"ใจร้ายอีกแล้ว"
"ทำไมถึงชอบบอกว่าพี่ใจร้ายจังคะ"
"ก็พี่ไรเฟิลจูบน้องแพรแล้วไม่รับผิดชอบ แถมยังมากอดอีก น้องแพรก็ลูกมีพ่อมีแม่นะคะ"
"น้องแพรยังกอดพี่เลย แถมยังขโมยจุ๊บแก้มพี่โดยไม่รับอนุญาตอีก"
"เมื่อกี้น้องแพรก็ยังไม่อนุญาตเลย พี่ไรเฟิลน่ะจูบเอา ๆ"
ดูคุณหนูจอมป่วนคนนี้พูดเข้า จูบเอา ๆ ตรงไหนกัน เขาจูบแค่ครั้งเดียวเองนะ
"งั้นเอาคืนไปไหมล่ะ"
"อะไรคะ"
"จูบไง"
"..."
"เอาคืนไปเร็ว"
ไรเฟิลเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ แถมยังทำปากจู๋อีก เขาคิดว่าเธอจะกล้าทำหรือไง คนยิ่งเขิน ๆ อยู่ พี่ไรเฟิลโหมดน่ารักแบบนี้ เธอเตรียมรับมือไม่ทันหรอกนะ
"ออกไปห่าง ๆ เลย"
แพรไหมผลักหน้าเขาออกห่าง จากนั้นก็ขยับหัวลงหนุนแขนของเขาแล้วซุกหน้าลงกับอกอุ่น ๆ นั้นในทันที ไม่นอนแล้วหมอนใบเดียวกัน นอนหนุนแขนพี่ไรเฟิลอุ่นกว่าเยอะ
ไรเฟิลยิ้มเต็มหน้า แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดทำไมเขาถึงได้มีความสุขขนาดนี้ ต้นเหตุเป็นเพราะแพรไหมเขารู้ดี แต่ตอนนี้ยังไม่ยอมรับเต็มประตูหรอกนะว่าชอบน้องแพรไหม
ก็แค่ไม่ปฏิเสธเท่านั้นเอง