บทนำ
เคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่พูดเตือนกันว่า ‘ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ ไหม?
สำหรับ ‘พยัคฆ์’ ผู้กองหนุ่มประจำสถานีตำรวจใจกลางเมืองหลวงแล้ว เขาได้ยินประโยคนี้มานับไม่ถ้วนตั้งแต่เด็กจนโต รวมถึงตอนนี้ที่เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้พากองกำลังตำรวจมาเข้าจับกลุ่ม ‘เจ้าปู่ไพร’ เจ้าของตำหนักทรงเจ้าเข้าผีที่อยู่ในพื้นที่ ในข้อหาฉ้อโกง หลอกลวงประชาชน
และล่วงละเมิดทางเพศสาวน้อยสาวใหญ่ที่มา ‘ทำของ’ ณ ตำหนักนี้ด้วย
จากข้อมูลที่พยัคฆ์ได้มา คือเจ้าปู่ไพร ชายวัยกลางคนที่ตั้งตัวเป็นคนมีคาถาอาคมคนนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องการทำเสน่ห์ มักมีลูกศิษย์ลูกหา
หรือใครก็ตามที่หมายจะเพิ่มเสน่ห์ให้ตนเองเข้ามาทำพิธีกรรมต่างๆ อยู่บ่อยๆ หากแต่การทำพิธีของเขานั้น ไม่ใช่พิธีการลงนะหน้าทองปิดทองทั่วๆ ไป
แต่เป็นการฝังร่างของตนลงไปในร่างของผู้มาทำเสน่ห์ด้วย หรือที่พูดกันง่ายๆก็คือการร่วมหลับนอนกับคนที่มาทำเสน่ห์นั่นแหละ
ไม่ว่าจะชายหรือหญิง อายุมากหรือน้อย ล้วนแล้วตกเป็นเหยื่อความเชื่อของพ่อปู่ไพรทั้งนั้น เรื่องนี้จะไม่เป็นข่าวใหญ่เช่นนี้เลยถ้าหากว่าพ่อปู่ไพรไม่ไปทำพิธีกรรมให้เด็กที่อายุยังไม่ครบสิบแปดปีบริบูรณ์ จะเพราะเด็กเต็มใจหรือไม่ ก็นับว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ พ่อแม่ของเด็กที่ไปทำของตามความคึกคะนองประสาวัยรุ่นนั้นไม่ยอมความ จะเอาเรื่องให้ได้ จึงเป็นเหตุให้ถูกสืบสาวราวเรื่อง รวบรวมเจ้าทุกข์ที่ค่อยๆ มาแจ้งความทีละคนสองคน
จนมีจำนวนมาก นำไปสู่การเข้าจับกุมในที่สุด
การจับกุมพ่อปู่ไพรก็หาใช่เรื่องง่ายดายนัก ไม่ใช่เพราะว่าเขามีคาถาอาคม เข้าจับตัวไม่ได้ แต่เป็นเพราะลูกศิษย์และชาวบ้านบางกลุ่มมาออกหน้าคอยปกป้อง ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทำให้ตำรวจต้องทำงานหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จากที่จะเข้าจับโดยละมุนละม่อม กลายเป็นว่าพ่อปู่ไพรหนีออกจากตำหนักเข้าป่าไป เหล่าตำรวจเลยต้องบริหารกำลังขา วิ่งไล่ตามเข้าปารกชัฏกันเป็นทิวแถว เรื่องนี้ทำเอาพยัคฆ์หัวเสียเป็นอย่างมาก
จะงมงายกันไปถึงไหน ไม่มีใครสามารถทำให้ใครรักกันได้หรอกถ้าหากใจไม่ได้ปฏิพัทธ์กันทั้งสองฝ่าย!
