3 วันผ่านไปแล้ว หลังจากที่ทะเลาะกันคินณภัทรเขาก็กลับมานอนที่บ้านทุกวัน แต่ไม่พูดคุยกับภรรยาเลยสักคำเดียว ดูเหมือนว่าแพรไหมเองก็โกรธเคืองเขาเรื่องวันนั้นอยู่ไม่น้อย หญิงสาวไม่แม้แต่จะทักทาย ไม่แม้แต่จะเตรียมอาหารไว้รอ แต่วันนี้มาแปลกเธอเตรียมอาหารไว้หลายที่ เหมือนกับว่าบ้านหลังนี้จะมีใครมาเยี่ยมเยือนอย่างนั้น
“ใครจะมางั้นเหรอ ทำไมต้องเตรียมอาหารไว้เยอะขนาดนี้”
“คุณพ่อคุณแม่จะมาเยี่ยม แพรก็เลยต้องเตรียมต้อนรับ” น้ำเสียงนิ่งเรียบตอบกลับ
“แล้วทำไมพี่ไม่รู้ล่ะว่าพ่อกับแม่จะมาเยี่ยม?”
แพรไหมปรายสายตาขึ้นมองสามีอีกครั้ง หลายวันมานี้เธอไม่อยากเห็นหน้าเขา เธอไม่อยากมองหน้าเขาเลย แต่ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้คงต้องจำใจมอง
“แล้วเวลาที่คนอื่นโทรไปหาพี่เคยรับสายใครบ้างหรือเปล่าคะ?”
ก็จริงอย่างที่แพรไหมว่า แม้แต่พ่อกับแม่โทรมาหาเขาก็ไม่อยากจะรับสายพวกท่านเลยสักครั้ง เพราะถ้ารับสายไปคำถามแรกที่ได้ยิน “ใกล้จะมีหลานหรือยัง เมื่อไหร่จะได้อุ้มหลานสักที” เป็นคำถามที่น่าเบื่อสำหรับเขามาก เพราะเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่เคยคิดว่าจะมีบ่วงมาผูกคอเลยสักวัน
“พี่จะอยู่ทานข้าวด้วยกันหรือว่าพี่จะออกไปนอกบ้านอีกคะ แพรจะได้เตรียมคำตอบไว้ให้กับพ่อและแม่ของพี่ได้ฟังถูก”
“ถ้าพ่อแม่มาพี่ก็ต้องอยู่บ้านสิ แพรนั่นแหละไปฟ้องอะไรพ่อกับแม่พี่บ้างแล้ว?”
“ทำไมแพรต้องฟ้องคะ พี่คินเห็นแพรเป็นยังไง?”
“ไม่พูดมากก็ดีแล้ว ช่างมันเถอะเอาเป็นว่าวันนี้พี่อยู่บ้านก็แล้วกัน”
แพรไหมหันหน้ากลับไปจัดโต๊ะอาหารของเธอต่อ ไม่อยากพูดคุย ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับสามีในนามของเธออีกแล้ว ตั้งแต่วันนั้นที่เกิดเรื่องเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าเธอจะยอมถอยออกมาหนึ่งก้าวหรืออาจจะมากกว่านั้นในอนาคต เพราะสิ่งดี ๆ ที่เธอพยายามมอบให้มาตลอด ในเมื่ออีกคนไม่อยากรับเธอก็ไม่อยากยัดเยียดให้เขาต้องรับมันอยู่แล้ว สู้เป็นคนนั้นที่ถอยกลับยังจะง่ายเสียกว่า
2 ชั่วโมงต่อมา
บิดาและมารดาของคินณภัทรพากันมายังเรือนหอของลูกชายเพียงคนเดียว หอบหิ้วของกินและของฝากมาให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ที่ไม่ได้พบเจอหน้ากันมาหลายเดือนแล้ว แพรไหมรีบเดินออกไปต้อนรับคนทั้งคู่อย่างอารมณ์ดีเช่นเคย
“โห ซื้ออะไรมาบ้างคะเนี่ยเยอะแยะไปหมดเลย”
“แม่เราน่ะสิซื้อของมาบำรุงลูกสะใภ้ เผื่อจะได้อุ้มหลานเร็วขึ้นกว่าเดิมเห็นว่าอย่างนั้นนะ ฮ่า ๆ ๆ”
คุณกิตติชัยบอกกับลูกสะใภ้อย่างอารมณ์ดี แพรไหมได้แต่ยิ้มเจื่อนส่งให้ จะให้เธอมีลูกกับคินณภัทรคงเหมือนฝันที่จะไม่มีวันเป็นจริงได้ในชีวิตนี้ เห็นทีว่าคนสูงวัยตรงหน้าคงจะกินแห้วแล้วล่ะสิงานนี้ นอกเสียจากว่าจะให้เขาไปมีกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เธอนั่นแหละคือทางออกที่ดี
“แล้วนี่พ่อตัวดีไปไหนแล้ว ไปทำงานยังไม่กลับหรือไง?” คุณเอมอรสอดส่องสายตาจ้องมองหาลูกชายสุดที่รักของนางอีกครั้ง
“ขึ้นไปอาบน้ำเดี๋ยวก็คงลงมาค่ะ วันนี้พี่คินไม่ได้ไปไหน อยู่รอกินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ เข้าบ้านกันดีกว่านะคะ มาค่ะเดี๋ยวแพรช่วยถือให้ทั้งหมดเลย”
