รักอุ่นใจนายเย็นชา 3
“หึหึ ***เธอเชื่อเรื่องรักแรกพบมั้ยทับทิม***” ยูยะยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ สายตาจ้องมองฉันระยิบระยับโดยที่เพื่อนเขาเอาแต่หัวเราะอย่างสนุก ฉันเลยเงยหน้ามองคนข้างๆที่ดูจะเงียบๆไป ใบหน้าเวลเริ่มซับสีแดง เริ่มอึกอัก เขาเป็นอะไรไปแล้ว
“เป็นอะไร? ถ้าอึดอัดฉันกลับก่อนได้นะฉันไม่ซีเรียส”
ฉันกระซิบบอกเขา จริงๆนะฉันกลัวเขาอึดอัดจริงๆ
“ไม่หรอก กินต่อเถอะอย่าไปฟังพวกมันมาก พวกมันบ้า”
เวลบอกฉันก่อนจะเริ่มปรับสีหน้าใหญ่เอาดูหงุดหงิดอยู่เหมือนกันระหว่างที่เพื่อนเขาหัวเราะชอบใจนั่น
“ทิมแพ้กุ้งหรอ” คิสถามอย่างแปลกใจ
“ใช่ค่ะ ทำไมหรอ”
ฉันตอบแล้วถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่แค่กุ้ง แต่แพ้อาหารทะเลทุกอย่าง”
คนข้างๆเอ่ยขึ้นเสียงเรียบๆ เรียกเสียงโห่จากเพื่อนๆเขาได้อย่างดี บอกที่ว่านี่มันเรื่องอะไรกันพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันแน่เรื่องที่ฉันแพ้อาหารทะเลจริงๆหรือมีอย่างอื่นแอบแฝง
“โอ๊ยๆๆ เจ้าชายเย็นชาเราเจอตัวจริงแล้วว่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“กูว่าแล้วไง คนนี้มันเอาจริง”
“จริงไม่จริง มันก็แอบตามแทบจะทุกวันล่ะวะ”
“สัส!! พอเลยไม่งั้นมื้อนี่มึงจ่าย”
คุณเชื่อมั้ย ตั้งแต่วันที่เขาพาฉันไปกินหมูกระทะกับเขา เขาก็เงียบหายไปเลยล่ะ หึหึ คงจะรับไม่ได้สินะดีเหมือนกันฉันจะได้หาข้ออ้างในการยกเลิกงานแต่งบ้าๆนั่น ร้านซ่อมเสร็จเราก็กลับมาเปิดให้บริการเหมือนเดิม ลูกค้ายังเข้ามาอุดหนุนอุ่นหนาฝาคั่ง ระหว่างที่ฉันนั่งเช็คยอดรายรับรายจ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มือถือฉันจะสั่นแล้วโชว์ที่ไม่ได้เมมชื่อไว้
“ค่ะ ทับทิมค่ะ”
(ทิมหรอ? อยู่ไหนน่ะ)
“คะ? ใครคะ”
ใครกันทำอย่างกับรู้จักฉัน ฉันขมวดคิ้วงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระจ่างเมื่อปลายสายบอกว่าเขาเป็นใคร
(เวล ตอนนี้อยู่ไหน)
เขาเน้นคำถามเดิม
“อยู่ร้านน่ะ ทำไมหรอ?” ฉันตอบไปตามตรงเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้ ถือโอกาสพักสายตาไปด้วย
(เปล่าแค่โทรถามน่ะ//สัส! บอกไปสิว่าคิดถึงเขาอยากเจอเขาน่ะ) เสียงตะโกนแทรกเข้ามามันไม่ได้ชัดอะไรหรอกมันมีเสียงโหวกเหวกโวยวายแทรกเข้ามาตลอดเลย
“มีอะไรหรือเปล่า”
(คือ...)
“เวล แปปนึง”
ฉันบอกปลายสายเสียงเบาเขาก็เงียบเสียงลงทันที ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาในห้องทำงานพรางทำหน้าเกรงใจเมื่อพบว่าฉันคุยโทรศัพท์อยู่
“คุณทิมครับ คุณท่านมาหาครับ” ฉันร้องเฮอะในคออย่างเย้ยหยันตัวเอง ตั้งแต่ที่แม่เสียเขาไม่เคยมาที่นี่เลย ทำไมจู่ๆวันนี้ถึงมาได้ล่ะ
“บอกว่าฉันไม่ว่าง ให้เขากลับไปได้เลย”
“แต่คุณทิมครับ”
“ก็ได้ฉันจะไปเจอเขา”
ผู้จัดการร้านเดินออกไปฉันถึงได้เริ่มเก็บเอกสารเพราะนี่ก็ถึงเวลาปิดร้านแล้วแต่ก็ยังมีลูกค้าบางส่วนที่เหมาโซนบาร์ฉลองกัน ต้องรอให้ถึงเวลาที่เขาจองก่อนถึงจะปิดร้านได้
(ทิม มีอะไรหรือเปล่า)
โอ๊ะ ฉันลืมเขาไปเลย นึกว่าเขาจะวางไปแล้วสะอีกไม่คิดว่าจะยังถือสายรอ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้นะ”
(กลับถึงบ้านแล้วโทรมานะ เข้าใจมั้ย)
“อือ”
ฉันเดินลงมาจากชั้นสองของร้านก็เจอกับชายหญิงคู่หนึ่งที่ดูรักกันปานจะกลืนจะกิน ทันทีที่เห็นฉันเดินลงมาทั้งคู่มองฉันพร้อมรอยยิ้มที่ฉันดูยังไงมันไม่สามารถซึ้งตามได้เลยจริงๆ
“ไม่ทราบว่ามีอะไรคะ??”
“อย่าพูดห่างเหินกับพ่อแบบนั้นสิ” เขาเอ่ยตัดพ้อฉัน เพิ่งรู้ว่าเขายังจำได้ด้วยว่าเคยมีลูกอย่างฉัน
“ถ้าคุณไม่มีธุระฉันขอตัวนะคะ”
“เมื่อไหร่จะเลิกงี่เง่าแบบนี้สักทีทิม!!”
หึ! เขาก็พูดได้นี่เขาไม่ใช่ฉันไม่รู้เลยว่าฉันต้องทนเจ็บ ต้องนอนร้องไห้กี่คืนถึงกี่คืน
“คุณมีเรื่องจะ...”
เพี๊ยะ!!
เสียงฉันขาดหายเมื่อฝ่ามือคนตรงหน้าตวัดเข้าที่ซักหน้าฉันอย่างแรง มันเจ็ฐแปลบก่อนจะค่อยๆชาไปทั้งหน้าและลามไปถึงหัวใจ
“พ่อขะ...”
“อย่าแทนตัวเองว่าพ่อเลย”
“...”
“เดี๋ยวลูกคุณจะโกรธเอานะที่มาเรียกฉันว่าลูกแบบนี้น่ะ” ขอบตาฉันเริ่มร้อนผ่าว ฉันก็อยู่เงียบๆของฉันมาตลอดสี่ปีแต่พอวันที่เขาเรียกให้ฉันกลับเข้าไปรับรู้เรื่องแต่งงานบ้าๆนั่นเขาก็ทำเหมือนห่วงฉันจนต้องโทรมา ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายบอกที่จะตัดขาดกับฉันเอง ถ้าไม่มีร้านนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะมายืนจุดๆนี้ได้มั้ย
“พ่อขอโทษลูก กลับไปอยู่บ้านเรานะ”
“ลูก?”
เสียงฉันหายเข้าไปในลำคอ ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด
“คุณบอกฉันเองว่าฉันไม่ใช่ลูกคุณแต่เป็นแค่ลูกยัยโง่ที่ตรอมใจตายเพราะผัวมีเมียน้อยไงล่ะ!!”