พยัคฆ์ไม่เชื่อเรื่องนี้เลยสักนิด แม้แต่เรื่องความรักระหว่างชายหญิงที่มั่นคงนิรันดร์ เขายังไม่เชื่อเลย รักกันแต่แรกเริ่ม อยู่กันไปนานๆ ก็ต้องเบื่อหน่ายกันเป็นธรรมดา มันเป็นสัจธรรมของชีวิต สิ่งที่ทำให้อยู่ด้วยกันนานคือความผูกพันและความดีของแต่ละฝ่าย เป็นไปไม่ได้หรอกที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะรักอีกฝ่ายมากจนสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่เว้นกระทั่งเรื่องคุณไสยมนตร์ดำ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนรักกลับคืนมา
ใช่ เขาไม่ศรัทธาในความรักระหว่างชายหญิงสักเท่าไร นั่นเป็นเพราะเขารู้ดีว่าพ่อแม่ของเขาที่อยู่ด้วยกันจนมาถึงป่านนี้ เป็นเพราะเขา หากไม่มีเขาเป็นกาวใจแล้วล่ะก็ ป่านนี้พวกท่านหย่าร้างกันไปตั้งแต่ตอนที่พวกท่านมีปัญหาเรื่องมือที่สามแล้ว
เรี่องครอบครัวของเขา เขาไม่โทษว่าใครเป็นฝ่ายผิด ถือเสียว่าเป็นการเลือกของพ่อแม่ ซึ่งเขาเคารพในการตัดสินใจ และไม่เข้าไปยุ่งอีกแล้วด้วยเขาโตมากพอที่จะดูแลตัวเอง และปล่อยให้พวกท่านมีทางเลือกอื่นที่อิสระกว่านี้ เขาหมายถึง...หากพ่อแม่จะหย่าร้างกันในตอนนี้ เขาก็โอเคน่ะ ถ้าการอยู่ด้วยกันไม่มีความสุข เขาก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกัน
พอได้มาทำคดีนี้ เขาถึงได้หัวเสียมากเมื่อเห็นลูกศิษย์ลูกหาของพ่อปู่ไพรขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ เปิดลู่ทางให้พ่อปู่ไพรหนีไปได้
เขากับพรรคพวกวิ่งไล่ชายวัยกลางคนคนนั้นเข้าไปในป่าหญ้าแพรกเรื่อยๆ น่าแปลกที่วิ่งตามไปมา ดุเหมือนจะมีแค่พยัคฆ์เท่านั้นที่วิ่งไล่พ่อปู่ไพรมาทัน ด้วยความที่เป็นคนออกกำลังกาย แข็งแรงเป็นเนื้อแท้เดิมทีอยู่แล้ว
ไม่ทันไรก็ไล่หลังพ่อปู่ไพรที่วิ่งกระเซอะกระเซิงได้ติดๆ พอเห็นแผ่นหลังของหมอผีลวงโลกลิบๆ มือทั้งสองจับอาวุธปืนยื่นออกไปข้างหน้า ปากร้องกู่ก้องขู่
“หยุดเดี๋ยวนี้! ถ้าขัดขืนการจับกุม ผมไม่รับประกันความปลอดภัยของคุณนะ!”
แต่เสียงนั้นก็ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้ ยังคงวิ่งหนีอุตลุดจนพยัคฆ์ต้องออกปากอีกครั้ง
“ผมขอสั่งให้หยุด! เฮ้ย! บอกให้หยุด!”
พ่อปู่ไพรทำเพียงหันมามองในเสี้ยววินาทีเท่านั้น ขาทั้งสองยังคงวิ่งต่อไป จนพยัคฆ์ชักหัวเสีย
“ถ้ามีคาถาอาคมจริง ก็อย่าหนีสิวะ! พิสูจน์สิ! เอาอาคมมาสู้เลย อยากรู้นักว่าจะแน่สักแค่ไหน ไอ้พ่อปู่ลวงโลก!”
ประโยคนี้...ทั้งท้าทาย และเต็มไปด้วยอารมณ์โมโห
ไม่ใช่แต่กับพยัคฆ์ที่ต้องมาวิ่งไล่ตามพ่อปู่ไพรไม่หยุดหย่อนหรอก คนถูกดูแคลนเองก็โมโหเช่นกัน ถึงกับหยุดเท้าที่วิ่งอยู่ฉับพลันอย่างไร้เหตุผล แล้วหันหน้ามามองผู้กองหนุ่มที่ต้องหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหันด้วย
“มึง...แฮ่ก...มึงดูถูกครูบาอาจารย์กู”
น้ำเสียงหอบเหนื่อยดังลอดออกมาจากริมฝีปากของพ่อปู่ไพร พยัคฆ์มองหน้า มือยังคงประคองปืนไว้อยู่
“ใช่ ดูถูก ถ้าลุงไม่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนหมา ยอมให้จับแต่แรก
ซะดีๆ ก็ไม่พูดหรอก”
พ่อปู่ไพรจ้องมองคนตรงหน้าตาเขียว ชี้นิ้วบริภาษ
“มึงมันบังอาจนักที่กล้ามาลบหลู่ ที่กูหนีอย่างนี้ เป็นเพราะไม่อยากจะเผลอใช้คาถาอาคมกับพวกมึงหรอก มันจะเป็นบาปแก่กู! แล้วกูก็รู้ว่าใจมึงคิดอะไร มึงคิดว่าสิ่งที่กูทำเป็นเรื่องลวงโลก ไม่ใช่ของจริง มึงไม่ศรัทธาในความรัก!”