แพรไหมขันอาสา แต่ถูกแม่ของสามีปฏิเสธทันทีเช่นกัน ก่อนที่จะจับมือลูกสะใภ้เดินเข้าบ้านไปด้วยกัน ข้อดีของแพรไหมก็มีอยู่อย่างคือมีพ่อแม่สามีที่เอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวอีกคน แม้จะแยกบ้านออกมาอยู่เพียงแค่ 2 คนกับคินณภัทร แต่บ่อยครั้งก็ยังพากันแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่เสมอ
ทั้งสามคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกของบ้าน เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้นคินณภัทรก็เดินลงมาสมทบด้วยอีกคน
“สวัสดีครับพ่อ แม่”
ชายหนุ่มเอ่ยทักทายก่อนจะเดินเข้าไปหามารดาโอบกอดหอมแก้ม เหมือนกับคิดถึงคนเป็นแม่มากมายเหลือเกิน
“แกคิดถึงแม่แกหรือยังไงเจ้าคิน?” คนเป็นพ่อเอ่ยแซวขึ้น คินณภัทรหันหน้าไปโอบกอดบิดาอย่างไม่ให้น้อยหน้าเช่นเดียวกัน
แพรไหมจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกดีไม่ต่างกัน คินณภัทรเป็นคนที่รักพ่อกับแม่เพราะเหตุผลนี้ล่ะมั้งที่ทำให้เขาและเธอต้องมาแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอย่างเช่นตอนนี้ เหมือนกับที่เธอก็รักพ่อและแม่ของเธอมาก สิ่งที่ท่านสองคนร้องขอเธอก็ไม่ปฏิเสธเช่นเดียวกัน แต่เพราะหัวใจเธอมีเขา เธอยอมแต่งงานกับเขาเพราะความรัก ไม่ใช่ถูกบังคับให้แต่งอย่างที่เขารู้สึกกับเธอ
“แต่งงานมาเป็นปีแล้ว อ้อนเมียเก่งเหมือนอ้อนแม่หรือเปล่านะเรา”
คินณภัทรปรายสายตาหันไปจับจ้องมองหน้าของแพรไหม แพรไหมหุบยิ้มลงทันทีเมื่อสายตาคมจับจ้องมองมาที่เธอในตอนนี้ ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปพูดคุยกับมารดาอีกครั้ง
“พ่อกับแม่ว่างหรือไงครับ ถึงได้พากันมากินข้าวบ้านนี้ได้”
“พ่อกับแม่ก็แค่มาดูว่าเป็นอยู่กันยังไง จะมาดูลูกสะใภ้ด้วยว่าใกล้มีหลานให้ปู่กับย่าอุ้มกันหรือยัง”
“แม่เลิกพูดเรื่องนี้เถอะครับ แค่มีเมียก็เบื่อตายชัก” สีหน้าของคินณภัทรเปลี่ยนไปอีกครั้ง หงุดหงิดทุกครั้งเมื่อได้ยินมารดาพูดเรื่องนี้
“ฟังดูพูดเข้า เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เบื่ออะไรกัน ลูกสะใภ้แม่ออกจะแสนดีและสวยมากขนาดนี้ แกจะไปหาที่ไหนได้ตาคิน”
“แสนดีแม่กับแสนดีผมมันต่างกันนะครับ แม่กับพ่อมากินข้าวไม่ใช่เหรอครับ รีบกินสิครับจะได้รีบกลับเลย”
“เอ๊ะลูกคนนี้นิ มันไม่ได้ยินดีต้อนรับพ่อกับแม่เลยนี่นา มีที่ไหนขับไล่ไสส่งพ่อกับแม่ให้รีบกลับ”
“พ่อครับ อย่าว่าแต่พ่อกับแม่เลย คนแถวนี้ผมก็กล้าไล่ถ้าทำให้ผมไม่พอใจ ตอนแรกว่าจะอยู่กินข้าวด้วย ผมไม่อยู่แล้วนะครับ ผมไปล่ะ”
คินณภัทรพูดจบก็เดินออกจากห้องรับแขกไปอย่างไม่สบอารมณ์เลย
“ตาคิน นั่นแกจะไปไหน?”
“ผมโตแล้ว ไม่ต้องมายุ่งกับผม”
เสียงทุ้มตอบกลับแต่ไม่ได้หันหลังกลับมามองใครอีกเลย ขาสูงยาวยังคงเดินมุ่งหน้าออกไปยังโรงรถที่จอดอยู่ พร้อมกับเสียงเหยียบคันเร่งพุ่งทะยานออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว
แพรไหมทำได้แต่นั่งนิ่ง ข่มอารมณ์เอาไว้ไม่อยากให้คนทั้งคู่ที่อยู่ตรงหน้าต้องสงสัย แต่เขาและเธอก็เมินเฉยต่อกันแบบนี้มาตั้งแต่วันนั้นที่ทะเลาะกันหน้าไนต์คลับแล้ว สำหรับเธอกิริยาแบบนี้ที่คินณภัทรแสดงออกคือเรื่องปกติมากจนชินชา