พอคิดว่าจะต้องกลับไปในวันพรุ่งนี้แล้ว แก้วตาก็ไม่สบายใจเอาเสียเลย เหลือบมองนาฬิกาที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ เห็นว่าเพิ่งจะหนึ่งทุ่ม
เธอจึงตัดสินใจออกจากบ้าน กะว่าจะไปร้านของชำที่อยู่ไม่ไกลจากหน้าทางเข้าไร่สักเท่าไร อย่างน้อยก็ไปหาซื้อขนมขบเคี้ยว น้ำวงน้ำหวานมากินเพื่อคลายเครียด
ที่หน้าบ้านที่จักรยานแม่บ้านซอมซ่ออยู่ เธอจึงอาศัยตอนที่พยัคฆ์อาบน้ำลอบออกไปในตอนนั้น
แต่ซื้อของเสร็จแล้วก็ยังไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากเจอหน้าพยัคฆ์ เพราะนอกจากจะเจ็บหนึบในอกแล้ว ยังจะทำหน้าไม่ถูกอีก คิดว่าถ้าเขารู้ว่าเธอออกมาข้างนอกโดยไม่ขออนุญาตเขาหรือบอกไว้ก่อน จะถูกต่อว่าอีกมากมายเท่าไร ก็ไม่อยากกลับไปแล้ว ประจวบเหมาะกับที่คนงานหญิง
วัยกลางคนที่เล่าเรื่องเสือให้เธอฟังเมื่อช่วงเช้าแวะมาซื้อของใช้พอดี จึงได้ทักทายกัน
“บ้านป้าอยู่แถวนี้เหรอคะ”
“ใช่ๆ ถัดจากตรงนี้ไปประมาณโลนึงก็บ้านป้าแล้ว”
“แล้วป้ามายังไงคะ”
“เดินมาน่ะ พอดีจักรยานมันยางรั่ว แต่ของมันจำเป็นใช้ เลยต้องเดินเท้ามาซื้อนี่แหละ”
แก้วตาเหลือบมอง ของจำเป็นใช้ของคนงานหญิงนั้นเป็นผงซักฟอก จำเป็นใช้อย่างไร แก้วตานึกไม่ออกหรอก นึกออกแต่ว่า...
“งั้นให้หนูไปส่งไหมคะ หนูเอาจักรยานมา เดี๋ยวซ้อนกันไป”
“โอ๊ย ไม่ได้หรอกค่ะคุณแก้ว นี่ก็มืดค่ำแล้ว คุณเสือได้ดุกันพอดี”
ดุน่ะแน่นอนอยู่แล้ว แต่แก้วตาไม่สนใจ อยากต่อว่าเธออย่างนั้น
เธอก็จะแข็งขืน แสดงให้รู้ว่าไม่ได้กลัว อีกอย่างนะ ตอนนี้ก็ยังไม่สามทุ่มเลย ไม่ได้ทำผิดกฎ จะมาดุเธอเรื่องอะไร
“ไม่ดุหรอกค่ะ เพิ่งจะทุ่มเดียวเอง ไปส่งป้าแล้วก็กลับมาคงไม่เกินสามทุ่มหรอก นะคะ ไปกับหนู เป็นผู้หญิงเดินตอนกลางคืนมืดๆ มันอันตราย”
คนฟังอยากสวนกลับไปเหมือนกันว่าตอนแก้วตาปั่นจักรยานกลับบ้านมืดๆ คนเดียวก็อันตรายเหมือนกัน เผลอๆ จะอันตรายมากกว่าอีกเพราะเธอเป็นคนนอกพื้นที่ กระนั้นก็ปฏิเสธความปรารถนาดีของหญิงสาวไม่ได้
“ไปค่ะ ขึ้นซ้อนเลย หนูปั่นไปส่ง”
“ไปส่งแล้วรีบกลับเลยนะคะคุณแก้ว ป้ากลัวคุณเสือดุจริงๆ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เชื่อฝีปั่นของหนูได้เลย เร็วแรงทะลุนรก”
แล้วหญิงสาวก็สำแดงฤทธาออกมาให้ประจักษ์จริงๆ ด้วย เนื่องจากเธอเป็นคนกระฉับกระเฉง ออกกำลังกายบ่อย การปั่นจักรยานเร็วๆ นั้นจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงไม่ถึงสิบนาทีก็พาคนงานหญิงมาถึงยังที่หมายจนได้
แต่มาส่งแล้ว แก้วตาไม่กลับไปง่ายๆ ยิ่งอีกฝ่ายชวนเข้าไปดื่มน้ำดื่มท่าในบ้านเป็นการตอบแทน เธอก็ไม่รีรอที่จะตอบรับเลย แถมยังนั่งเล่นกับลูกหลานบ้านนี้อีกพักหนึ่งจนคนงานหญิงต้องมากระซิบบอก
“ใกล้จะสามทุ่มแล้วนะคะคุณแก้ว ป้าว่ารีบกลับเถอะค่ะ ไม่งั้น
คุณเสือจะไม่ได้แค่ดุอย่างเดียวนะ”
“ไม่ดุแล้วจะทำอะไรคะป้า”
“จะกินหัวด้วยน่ะสิ คงไม่เคยถูกคุณเสือดุใช่ไหมคะ ป้าจะบอกไว้เลยว่ารายนี้น่ะ เวลาดุไม่ใช่แค่ดุอย่างเดียว แต่ทำท่าจะเขมือบหัวคนถูกดุอยู่เนืองๆ ด้วย”
“จริงเหรอคะ”
แก้วตากลั้วหัวเราะ พอคิดภาพออกเลยว่าเป็นอย่างไร นี่ถ้าไม่ได้มาเจอกับพยัคฆ์คราวนี้ แล้วได้ยินคนอื่นพูดถึงเขาอย่างนี้ เธอคงจินตนาการไม่ออก แต่ตอนนี้นึกภาพใบหน้าของเขายามโกรธเกรี้ยวออกมาได้อย่างชัดเจน
“จริงสิคะ รีบไปเถอะ ปั่นให้สุดฝีเท้าเลยนะคะ แต่ระวังๆ ด้วยนะ
ทางมันไม่เรียบ”
พูดมาอย่างนี้แล้ว จะทู่ซี้อยู่ต่อก็คงไม่ได้ เดี๋ยวจะสร้างความเดือดร้อนลำบากใจให้กับเจ้าของบ้านเอา เธอกลับก็ได้
“งั้นหนูขอลาเลยนะคะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”
หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนออกจากบ้านไปคร่อมจักรยานแล้วออกแรงปั่นกลับไปยังไร่ของพยัคฆ์หน้าตั้ง ทว่าการกลับไปนั้นมันไม่ได้ง่ายดายเหมือนตอนมา เพราะไม่ชินเส้นทาง และจุดสังเกตซึ่งเป็นร้านค้าของชำก็ปิดไปแล้ว ทำให้กว่าแก้วตาจะหาทางเข้าไร่ได้ก็เสียเวลาไปโข เธอพอจะเดาได้เลยว่าตอนนี้เลยสามทุ่มไปแล้ว เพราะกว่าที่เธอจะออกจากบ้านของคนงานหญิง
คนนั้นมาก็สองทุ่มกว่าแล้ว
ซวย...ซวยแน่ๆ
ริมฝีปากบางขยับพึมพำคลอกับเสียงหอบแฮ่กๆ และเสียงถีบจักรยาน แก้วตาเพ่งมองเส้นทางเข้าไร่ผ่านความมืด มองไปด้านข้างเป็นระยะว่าคุ้นทางหรือไม่
ไม่...ไม่คุ้นเลย ชักไม่มั่นใจแล้วด้วยสิว่านี่ใช่ทางเข้าไร่ของพยัคฆ์หรือเปล่า
“จะมาหลงแบบนี้ไม่ได้นะไอ้แก้ว อย่านะ...”
เธออดพึมพำคนเดียวไม่ได้อีกระลอก ใจเริ่มไม่สู้ดีเมื่อนึกถึง ‘กฎ’ ของพยัคฆ์
ห้ามออกจากห้องหลังสามทุ่ม...แต่ตอนนี้เลยสามทุ่มมาแล้ว เธอยังอยู่นอกบ้านอยู่เลย
กลับถึงบ้าน ได้ตายแหงแก๋ เผลอๆ พยัคฆ์จะขับรถไปส่งเธอให้กลับไปกรุงเทพฯ ที่ขนส่งคืนนี้ด้วยซ้ำ
ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลยไอ้แก้ว...
คิดโทษตัวเองแต่ก็ยังปั่นไม่หยุด พลางสังเกตไปรอบๆ ด้วยว่าคุ้นตาหรือยัง แก้วตาเริ่มใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นแยกที่เป็นที่จอดรถ ซึ่งในวันแรกที่มาที่นี่ เธอก็ถูกปล่อยลงตรงนี้
เข้าไปในไร่ข้าวโพดอีกนิดเดียวก็จะถึงที่หมายแล้ว...
ทว่า...แก้วตากลับชะงัก ไม่กล้าปั่นจักรยานเข้าไปต่อ เพราะเสียงก่อกแก่กที่ดังออกมาจากจักรยานคันเก่าอาจจะไปเข้าหูของพยัคฆ์ได้ เผื่อเขาไม่รู้ว่าเธอออกมาข้างนอก เธอจะได้ดอดเข้าบ้านได้ง่ายๆ...ถ้าเขาไม่ล็อกประตูบ้านไว้ก่อนน่ะนะ
เอาวะ ไปตายเอาดาบหน้า!
แก้วตาจูงจักรยานฝ่าไร่ข้าวโพดที่ขึ้นสูงเต็มสองข้างทางเข้าไปด้านใน ใจก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ ไปด้วย เพราะต่อให้เธอไม่ได้ปั่นจักรยาน แต่เสียงฝีเท้าและเสียงจูงจักรยานก็ดังไปตลอดทาง
หรือบางทีเธอขี่จักรยานจะดีกว่า เพราะอย่างไรก็มีเสียงเหมือนกัน?
ก็ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะทันทีที่เธอคิดจบ ก็พลันมีเสียงประหลาดแทรกเข้ามา
พั่บๆ!
เสียง...ดังออกมาจากไร่ข้าวโพด
แก้วตาหันขวับไปมองยังต้นเสียงทันที มีแต่ความมืดมิด เธอไม่เห็นอะไรทั้งนั้น กระนั้นก็ยืนนิ่งอยู่ครู่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครจริงๆ เพราะถ้ามีคนอื่น เธอจะได้ออกวิ่งสุดแรงเกิดกลับไปบ้าน
แต่แล้ว...ก็เงียบ
แก้วตาพรูลมหายใจออกมา ปลอบขวัญตัวเองว่าไม่มีอะไร เริ่มออกเดินต่อ ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว พลันต้องหยุดชะงักพร้อมสะดุ้งโหยงอีก
พั่บๆ!
คราวนี้ไม่ได้ดังแวบเดียวแล้วหายเหมือนก่อนหน้าอีกด้วย พอดังขึ้นครั้งหนึ่ง ก็ดังต่อเนื่อง
พั่บๆๆๆ!
เหมือนกับคนกำลังวิ่งฝ่าดงข้าวโพดจนต้นข้าวโพดล้มระเนระนาดเกิดเสียง แก้วตารับรู้ได้ถึงสิ่งไม่ชอบมาพากลทันที ยิ่งเสียงนั้นมันดังเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ ด้วย ทำให้เธอตัดสินใจขึ้นคร่อมจักรยานแล้วออกแรงปั่นสุดแรงเกิดทันที
ทว่าการปั่นจักรยานบนทางลูกรังในความมืดไม่ใช่เรื่องง่าย ปั่นไปได้ไม่เท่าไร แก้วตาก็ล้มคว่ำไม่เป็นท่า ขณะที่เสียงนั้นยังคงดังเข้ามาใกล้เธอ
เธอก็รีบตะเกียกตะกายยืนขึ้นแล้วออกวิ่งหน้าตั้ง
ไปให้ถึงบ้านพักให้ได้ แล้วจะปลอดภัย!
นี่คือสิ่งที่เธอคิด แต่ไม่สามารถทำได้เมื่อสิ่งที่ไล่ตามหลังเธอมากระโจนออกจากพงไร่ข้าวโพด ตะครุบตัวเธอไว้จากทางด้านหลังด้วยพละกำลังมหาศาล
“โอ๊ย!”
ร่างบางล้มหน้าคว่ำเต็มแรง ความเจ็บปวดทำให้เธอต้องเปล่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะหวีดร้องดังขึ้นเมื่อร่างของเธอถูกฝ่ามือใหญ่ที่เต็มไปด้วยกงเล็บแข็งแรงพลิกให้นอนหงาย
ดวงตากลมที่สบประสานกับใบหน้าใหญ่ของเสือโคร่งทำให้เธอ
กรีดร้องจนเสียงหาย
เสือ!
เสือจริงๆ ด้วย!
แต่ที่ทำให้เธอต้องกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความเป็นเสือ ทว่าเป็นเพราะร่างกายในส่วนที่ต่ำกว่าศีรษะลงไป มันไม่ใช่เสือ! มันเป็นร่างกายของมนุษย์!
แก้วตาเบิกตาโพลง คิดไม่ออกเลยว่าสิ่งที่เผชิญอยู่นั้นคือสัตว์ร้ายหรืออสุรกายใด แล้วเธอก็ไม่ใคร่จะครุ่นคิดตอนนี้ด้วย สิ่งที่เธอควรทำคือเอาตัวรอดจากสิ่งที่เผชิญอยู่มากกว่า!
“กรี๊ด! ไม่นะ! ปล่อยฉัน!”
แก้วตาพยายามดิ้นรนหนี ทว่ากงเล็บแหลมคมก็กระชากเสื้อผ้าของเธอเอาไว้จนขาดดังแคว่ก หญิงสาวตัวสั่นเทา กระเสือกกระสนหนี ยอมให้ผ้าผ่อนถูกฉีกขาดหลุดลุ่ยเพื่อรักษาชีวิต กระนั้นอสุรกายตนนั้นก็ไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ ตวัดกงเล็บมาถูกท่อนแขนเธอจนเกิดบาดแผล
“โอ๊ย!”
แก้วตาร้องลั่น ทั้งตกใจ ทั้งเจ็บปวด ยิ่งเห็นร่างตระหง่านเป็นเงาตะคุ่มทาบทับตัวเธออยู่ เธอก็รีบใช้หัวคิด
ไม่ได้การละ เธอต้องทำอะไรสักอย่างให้มันเสียท่า
คิดพลางใช้ฝ่ามือคลำไปบนพื้น เจอเข้ากับก้อนหินใหญ่ จึงออกแรงคว้าแล้วฟาดมันเข้าไปที่ใบหน้าของอสุรกายตนนั้น
โฮกกก!
ไม่ได้โดนเต็มๆ แต่สามารถเรียกเสียงคำรามลั่นตามมาได้ แก้วตารีบหนีอีกครั้ง ทว่าก็ถูกตะปบกางเกงยีนส์เอาไว้ให้ตรึงอยู่กับที่ มือข้างหนึ่งของมันง้างขึ้นในอากาศ หมายจะปลิดชีพหญิงสาวในคราวนี้ ขณะที่แก้วตาเห็นแล้วก็ตะโกนร้องสุดเสียง
“พี่เสือ! ช่วยแก้วด้วย!”
ไม่รู้ทำไมถึงเรียกชื่อผู้ชายใจร้ายคนนี้ อาจเป็นเพราะจิตใต้สำนึกสั่งการก็ได้ มิหนำซ้ำยังไม่รู้อีกว่าเขาจะมาช่วยเธอหรือไม่ หรือถ้ามา จะช่วยได้หรือไม่ ไม่ใช่กลายเป็นว่าเธอพาเขามาตายด้วยอีก
เธอนี่มันโง่เง่าจริงๆ ที่คิดว่าออกมาแป๊บเดียวไม่เป็นไร
มันเป็นเรื่องความเป็นความตายเลยนี่นา!
“พี่เสือ! ฮึก...พี่เสือ!”
ถึงอย่างนั้นก็ยังร้องเรียก เธอกลัวสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า หวังด้วยว่าพยัคฆ์จะมาช่วยเธอจริงๆ ขณะที่อสุรกายตรงหน้านั้นมีท่าทีประหลาด ดวงตาของมันเป็นประกายวาบอยู่แวบหนึ่ง ก่อนมันจะลดแขนลงแล้วล่าถอยออกจากเธอไป วิ่งหายเข้าไปในไร่ข้าวโพด แล้วส่งเสียงโหยหวนตามมา
โฮกกก!
จะด้วยเพราะเหตุผลอะไร แก้วตาก็ไม่ใคร่สนใจแล้ว มันไปแล้ว เธอก็รีบดันตัวขึ้นยืน วิ่งหน้าตั้งไปยังบ้านพักทันที ไม่สนใจว่ารองเท้าจะหลุดจนต้องวิ่งบนก้อนดินก้อนหินจนเจ็บฝ่าเท้า หรือบาดแผลบนตัวจะเลือดไหลเพียงใด ขอเพียงได้เข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัย
ขอเท่านั้น...เธอขอเพียงเท่านั้น!