เพี๊ยะ!!
เขาตวัดฝ่ามือใส่หน้าฉันเต็มแรงมุมปากสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างซึมออกมา พอจะรู้แล้วล่ะว่ามันคือเลือดเลวๆของคนอย่างฉันนี่แหละ
“คุณบอกฉันว่าเลิกเรียกคุณว่าพ่อเพราะกลัวว่าลูกคุณจะน้อยใจ กลัวภรรยาที่คุณรักจะอึดอัด ฉันก็ทำตามแล้วไงจะเอาอะไรกับฉันอีกล่ะ จะกลับมายุ่งอะไรกับชีวิตฉันฉันก็ถอยออกมาจากครอบครัวคุณแล้วไง อ้อ ลืมไป ฉันยังไม่ได้คืนนามสกุลให้คุณนี่เอง งั้นรบกวนรอหน่อยนะคะท่านประธานเดี๋ยวดิฉันจะคืนทุกอย่างให้คุณเองค่ะ”
“หยุดสามหาวสักที!! ฉันเป็นพ่อแกนะตั้งแต่แม่แกตายไปคงไม่มีใครมาอบรมสั่งสอนแกสินะ”
“อย่าดึงแม่ดิฉันเข้ามาเกี่ยวค่ะ!!”
“ทำไม ตั้งแต่แม่แกตายฉันก็ส่งเสียเงินให้แกตลอดทำไมแกยังเนรคุณกับฉันแบบนี้ฮะ!” เขาตวาดใส่ฉันเสียงดัง โดยไม่สนใจสายตาของใครที่มองมานี่เลย
“พี่นัทช่วยไปหยิบกล่องในห้องทำงานให้หน่อยค่ะ อยู่ใต้โต๊ะ”
“การที่ฉันยอมเป็นยัยโง่แต่งงานเพื่อธุรกิจของคุณมันยังทำให้ฉันดูเนรคุณฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วล่ะ”
ฉันไม่พูดอะไรจนกระทั่งพี่นัทวิ่งกลับมาพร้อมกับยื่นกล่องสีเงินให้ฉัน ฉันเปิดกล่องนั้นช้าๆสิ่งที่อยู่ในกล่องทำเอาผู้ชายที่ตบหน้าฉันเบิกตากว้าง
“ตั้งแต่ที่คุณบอกให้ฉันเลิกยุ่งกับคุณตัดขาดกับคุณฉันก็ไม่เคยแตะของๆคุณเลย เงินทุกบาททุกสตางค์ที่คุณโอนเข้ามาในบัญชีมันยังอยู่ครบ ทอง เครื่องเพชรที่คุณเคยให้ทั้งก่อนที่แม่ฉันจะไม่อยู่หรือหลังฉันไม่เคยหยิบมันออกมาใช้เลย”ฉันวางกล่องลงตรงหน้าพวกเขา สายตาที่พวกเขามองมามันยิ่งทำให้ฉันดูน่าสมเพช หึ เจ็บเกินกว่านี้มีอีกมั้ย
“ทำไม?...”
”ทำไมน่ะเหรอ? เพราะฉันจะไม่มีวันแตะของพวกนั้นของคุณเด็ดขาดยังไงล่ะ เก็บของพวกนี้กลับไปซะเอากลับไปให้คนที่คุณแคร์นู่น” ฉันพูดเสียงสั่นเครืออยากจะร้องไห้แต่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะไม่อยากจะอ่อนแอให้คนอย่างพวกเขาเห็น
“ตั้งแต่วันนั้นฉันไม่เคยแตะเงินคุณเลยสักบาท ฉันรอดมาได้เพราะร้านอาหารของแม่ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจนะคะ ไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ อ้อ! หวังว่าคุณจะไม่กลับมาที่นี่อีกนะคะเพราะที่นี่ไม่ต้อนรับคุณและครอบครัวค่ะ”