บทที่ 3

1267 Words
“เมือง ปล่อยลูกค้า!” เสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างเป็นกังวล ดังขั้นเสียงฮือฮาหลังจากชายหนุ่มประกาศตออกไปอย่างหน้าตาเฉย แน่นอน เสียงนั่นมันดึงกระชากร่างฉันให้หลุดจากภวังค์เสียงในอดีตด้วยเช่นกัน ฟึ่บ! วงแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอวฉันแน่นในคราวแรก ถูกชายหนุ่มแต่งกายภูมิฐานแกะมันออกอย่างรวดเร็ว ก่อนดึงตัวฉันออกห่างเด็กเสิร์ฟคนดังกล่าวด้วยท่าทางรีบร้อน สีหน้าเขาดูเป็นกังวล เวลาที่จ้อง...เด็กเสิร์ฟคนนั้นเหลือเกิน “เราตกลงกันแล้วเมือง” ผัวะ! ยังไม่ทันสิ้นเสียงของชายแต่งกายภูมิฐานคนเดิม กลับมีชายหนุ่มท่าทางนักเลงอีกคน พุ่งตัวปรี่และออกหมัดใส่เด็กเสิร์ฟคนเดิม ราวกับว่าหมันลุ่นนั่น คือการเรียกสติให้กลับมา ทว่า เขายังกลับเอาแต่จ้องฉันแบบไม่รู้สึกรู้สา ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายนั่นอยู่ดี แถมเขายัง... “เฌอ…คิดถึง...” หัวใจฉันมันเจ็บปวดและรู้สึกหวาดกลัวไปในคราวเดียวกัน ที่เขาเอาแต่พร่ำคำพูดเดิมๆ ไม่อยากพูดเลย ว่าความจริงฉันน่ะรู้จักผู้ชายท่าทางไม่สมประกอบคนนั้นดี... และขุนเมืองคือชื่อของเด็กเสิร์ฟคนที่ว่า “กลับเถอะ...เฌอ” น้ำเสียงส่อแววเป็นห่วง แถมยังแสดงความเป็นกังวลของเจ๊แกะ ทำฉันละสายตาไปจากนัยน์ตาเรียวรีแสนคุ้นเคยนั่นโดยอัตโนมัติ และยินยอมทำตามคำเชิญชวนของเธอด้วยการหันหลังปลีกตัวออกห่างจากบริเวณนั้น โดยไม่คิดจะหันกลับไปมองอีก แม้ว่าเสียงดนตรีที่เปิดดังจนเกินรีมิตจะสามารถกลบทุกเสียงพูดคุยได้ก็ตาม แต่หูทั้งสองข้างยังคงได้ยินเสียงของเขา ดังขึ้นวนไปวนมาแบบไม่รู้จบ เฌอ...คิดถึงนะ... กลายเป็นว่าฉันคือตัวต้นเหตุ ทำให้งานปาร์ตี้วันเกดของเพื่อเจ๊แกะล่ม อันที่จริงมันก็ไม่เชิงล่มทั้งงานหรอก เพียงแค่ว่าเพื่อนคนสำคัญแบบเธอต้องขอตัวกลับก่อน เพราะฉันดันเจอบุคคลที่ไม่สมควรเจอที่ผับ แม้ว่าเวลาจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้จะผ่านมาร่วมชั่วโมงแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนเจ๊แกะ จะไม่มีท่าทีอารมณ์ดีขึ้นมาเลยสักนิด “นี่เจ๊...” ฉันเอ่ยขึ้นขัดบรรยากาศความเงียบภายในห้องพักของเธอ น้ำเสียงและท่าทางรู้สึกผิด ขณะเจ้าตัวกระดกเบียร์ขวดแล้วขวดเล่าไม่พูดไม่จา แต่ก็ไม่ใช่แค่เธอหรอกนะที่ดูท่าอารมณ์ไม่ดี เพราะผู้ชายที่นิสัยเดิมทีนิ่งเงียบเป็นหุ่นยนต์แบบเหนือเองก็ดูจะไม่ต่างกัน แถมคนทั้งคู่กันช่วยกันเงียบ เงียบ เหมือนกับไม่อยากคุยกับฉันยังไงอย่างงั้น “พวกเจ๊โกรธอะไรฉันปะ?” ในที่สุดฉันก็ทนต่อสถานการณ์ย้ำแย่ต่อไปไม่ไหว ต้องพูดออกไปในที่สุด “เจอเหตุการณ์มหาซวยแบบนั้น เธอจะให้ฉันอารมณ์ดีเต้นเพลงสามช่าหรือไง?” หล่อนแว้ดเสียงขึ้นแบบไม่สบอารมณ์ น้ำเสียงบ่งบอกเลยว่าหงุดหงิดมาก “โมโหที่สุดก็คือท่าทางของเธอ ตอนที่ห้ามเหนือนั่นแหละไหนจะคำพูดแปลกๆ ของไอ้เด็กเสิร์ฟนั่นอีก” ฉันเหลือบหางตามองเหนือเล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนว่าเขาเองก็กำลังเหลือบมองฉันกลับมาเช่นกัน แต่ไม่นานมันก็เป็นเหนือเอง ที่เป็นฝ่ายเบือนสายตาไปทางอื่น อีกทั้งยังลุกเดินออกไปที่ระเบียงแบบไม่พูดไม่จา เขาเอง...ก็คงกำลังโกรธ “เฌอ เจ๊ถามจริงๆ เฌอกับไอ้เด็กเสิร์ฟคนนั้นเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?” จู่ๆ เจ๊แกะก็แทรกเสียงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเดิมนัก เธอกระแทกขวดเบียร์ในมือลงกบพื้น จับจ้องสายตาขี้สงสัยมาทางฉันราวกับต้องการคำตอบ แถมยังกล่าวเสริม “เจ๊ขอความจริงนะเฌอ” ยิ่งถูกกดดัน ในหัวก็ยิ่งทำงานหนัก เพื่อครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ภาพในหัวดันหยุดอยู่กับภาพเหตุการณ์ในอดีตแสนเลวร้าย จนเผลอใช้สองมือโอบกอดรอบตัวเองเพื่อคล้ายความเจ็บปวดในอดีต ภาพเหตุการณ์ที่ฉันถูกทำร้ายด้วยน้ำมือของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าคนรักอย่างไม่ปรานี... “ฉัน...กับผู้ชายคนนั้นเราเคยคบกัน” ปากมันก็ว่าไป ต่างจากหัวใจที่เริ่มสั่นไหวเพราะความเศร้า ในหัวแสดงถึงภาพเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำ ฝ่ามือของเขาพุ่งเข้าใส่ที่แก้มข้างซ้ายของฉัน พูดคำจาที่ฟังไม่เป็นศัพท์เพราะฤทธิ์ยามันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บเจียนตา จนต้องยกมือขึ้นแตะที่แก้มซ้ายราวกับว่า ภาพเหตุการณ์ในภวังค์ความคิดมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาที “ฉันเลิกกับผู้ชายคนนั้นไปเกือบจะสองปีแล้วเจ๊...” “งั้นแปลว่าที่ไอ้บ้านั่นบอกว่าเธอเป็นเมียมัน...” “มันก็แค่อดีต!” ฉันขัดเสียงแข็ง เหลือบมองหน้าของบุคคลซึ่งขึ้นชื่อว่าพี่สาวด้วยแววตาจริงจัง หากแต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดในทุกครั้งที่นึกถึงผู้ชายคนดังกล่าวจนต้องรัวคำพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะความหวาดกลัวออกไปเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ “ฉันกับผู้ชายคนนั้น เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว เรื่องวันนี้น่ะ เขาพูดเองเออเองทั้งนั้น” “งั้นเรื่องที่เกิดเมื่อตอนหัวค่ำ มันคงไม่ใช่เพราะความบังเอิญสินะ” คำพูดของเธอ ยิ่งตอกย้ำสิ้นดี ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทั้งที่ฉันพยายามคิดว่ามันเป็นแบบนั้นมาตลอด และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก “แสดงว่าหมอนั่นคงรักเธอมาก ตอนเลิกกันคงจบไม่สวยล่ะสิ” เจ๊เสริมอย่างรู้ทัน พลางยกขวดเบียร์ขึ้นกระดก ขณะปรายตามองฉันเพื่อรอฟังคำตอบ “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกเจ๊...” นี่คงเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ฉันขัดความเห็นจากพี่สาวที่ฉันไว้ใจและเชื่อฟังมาตลอด ซึ่งนั่นทำเธอย่นคิ้วมองฉัน พลางวางขวดเบียร์ลงอีกครั้งอย่างนึกสงสัย “ไม่ใช่อย่างนั้น หมายความว่าไง? จบสวยแต่ตัดไม่ขาดหรือยังไง?” เธอยังรัวคำถามกลับมาเป็นชุด ตามนิสัยคนขี้สงสัย “ฉันกับเมืองจบไม่สวย...” เสียงของเจ๊ดังอ๋าแทรกเสียงเป็นกังวลของฉันโดยทันที คงเพราะนี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันยอมหลุดพูดชื่อของผู้ชายคนนั้นออกมาครั้งแรก ซึ่งฉันไม่ได้สนใจน้ำเสียงแปลกใจของเธอเท่าไหร่นัก จึงเริ่มพูดต่อ “หมอนั่นเป็นแบบนั้นตั้งแต่ตอนที่คบกันแล้วล่ะ ท่าทางเขาเหมือนคนเป็นโรคประสาท พูดจาไม่รู้เรื่อง เพราะวันเอาแต่เสพยา ไม่คิดจะหางานหาการทำที่ทำให้ฉันอึดอัดก็คือ เขามักจะแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของฉันเพียงคนเดียว ไม่เคยให้ฉันเข้าใกล้ผู้ชายคนไหน...” ฉันเงียบเสียงลงและสูดหายใจเข้า พลางเบือนสายตาไปยังประตูระเบียง เพื่อให้แน่ใจว่าเหนือไม่ได้ยินในสิ่งที่ฉันกำลังพูดอยู่ “ที่ไม่ให้เข้าใกล้ใคร แสดงความเป็นเจ้าของ มันก็เพราะว่ารักไม่ใช่เหรอ?” ฉันส่ายหน้าไปมาเบาๆ แทนคำตอบ และเริ่มพูดตอบโจทย์ปัญหาที่กำลังคาใจคนฟังว่า “ไม่รู้ว่ารักหรือเปล่า แต่ส่งที่เขาทำมันไม่ใช่ความรัก”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD