“อยู่บ้านดีๆ อย่าสร้างความวุ่นวาย” แกล้งบีบเสียงเล็กเสียงน้อยประชดเขา ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา “แก้วอยู่ดีอยู่แล้วค่ะ ไม่สร้างความวุ่นวายด้วย แต่...มีเรื่องอยากรู้ ก็ต้องไปหาถามก่อนนะ”
ว่าจบก็พุ่งพรวดออกจากนอกบ้าน ปิดประตูแล้วมองซ้ายขวา
เอาล่ะ เธอจะไปทางไหนก่อนดี คนงานไร่ข้าวโพดก็มี คนงานไร่มันสำปะหลังก็มา
เธอคงได้คำตอบของคำถามที่สงสัยเพียบเลยล่ะ!
คำถามที่แก้วตาสงสัยหนีไม่พ้นเรื่อง ‘ทำไมถึงห้ามออกไปไหนหลังสามทุ่ม’
ตอนแรกแก้วตาเข้าใจว่านั่นเป็นกฎที่พยัคฆ์วางไว้กับเธอเพียงคนเดียว เพราะเธอมาอาศัยอยู่ในบ้านของเขา บางทีการออกมาป้วนเปี้ยนนอกห้องนอนหลังสามทุ่มมันสร้างความรำคาญให้เขา แต่พอมาถามกับคนงานของไร่แล้ว ปรากฏว่ามันไม่ใช่กฎข้อบังคับที่ใช้กับเธอเท่านั้น แต่ใช้กับทุกคนที่มาทำงานที่นี่
ห้ามกลับเข้ามาในเขตของไร่ที่พยัคฆ์ครอบครองอยู่หลังสามทุ่ม...เด็ดขาด!
ไม่ได้หวงอาณาเขตแค่กับเธอแล้ว กับคนอื่นๆ ก็หวง แก้วตาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม กระทั่งคนงานหญิงวัยกลางคนช่วยอธิบายเสริม
“คุณเสือเขากลัวว่าจะได้รับอันตรายน่ะ”
“อันตรายอะไรคะ”
“เสือ”
“หืม?”
“ละแวกนี้มีเสือ มีชาวบ้าน คนเมาหลายคนที่ไม่เชื่อฟังคุณเสือ ถูกทำร้ายมานักต่อนักแล้ว ดีที่ไม่มีใครตายหรือเป็นหนักเท่า...”
เว้นจังหวะไป ทำให้แก้วตามองหน้าคนงานคนนั้นก่อนออกปากถาม
“หนักเท่าอะไรคะ”
คนงานดูลังเลเล็กน้อย กระนั้นก็ยอมบอกด้วยน้ำเสียงอันเบา
“หนักเท่าคุณปานวาด แฟนเก่าของคุณเสือน่ะ รายนั้นโดนขย้ำ
ซะแทบเสียโฉมเลย แต่ละแผลฉกรรจ์ทั้งนั้น ได้ข่าวว่าตอนนี้ก็ยังรักษาตัวอยู่ ยังไม่หายดี”
เรื่องนี้แก้วตาก็ได้ยินมาจากพ่อแม่ของพยัคฆ์ ด้วยทั้งคู่ดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวของปานวาดให้เพราะเหตุมันเกิดขึ้นในไร่ของพวกเขา ถึงพยัคฆ์จะเลิกรากับเธอไป ก็ใช่ว่าพ่อแม่ของเขาจะปัดสวะ ไม่รับผิดชอบ รับผิดชอบจนกว่าหญิงสาวจะหายดีนั่นล่ะ
“คุณเสือเลยเป็นห่วง ถึงได้ออกกฎห้ามเข้ามาละแวกนี้หลังสามทุ่ม เพราะเสือตัวนี้น่ะ มันจะออกมาตอนดึกๆ อ้อ อีกอย่าง แถวนี้มันเปลี่ยวด้วยคุณ พอฟ้ามืดปุ๊บก็เงียบปั๊บ นอกจากเสือแล้ว ก็มีไอ้พวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด มาลักลอบทำเรื่องเลวๆ กลับเข้าบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดน่ะดีที่สุด”
คนงานอธิบายต่อ แก้วตาพอเข้าใจ แถวนี้เปลี่ยวจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า จึงไม่สงสัยอะไรอีก รีบชิ่งกลับมาบ้านก่อนที่พยัคฆ์จะกลับมา ประจวบเหมาะกับคนงานมาส่งกับข้าวเย็นพอดี หญิงสาวจึงรับไว้ พูดขอบอกขอบใจไม่ทันไร เสียงรถกระบะก็ดังแว่วเข้าหู
พยัคฆ์กลับมาพอดีอย่างประจวบเหมาะอีกด้วย ดีนะที่เธอรีบกลับมา ไม่อ้อยอิ่งคุยไร้สาระ ไม่อย่างนั้นคงได้โดนเขาดุแน่
“พี่เสือจะกินข้าวเย็นเลยไหมคะ”
หญิงสาวสลัดเรื่องที่ทำมาวันนี้ทั้งหมดไว้เบื้องหลัง ร้องถามร่างใหญ่ที่เดินสวนเข้ามาในบ้าน เขาพยักหน้าน้อยๆ ให้เป็นคำตอบ
“งั้นแก้วไปเตรียมจัดโต๊ะให้เลยนะ พี่เสือมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ค่ะ อาบน้ำสดชื่นแล้วจะได้มากินข้าว”
น้ำเสียงของเธอบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังเอาอกเอาใจ แต่พยัคฆ์ไม่หือไม่อือด้วย เขาเดินไปยังหน้าห้องน้ำพร้อมกับถอดเสื้อยืดที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อออกด้วย แก้วตาอดมองตามไม่ได้เมื่อเห็นกล้ามเนื้อหนั่นแน่นของชายหนุ่ม เธอชอบแอบดูพยัคฆ์ทีเผลออย่างนี้แหละ จะว่าเธอโรคจิตก็ได้ พอได้เห็นแล้ว มันชวนให้กระชุ่มกระชวนนี่นา
แต่ครั้งนี้ไม่กระชุ่มกระชวยเท่าไรแล้วเมื่อสายตาของเธอสังเกตเห็นรอยสักยันต์บางอย่างสีแดงปรากฏพรายที่กลางหลังของชายหนุ่ม มันเป็นยันต์ที่สีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม ด้านในมีรูปใบหน้าเสือโคร่งอยู่ พร้อมกับลงอักขระยันต์ต่างๆ ที่แก้วตาอ่านไม่ออก
อย่าว่าแต่อ่านอักขระยันต์ไม่ออกเลย ยันต์อะไร เธอยังไม่รู้ ไม่คุ้นตาเลยด้วยซ้ำ
“พี่เสือสักด้วยเหรอคะเนี่ย แก้วไม่เคยรู้เลย”
ได้ยิน พยัคฆ์ก็หันมามอง เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นจนแก้วตาทำตัวไม่ถูกกะทันหัน
“เอ่อ...พอดีเมื่อกี้แก้วเห็นรอยสักน่ะค่ะเลยทัก ไม่รู้ว่าพี่เสือจะสักยันต์อะไรกับเขาแบบนี้ด้วย”
พยัคฆ์ไม่ตอบอะไร พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงคล้ายว่ารำคาญ ก่อนจะทำท่าตรงไปเข้าห้องน้ำ ทว่าในจังหวะนั้น นอกจากรอยสักยันต์แล้ว แก้วตาก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างบนร่างกายของเขา
มีร่องรอยบาดแผลเหมือนถูกอะไรบางอย่างข่วนหรือเกี่ยวเต็มไปทั้งตัวเลย...
ไม่ใช่แผลใหญ่สะดุดตาอะไร แต่มันชวนให้สะดุดตาเพราะมันมีเยอะ แก้วตาอดไม่ได้ที่จะเอ่ย
“แล้วนั่น...พี่เสือไปโดนอะไรมาคะ รอยแผลเต็มตัวเลย ไปลุยไร่ข้าวโพดมาเหรอ”
ลุยไร่ข้าวโพดหรือ?
พยัคฆ์คิดในใจว่า ‘ใช่’ แต่ลุยไร่ข้าวโพดประสาอะไร มันถึงได้โดนใบข้าวโพดบาดมาถึงลำตัว
“ว่าแต่...ทำไมมันถึงมีบนลำตัวล่ะ พี่เสือไม่ได้ใส่เสื้อเข้าไร่เหรอคะ”
ว่าแล้วว่าคนช่างสังเกตอย่างแก้วตาจะต้องสังเกตเห็น พยัคฆ์ชะงัก หันมามองหน้าคนพูดอย่างไม่พอใจ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ”
“คะ?”
“ฉันถามว่ามันเกี่ยวอะไรกับเธอ”
แก้วตาอึกอัก จู่ๆ ถูกอีกฝ่ายมองตาเขียว เธอทำผิดอะไรนะ?
“ก็...ไม่ได้เกี่ยวหรอกค่ะ แก้วเห็นเลยลองถามดู”
“ถ้าไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ก็อย่าแส่!”
เน้นคำว่า ‘แส่’ ชัดเจนทีเดียว ยอมรับว่าแก้วตาตกใจไม่น้อย ไม่เคยถูกพยัคฆ์พูดจาแรงๆ อย่างนี้ใส่เลย แต่เธอก็ทำใจดีสู้เสือ...สู้เสือจริงๆ เสือตัวร้ายที่ยืนแยกเขี้ยวเตรียมขย้ำคอเธออยู่ตรงหน้าเนี่ย
“แก้วแค่เป็นห่วงค่ะ ไม่ได้แส่”
“ถ้าไม่ได้แส่ จะมาทักทำไม”
“เรียกว่าใส่ใจไม่ได้เหรอคะ”
“อย่ามายอกย้อน ฉันไม่ชอบ”
“ก็พี่เสือไม่มีเหตุผล พูดจากับแก้วก็แรง พูดกันดีๆ ก็ได้ค่ะ ไม่ชอบก็บอกแก้วดีๆ แก้วไม่ทักก็ได้”
“เธอพูดดีๆ ด้วยรู้เรื่องเหรอ ไล่ให้กลับก็ไม่กลับ แล้วนี่อาหารเป็นพิษอะไรของเธอหายแล้วหรือไง ถึงได้มาพูดปาวๆ ต่อปากต่อคำฉันไม่หยุดน่ะ”
แก้วตาเงียบเสียงไปทันที เธอไม่ได้อยากจะให้บรรยากาศมันเป็นอย่างนี้สักหน่อย เขานั่นล่ะที่โมโหหงุดหงิดอะไรง่ายดายไปหมด เธอยังไม่เห็นเลยว่าตัวเองทำผิดอะไร
“พูดดีๆ ไม่ต้องใส่อารมณ์ก็ได้ค่ะพี่เสือ แก้วบอกแล้วไงคะว่าแค่เป็นห่วง ถ้าไม่เป็นห่วง ไม่มาหาถึงที่นี่หรอก”
แก้วตาน้อยใจนิดๆ แล้วนะ ทว่าพยัคฆ์กลับทำให้เธอน้อยใจมากขึ้นไปอีกด้วยการหัวเราะดังหึในลำคอออกมาคำรบหนึ่ง ก่อนจะว่า
“แน่ใจว่ามาที่นี่เพราะเห็นห่วงฉัน”
“แน่ใจสิคะ ทำไมถึงจะไม่แน่ใจล่ะ”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าเธอคิดอะไร แก้วตา...”
“คะ?”
“เธอชอบฉัน ทำไมจะดูไม่ออก”
แก้วตานิ่งงันไปทันควัน ใจเต้นแรงพร้อมรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว มันเป็นความรู้สึกดีหรือเปล่านั้น หญิงสาวไม่แน่ใจในวินาทีแรก กระทั่งพยัคฆ์คายคำพูดออกมาต่อ ตอนนี้แหละที่แก้วตาตอบกับตัวเองได้ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย
“ผู้หญิงดีๆ เขาไม่เร่มาหาผู้ชายถึงที่หรอกนะ รู้เอาไว้ด้วย”
“แต่แก้วมาตามคำสั่งของคุณลุงคุณป้านะคะ ไม่ใช่...”
“ก็บอกอยู่ว่ามาเพราะเป็นห่วงฉันไม่ใช่เหรอ งั้นพ่อแม่ฉันก็ไม่น่าจะเกี่ยวด้วยมั้ง”
“คือ...มันก็เป็นเหตุผลหนึ่ง...”
“แต่เหตุผลหลักๆ ก็คืออยากมาอ่อยฉันใกล้ๆ นั่นแหละ อย่าหวังนะว่าจะได้ฉันไปง่ายๆ ต่อให้เธอแก้ผ้ามายืนตรงหน้า ฉันก็ไม่เอาเธอ”
แก้วตาถึงกับกำมือแน่น
อ่อยหรือ? ที่ผ่านมา เธอแอบรักเขาอยู่เงียบๆ ไม่เคยแสดงตัวออกมาอย่างประเจิดประเจ้อ มีแต่เอาใจใส่เขา รวมถึงอดทนข่มกลั้นเวลาเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงอื่นด้วย ตรงไหนกันที่เรียกว่าเธออ่อยน่ะ เธอเคยทำที่ไหน!?
แต่ถูกว่ามาอย่างนั้น แก้วตาก็เถียงไม่ออก หมดคำพูดไปสิ้น มีแต่ความน้อยใจที่ผุดพรายขึ้นมา จนทำให้ขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าวและปล่อยน้ำตาให้หยดแหมะลงมา
“ทำไมพี่เสือพูดจาร้ายกาจกับแก้วขนาดนี้ แก้ว...ฮึก...แก้วมาก็เพราะเป็นห่วงพี่แค่นั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรอย่างที่พี่พูดสักนิด”
“ไม่ได้คิดแล้วจะพยายามมายื้ออยู่ด้วยทำไม”
“ก็แก้ว...”
“แก้วอะไร”
“ฮึก...”
“ฉันถามว่าแก้วอะไร!?”
“แก้วเป็นห่วง! พี่เสืออยู่คนเดียว เก็บเนื้อเก็บตัวเป็นปี ที่บ้านก็ไม่ยอมติดต่อไป ใครจะไม่เป็นห่วงกันเล่า!”
หญิงสาวตะเบ็งเสียงคล้ายกับเส้นความอดทนขาดสะบั้นลง เธอยืนกรานคำเดิมว่าที่มาเป็นเพราะห่วงจริงๆ หากแต่คำพูดและความรู้สึกของเธอนั้นส่งตรงไปไม่ถึงเขา เขาได้แต่รับฟัง รับรู้ จากนั้นก็ปล่อยทุกอย่างลงพื้นอย่างไร้ค่า
“ไม่ต้องมาสนใจว่าฉันจะใช้ชีวิตยังไง ไม่จำเป็นต้องมาคอยดู คอยประกบ ไม่ว่าจะเพราะเธออยากทำเองหรือเพราะพ่อแม่ฉัน ก็ไม่ต้องทำทั้งนั้น เตรียมเก็บข้าวของแล้วไปจากที่นี่สักที ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน จับเธอยัดขึ้นรถแล้วเอาไปทิ้งที่ขนส่งด้วยตัวเอง”
“...”
“อีกอย่าง...เธอจำใส่สมองน้อยๆ ของเธอเอาไว้เลย”
“...”
“ฉันไม่มีทางรักเธอ ไม่มีวันนั้น หยุดแอบรักฉันได้แล้ว มันไร้ค่า และมันก็ทำให้ฉันอึดอัดรำคาญด้วย หยุดซะ”
พยัคฆ์ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ออกมาอย่างนี้มาก่อนเลย แก้วตาพยายามกลั้นก้อนสะอื้น แต่ก็อดที่จะร้องออกมาไม่ได้ เธอน้อยใจจริงๆ เขาไม่รักไม่ว่า แต่ไม่เห็นคุณค่าของความรู้สึกดีๆ ที่เธอมีต่อเขาเลยอย่างนี้ เธอก็ไม่ทนเหมือนกัน
จากที่คิดว่าตัวเองเก่ง ผู้ใหญ่ไว้ใจ หน้าด้านหน้าทน พร้อมจะต่อต้านขัดขืนต่างๆ มันหมดลงและพังทลายโดยง่ายราวกับเขื่อนที่บรรจุน้ำเอ่อล้นจนทะลักพังไม่เหลือซาก
ได้! อยากให้เธอกลับ เธอจะกลับก็ได้!
“ค่ะ งั้นพรุ่งนี้แก้วจะกลับเลย ไม่อยู่ให้เป็นที่ระคายสายตาพี่เสืออีกแน่นอน”
พูดจบ หญิงสาวยกมือปาดน้ำตาลวกๆ พลันสะบัดตัวหนีเข้าไปในห้องนอน พยัคฆ์มองตามแล้วถอนหายใจ เขารู้ว่าเมื่อครู่พูดแรงไป แต่ถ้าไม่พูดอย่างนี้ แก้วตาก็จะมาพัวพันอยู่ใกล้ๆ เขา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลยสักนิด
ไม่เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว...
พลางถอนหายใจอีกครั้งแล้วหลบเข้าห้องน้ำไป หวังว่าสายน้ำเย็นเยือกจากฝักบัวจะช่วยให้เขาบรรเทาความร้อนรุ่มในกายลงได้
เพราะนี่...จะเป็นอีกคืนที่เขาร้อนรุ่มจนไม่เป็นตัวของตัวเอง