คำพูดนี้ทำให้พยัคฆ์แปลกใจไม่น้อย อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร?
แต่จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เขามาปฏิบัติหน้าที่ เรื่องมุมมองความรักของเขาไม่สำคัญ
“ยกมือสองข้างขึ้นช้าๆ แล้วผมจะไม่ทำอะไรลุง”
เขาสั่งอีกครั้ง หากแต่พ่อปู่ไพรกลับหัวเราะหึ
“เป็นอย่างนี้ก็ดี กูจะได้ไม่ต้องทำตามคำที่ครูบาอาจารย์เตือนไว้ว่าอย่าใช้อารมณ์!”
เหมือนพูดไม่รู้เรื่อง พยัคฆ์รู้สึกราวกับพูดคุยกับคนบ้า เขาถอนหายใจ ค่อยๆ ผ่อนอารมณ์ให้เย็นลง
“โอเค จะคิดยังไงก็ช่าง แต่ลุงต้องทำตามผม...ค่อยๆ ยกมือสองข้างขึ้นช้าๆ ยอมให้จับกุมตัวดีๆ จะได้ไม่เจ็บตัว”
พ่อปู่ไพรเอาแต่หัวเราะ ไม่ยอมทำตาม ยังชี้หน้าพยัคฆ์อยู่
“ผมบอกให้ทำตามผม...เดี๋ยวนี้!”
ออกคำสั่งอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ผล พ่อปู่ไพรหัวเราะออกมาอีกแล้วก็เริ่มบริกรรมคาถาประหลาดๆ ที่พยัคฆ์ไม่คุ้นหู
“ลุง! ผมบอกให้ยกมือขึ้น!”
ยิ่งปล่อยให้พ่อปู่ไพรบริกรรมคาถา เสียงพึมพำก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ
จนเสียงของพยัคฆ์ถูกกลืนไปในเสี้ยววินาที อะไรไม่ว่า รอบข้างเริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นจากการที่พ่อปู่ไพรร่ายคาถาไม่หยุด
ลมจากที่ไหนไม่รู้พัดวนรอบร่างของพยัคฆ์ ใบไม้ใบหญ้าแห้งต่างถูกพัดขึ้นกระทบร่างกาย พร้อมกับฝุ่นผงที่พากันพุ่งเข้าดวงตา จนเขาต้องปัดป้องเป็นพัลวัน
นี่...มันอะไรกัน!?
พยัคฆ์พยายามที่จะลืมตาขึ้น หากแต่ยิ่งพยายามเท่าไร เสียงของ
พ่อปู่ไพรก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น ลมแรงขึ้นทุกขณะ พัดเอาร่างเขาล้มกลิ้งไปจนปืนหลุดจากมือ เขาต้องใช้สติและความพยายามเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะตั้งหลักและลืมตาเพื่อมองภาพตรงหน้า
สิ่งที่เห็นภายใต้ม่านน้ำตานั้นคือภาพเลือนรางของพ่อปู่ไพรที่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะมีสิ่งหนึ่งทำให้พยัคฆ์ตกใจจนแทบสิ้นสติ นั่นก็คือใบหน้าของชายวัยกลางคนที่แปรเปลี่ยนเป็นรูปหน้าของเสือ จากนั้นมันก็พุ่งเข้ามาใส่หน้าเขาเต็มรัก
“โอ๊ย!”
พยัคฆ์ปวดหนึบราวกับมีคนใช้ไม้หน้าสามตีแสกหน้า เขาล้มฟุบหน้าคว่ำลงไป พยุงร่างกายตัวเองไม่ไหวอีกแล้ว อีกทั้งสติสัมปชัญญะก็เริ่มจะเลือนรางไปอีกด้วย
เลือนราง...เลือนจนไม่เห็นภาพในตาอีกต่อไป มีเพียงเสียงเหยียบย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบเท่านั้นที่เข้าโสตมาให้ได้ยิน
“คนที่มันลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์กู มักมีจุดจบไม่ดี”
พยัคฆ์พยายามที่จะตอบ หากแต่พอคิด แผ่นหลังของเขาก็รู้สึกเหมือนกับมีเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มแทงเต็มไปหมด เขากัดฟันกรอดทนความเจ็บปวด แต่ก็ทนไม่ไหว จำต้องแผดเสียงออกมา
“อ๊าก!”
สอดรับกับเสียงบริกรรมคาถาที่ดังขึ้นอีกระลอก นานทีเดียวกว่าที่เสียงนั้นจะหยุดลง เหลือแต่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่ยังแผ่กำจายอยู่ จนตอนนี้มันกระจายไปทั่วร่างของเขาแล้ว
เจ็บ...เจ็บจนทนไม่ไหว...เจ็บจนแทบสิ้นสติ...
ขณะที่พ่อปู่ไพรผู้บันดาลเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมาหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ตัวเองทำไว้
“แล้วมึงจะรู้ว่าโทษทัณฑ์ของการขัดขวางความรักของผู้อื่นและดูถูกครูบาอาจารย์กูมันเป็นยังไง”
“อึ้ก!”
พยัคฆ์พยายามจะตอบโต้กลับไป หากแต่ความเจ็บปวดทรมานนั้นทำให้เขาเปล่งเสียงใดๆ นอกจากการโอดครวญจากความเจ็บปวดได้เลย
พ่อปู่ไพรเห็นว่าผู้กองหนุ่มลุกไม่ขึ้นแล้ว ตนก็นั่งยองลงตรงหน้า เอื้อมมือไปเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นมาเล็กน้อย
“จากนี้มึงจะต้องรับโทษที่บังอาจมาดูถูกกู ดูถูกครูบาอาจารย์กู
มึงจงจำเอาไว้...ทุกยามที่หนึ่งจนเกือบฟ้าสาง มึงจะไม่เป็นตัวของตัวเอง
จะกลายเป็นสิ่งที่มึงคาดไม่ถึง และมึงจะทำลายทุกอย่างที่มึงรักสิ้น จนกว่าจะมีใครมาช่วยคลายคำสาป มึงจะต้องวนเวียนกลายร่างเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมึงพัง...ไม่รู้จบ...ตราบสิ้นอสงไขย”
ว่าเสร็จก็เป่าลมออกจากปากรดใบหน้าคร้ามครัน ผู้กองหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งกายทันที ก่อนที่ความเจ็บปวดบนแผ่นหลังจะทวีมากขึ้นจนเขาต้องกรีดร้องออกมา
“โอ๊ย!”
จากนั้นก็ดิ้นพราดๆ ทุรนทุรายราวกับถูกของเหลวร้อนฉ่าราดไปทั่วสรรพางค์กาย โดยเฉพาะที่แผ่นหลังซึ่งบัดนี้ขึ้นลายยันต์ประหลาดบางอย่างเป็นรอยแดง พร้อมๆ กับที่ร่างกายของเขากำลังกลายร่างเป็นอะไรบางอย่างที่เรียกได้ว่า ‘อมนุษย์’ หากแต่มันไม่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับคนสาปเขาได้เลย มีแต่จะยิ้มเยาะกระทั่งชายหนุ่มร้องลั่นออกมาอีก
“อ๊ากกก!”
และสลบไม่ได้สติไปในที่สุด ขณะที่ร่างกายค่อยๆ คืนกลับมาดุจมนุษย์ดังเดิม
รอบข้างเงียบงัน มีเพียงเสียงย่ำใบไม้กรอบแกรบที่ดังขึ้นจากการขยับตัวของพ่อปู่ไพรเท่านั้น ก่อนเขาจะเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา
“มึงจะได้รู้ว่าคาถาวิชาที่กูเรียนมาศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ไอ้ผู้กองกระจอก”
และ...หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย