บทที่ 2

3373 Words
I want thinking about her, thinking about me ฉันคิดถึงเรื่องของเธอ คิดถึงเรื่องของตัวเอง Thinking about us, what we gon’be คิดถึงเรื่องของเราว่ามันจะเป็นยังไงต่อไปนะ Open my eyes, it was only just a dream แล้วพอลืมตาขึ้นมา มันกลับกลายเป็นเพียงแค่ภาพความฝัน So I travelled back, down that road… ฉันจึงเดินกลับไปที่เส้นทางเดิมๆ นั้น... “ยังกลัวอยู่หรือเปล่า?” “…” “ถ้ายังกลัวอยู่ คืนนี้นอนพักห้องเจ๊ก่อนก็ได้นะ” “ไม่แล้วล่ะเจ๊...เรื่องวันนี้ขอบคุณมากนะ” ฉันคลี่ยิ้มบาง ตอบปฏิเสธความรู้สึกที่มีของตัวเองออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความเป็นกังวล “ทำหน้าแบบนี้ เจ๊ไม่ค่อยอยากเชื่อสักเท่าไหร่” เธอเท้าเอว เบ้ปากบ่นไปตามประสา ก่อนหันหลังกลับไปที่หน้ากระจกบานใหญ่เพื่อจัดการแต่งหน้าแต่งตาของตัวเองต่อไป สาเหตุที่เธอดูมีท่าทางเป็นห่วงและกังวลความปลอดภัยฉันมากขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ราวๆ สองชั่วโมง ฉันดันบังเอิญเจอผู้ชายโรคจิตเข้าลวนลามระหว่างทางที่มาหาเธอน่ะสิ อีกเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้มีศักดิ์เป็นพี่สาวหรือว่าเจ๊ของฉันนั่นเอง หล่อนมีชื่อว่า ‘แกะ’ ถึงแม้ว่าเจ๊แกะจะเป็นพี่สาวของฉันก็ตามที แต่ว่าเราทั้งคู่ก็ไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดกันหรอกนะ ขอเล่าสั้นๆ เลยก็แล้วกัน เราสองรู้จักกันที่ผับแห่งหนึ่งในเมื่อ ร่วมระยะเวลาที่ผ่านมาก็จะสามปีแล้ว เจ๊แกะเป็นผู้หญิงที่ค่อยข้างอัธยาศัยดี แถมยังเป็นสายเที่ยวกลางคืน เธอคุยสนุก และคุยกับฉันได้อย่างถูกคอและลงตัว ความสัมพันธ์ ความผูกพันธ์ของเราทั้งคู่จึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ มารู้อีกทีก็พบว่าในทุกครั้งที่ฉันมีปัญหาหรือไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็จะพบว่าที่ข้างๆ จะมีเธออยู่ด้วยเสมอ ปัญหาที่ฉันเจอในช่วงหัวค่ำวันนี้ก็เช่นกัน คนที่เข้ามาช่วยเหลือได้ทันก็ไม่พ้นเจ๊อีกนั่นแหละ “จริงๆ นะเจ๊ ตอนนี้ฉันปกติดีทุกอย่าง” คนฟังเหลือบมองฉันผ่านกระจกเงา เลิกคิ้วจ้องพิจารณาจากท่าที แล้วตอบกลับมาสั้นๆ ขณะปัดมาสคาร่าแผงขนตางอนสวยแบบบรรจงคล้ายกับเตรียมตรวจออกไปเที่ยวข้างนอก “ปกติแล้วก็ดี เพราะตอนนั้นเธอดูไม่โอเค ก็เลยเป็นห่วง” “ซวยจริงๆ กะว่าจะเอาสายชาร์ตมาคืนเจ๊แล้วกลับห้องแท้ๆ ดันมาเจอเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้” ฉันบ่นพึมพำ พลางเปิดกระเป๋าสะพายของตัวเอง หยิบข้าวของตามอย่างที่ปากว่าออกมาวางบนเตียงโดยพยายามไม่นึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัว แต่ “หน้าตากับหุ่นเธอ อาจจะต้องตาต้องใจไอ้โรคจิตคนนั้นก็ได้ มันถึงได้เดินตามเธอมาแบบนั้น เข้าใจอารมณ์คนโรคจิตปะ? จิตมองยิ่งอารมณ์เปลี่ยว กลัดมันก็หาทางฟันเหยื่อซะเลย ฮิฮิ” “เจ๊อะ! พูดอะไรก็ไม่รู้ ฟังแล้วขนลุก” ฉันแย้งเสียงหลง สิ่งที่เจอก็ว่าน่ากลัวแล้วนะ พอยิ่งฟังเจ๊พูด ฉันก็ยิ่งรู้สึกขนลุกมากขึ้นกว่าเก่าอีกแหนะ จริงๆ แล้วฉันน่ะ ไม่ได้สวยหรือหุ่นดีอะไรขนาดนั้น จนทำให้ผู้ชายสักคนเดินตาม กลัดมันแล้วทำเรื่องบ้าๆ นั่นในที่เปลี่ยวๆ ได้หรอกนะ เมื่อเทียบกับตัวของเจ๊แกะ ฉันน่ะดูตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัดเลย ไม่ว่าจะหุ่นเพรียวๆ ของเจ๊ ที่เมื่อเทียบกัน ฉันดูตันๆ แล้วอ้วนไปเลย ไหนจะหน้าตาสละสวยนั่นอีก แค่เทียบกับเธอ ฉันก็เทียบไม่ติดแล้ว จะให้กล้าใช้คำว่าสวยกับตัวเองได้ยังไงกันล่ะ... “จ้องใหญ่เลยนะ นี่อย่าบอกนะว่าเธอซึมซับความวิปริตมาจากผู้ชายคนนั้น” ฉันสะดุ้งเฮือก เมื่อสายตาดันสบเข้ากับนัยน์ตาคู่สวยเฉี่ยวผ่านกระจกเงา จนต้องเบือนตาหลบไปอีกฝั่งแบบไม่ค่อยพอใจนัก ที่ตั้งแต่เกิดเรื่องเธอก็เอาแต่แซวเรื่องฉันกับผู้ชายคนนั้นไม่หยุดปาก “เจ๊เลิกพูดถึงผู้ชายคนนั้นสักทีได้มั้ย...” “ก็แค่แซวนิดเดียวเอง...” เธอแทรกเสียงขัด แถมหัวเราะร่าอย่างมีความสุข พลางวางเครื่องสำอางในมือลง แล้วเลื่อนมาจัดแต่งเครื่องแต่งกายของตัวเองให้เข้าที่พร้อมเอ่ยเสริม คล้ายกับยอมเปลี่ยนเรื่อง “ท่าทางเธอไม่ค่อยโอเค คืนนี้ไปเที่ยวกับเจ๊มั้ย?” “...” “ชุดเจ๊มีให้ เครื่องสำอางค์เจ๊ก็พร้อม ถ้ากลัวแฟนว่าเจ๊จะโทรไปคุยให้หรือไม่ก็ให้ไอ้หมอนั่นมาแจมปาร์ตี้ด้วยเลย” “ปะ ปาร์ตี้เหรอ?” เห็นไหมล่ะ ฉันเคยเดาอะไรผิดที่ไหน “วันนี้วันเกิดเพื่อนเจ๊ ไหนๆ ก็ไหนๆ คืนนี้ก็นอนห้องเจ๊ไปเลย อีกอย่างเจ๊ขี้เกียจเดินไปส่งเฌอขึ้นแท็กซี่ เพราะถ้าเจ๊เจอผู้ชายดักปล้ำ มันจะแย่เอานะ” คำบอกกล่าวติดแซวของเธอทำฉันเลิกคิ้วมองหน้าบุคคลขี้แกล้งแบบเจ๊แกะด้วยความรู้สึกหมั่นเขี้ยว แทบจะพุ่งตัวเข้าขย้ำให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่ก็อีกนั่นแหละ เธอคงจะเป็นห่วงฉันจริงๆ นั่นแหละ ถึงพยายามพูดให้มันดูตลกๆ ก็ในอีกแง่ ฉันกลับไม่รู้สึกขำขันตามไปด้วยเลยเมื่อได้ฟังเรื่องที่มีผู้ชายคนนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง “เลิกทำหน้างอ แล้วตอบมาว่าจะเอาไง” เธอเร่ง แถมยังถือวิสาสะ เดินตรงเข้ามาคว้ากระเป๋าสะพายฉันไปเสียดื้อๆ “เจ๊จะทำไรเนี่ย หูย!” “หาโทรศัพท์มือถือ เจ๊จะโทรหาแฟนเฌอ ให้ไปเจอกันที่ผับ” “ไม่เอาเจ๊ มันไม่ไปหรอก” “มันไม่ไป แต่เฌอต้องไปกับเจ๊ เดี๋ยวเลี้ยงเอง” ฉันพยายามตั้งตัว และอ้าปากพูดเพื่อให้เจ๊ฟังบ้าง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป เจ๊นั่นแหละ ดันเป็นฝ่ายพูดแทรกออกมาอีกที“ห้ามเถียง เพราะนี่ไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำสั่ง!” “TOT” NICOTIN’S PUB 22.45 น. เกือบหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น สุดท้ายฉันก็ถูกเจ๊แกะลากตัวมายังสถานที่ที่เธอนัดกับเพื่อนไว้ได้ในที่สุด แม้ว่าลึกๆ ฉันไม่ค่อยอยากมาก็ตามทีแต่เพราะทนลูกตื้อของเจ๊ไม่ไหว ทำให้ต้องจำใจมา พูดถึงผับNICOTINแห่งนี้ ฉันเองก็เพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก เพราะความเลืองชื่อและความฮ็อต อีกทั้งยังติดอันดับผับดังอันดับหนึ่งของเมือง ที่มีทุกอย่างครบครัน แถมยังบริการให้แก่ผู้คนได้ทุกระดับชนชั้น เพราะดังขนาดนี้ฉันจึงไม่เคยคิดจะย่างกรายเข้าไปใช้บริการเลยสักครั้งในชีวิต แถมยังแอบคิดด้วยว่าข้างในอาจจะมีระบบบริการที่ยุ่งยากต่างจากผับอื่นๆ แต่รู้ไหม? ฉันดันคิดผิด เพราะที่ผับแห่งนี้เรื่องของการบริการ ไม่ได้ต่างอะไรไปจากผับอื่นๆ ในเมืองเลย ที่ดูจะแตกต่างก็คงเป็นโซนที่ต่างกันออกไป เสียงเพลงที่สามารถทำให้เนื้อตัวเต้นได้ตั้งแต่ย่างขาเข้าไปเหยียบด้านในก้าวแรก รวมไปถึงการให้บริการที่ดูจะเร็วทันใจกว่าที่อื่นๆ (นี่ล่ะมั้ง คงเป็นข้อดีของที่นี่จนโด่งดังไปทั่ว) การมาเที่ยวผับกับเจ๊แกะในวันนี้ค่อยข้างน่าเบื่อไปหน่อยไม่สมกับเพลงจังหวะสนุกๆ ที่เปิดอัดหูทั้งสอง เพราะว่ากลุ่มเพื่อนที่เจ๊พาฉันมารู้จัก พวกเขาค่อยข้างเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งฉันที่เป็นเด็กแถมยังเสนอหน้ามางานทั้งที่ไม่รู้จักเจ้าของวันเกิด ทำให้วางตัวไม่ค่อยถูกนัก แม้จะเป็นแบบนั้นแต่มีอีกสิ่งที่ทำให้ความน่าเบื่อรอบตัวลดน้อยลงไปได้อย่างน่าแปลกใจ ก็คงจะไม่พ้นผู้ชายหน้าตาดี ในชุดเสื้อยืดสีดำสวมทับด้วยเสื้อแจ๊กเก็ตสีทึบ นั่งนิ่งเฉยจนเหมือนหุ่นยนต์ แถมเอาแต่ยกแก้วเหล้าสีอำพันในมือขึ้นจบไม่พูดไม่จานี่แหละ “เบื่อหรือเปล่า?” ฉันหันไปถามเขาแข่งกับเสียงดนตรี “ไม่เบื่อเท่าไหร่” พอได้ฟังคำตอบ ในก็จอดนึกขำกับท่าทีเบื่อหน่ายซึ่งเขาแสดงออกทางแววตาขัดกับคำตอบไม่ได้ “โกหกอยู่ รู้ตัวปะ?” ฉันแซว “เออ พอรู้” และนั่นแหละ คำตอบของเขา ฟังแล้วดูเหมือนเขาจงใจกวนประสาทฉันไปสักหน่อย แต่ฉันจะไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไร เพราะยังไงเสีย เหล้ารวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เราสองคนก็กินได้แบบฟรีๆ ไม่ต้องควักเงินจ่ายกันเอง ส่วนอีกเหตุผลก็เพราะ ผู้ชายท่าทางดูดีคนนี้เขาคือแฟนของฉันนั่นเอง “ถ้าเบื่อ เหนือก็บอกนะ” ฉันว่า “บอกว่าไม่เบื่อก็ไม่เบื่อดิ!” เขาเริ่มโวยวาย จนฉันเบ้ปากเพราะท่าทางและน้ำเสียงที่ขัดต่อความรู้สึกที่เขาแสดงออกมา ‘เหนือ’ เป็นคนที่ค่อนข้างขี้รำคาญ ขี้เบื่อ แถมยังเกลียดการจู้จี้จุกจิกเป็นอย่างมาก แถมยังเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บทจะโมโหก็พาลใส่ไม่สนใครหน้าไหน บทจะนิ่งเงียบก็นิ่งจนเหมือนตุ๊กตาไม่มีปากไม่มีเสียง แต่ก็น่าแปลกที่เขาดันคบกับคนพูดมากแบบฉันมาเกือบจะปี อย่างที่ใครว่า ‘เกลียดสิ่งไหนก็ได้แบบนั้น’ อิอิ เจ๊แกะดูจะสนุกสนานกับผองเพื่อน เหมือนกบว่าลืมว่าพกน้องกับแฟนน้องมานั่งด้วย อีกทั้งฉันเองก็ไม่อยากจะขัดความสุขหรือกวนเวลามีค่าของเจ๊กับเพื่อนๆ นัก ฉันจึงเอาเวลาเบื่อๆ ทั้งหมด มานั่งอ้อนแฟนตัวเอง หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า ยั่วให้หมอนี่โมโหก็ว่าได้ “เหนือ...” “ว่า?” “เบื่ออะ” ฉันกล่าวเสียงอ้อน พลางคล้องแขนเขาอย่างถือโอกาส เหนือน่ะเป็นคนค่อนข้างขี้อาย เขาไม่ค่อยชอบให้ฉันทำท่าทางอ้อนใส่ ไม่รู้เพราะเขินหรืออายที่มียัยขี้เหร่แบบฉันกระทำเรื่องน่าอายใส่กันแน่ “อย่าเยอะ นั่งนิ่งๆ” “โอ๊ย! อ้อนบ้างไม่ได้เลยไง!?” ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ชอบ แต่ก็ทำ พอทำเราก็จะเริ่มทะเลาะกัน “อย่างี่เง่า” เขาว่า “เบื่อเหนือว่ะ ไปเข้าห้องน้ำแป๊บ” ฉันที่เป็นฝ่ายเริ่มขึ้นเสียงชวนทะเลาะก็มักจะตัดบทไปเรื่องอื่นหรือไม่ก็เป็นฝ่ายหนีไปเสียงเอง เหมือนเช่นในเวลานี้ เวลาที่ฉันคิดว่าตัวเองได้เริ่มทำนิสัยแย่ๆ ใส่เขาอีกแล้ว ฉันพาตัวเองเดินไปตามทางเบียดเสียดกับผู้คนที่อัดแน่นกันเหมือนหนอน เดินมองป้ายด้านบนขนาดเล็กบอกทางไปห้องน้ำอย่างยากลำบาก เรื่องฟงเรื่องแฟนน่ะ ไม่ต้องพึ่งหรอก ป่านนี้ก็คงจะนั่งนิ่งเป็นตอไม้จิบเหล้าอยู่ที่เดิม ฟึ่บ! “เดินคนเดียว เดี๋ยวก็โดนทับตาย” แต่เปล่าเลย... เหนือไม่เคยปล่อยฉันให้ไปไหนคนเดียวหลังจากที่เราเริ่มมีปากเสียงกัน ถ้าจะพูดตรงๆ ก็ง้อนั่นแหละ ฝ่ามืออุ่นของเหนือที่กอบกุมฝ่ามือฉันไว้แน่น มันทำให้รู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง แม้ว่าเราทั้งคู่เพิ่งจะทะเลาะกันก็ตาม ฉันคิดอยู่บ่อยครั้งว่าคงไม่มีวันปล่อยมือหรือเสียมือคู่นี้ของเขาไปเด็ดขาด เพราะในชีวิตนี้คงไม่มีผู้ชายคนไหนจะทำหน้าที่แฟนได้ดีที่สุดเท่ากับคนๆ นี้แล้ว ถึงเขาจะค่อนข้างเย็นชาหรือนิ่งใส่อยู่บ่อยๆ ก็ตามที “รอหน้าทางเข้านะ” เหนือกล่าวขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาสามารถพาฉันมาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องน้ำหญิงได้สำเร็จ ก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินย้อนกลับไปที่หน้าทางเข้าตามอย่างที่ปากพูด นั่นน่ะ ความน่ารักของเขาเลย ^O^ ฉันใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวร่วมสิบห้านาที แล้วเดินกลับออกมาเพื่อไปหาเหนือตามที่เรานัดกันไว้ แต่ที่ผับแห่งนี้คนที่เข้ามาใช้บริการค่อนข้างเยอะ แถมผู้คนที่เดินผ่านไปมาบริเวณหน้าทางเข้ายังพลุกพล่านจนหนาตา ทำฉันมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร ไหนจะเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไป ทำให้รู้สึกว่าในเวลานี้ ภายในหัวเริ่มเริ่มรู้สึกมึนๆ ยิ่งพยายามเพ่งมองหาเหนือฉันก็ยิ่งรู้สึกเวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก หมอนั่นไปไหนนะ! ฟึ่บ! จู่ๆ ในตอนนั้นเองที่ร่างของฉัน ถูกกระชากอย่างแรงด้วยน้ำมือของใครอีกคนจากทางด้านหลังเซก้าวถอยหลังตามแรงแบบไม่ตั้งตัว มือของชายแปลกหน้าคนดังกล่าวยังคงจับไหล่ฉันบีบไว้แน่น จนต้องเหลียวมองเจ้าของแรงกระชากไร้มารยาทนั่นแบบไม่พอใจนัก แต่ในทันทีที่เราทั้งคู่สบประสานสายตากัน ดันเป็นฉันเสียเองที่ต้องทำตาโตด้วยความตกใจอย่างขีดสุด ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าหรี่ตาจ้องฉันคล้ายกับพินิจพิจารณาและหลุดขานชื่อออกมาเบาๆ “เฌอ...” เขาสวมชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ากับกางเกงยีนส์ขาเดฟขาดๆ สีดำ ป้ายและเนคไทที่หน้าอกบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาคือเด็กเสิร์ฟของที่นี่ ทว่า ดวงหน้าคมคายสะกดสายตานั่นมันทำให้ฉันจำได้ดีว่าเขาเป็นใคร “หนะ นาย!” เพล้ง! ข้าวของในมือของผู้ชายตรงหน้าถูกทิ้งร่วงกับพื้นจนเกิดความเสียหาย เรียกความสนใจจากสายตาผู้คนบริเวณรอบๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งที่เป็นเป็นแบบนั้น แต่เขากลับไม่แสดงท่าทีสนใจต่อสายตาหลายสิบคู่นั่นเลยสักนิด อีกทั้งยังฉวยโอกาสเอื้อมมือคว้าตัวฉันเข้าไปกอดแนบอก โดยพูดพึมพำประโยคสั้นๆ ฟังแล้วใจหายแบบไม่รู้จบ “คิดถึงเฌอ...” “ปะ ปล่อย...” “คิดถึงเฌอ...” เขาเอาแต่พูดซ้ำทวนประโยคเดิม ใบหูฉันมันได้ยินเพียงเท่านั้น แถมเขายังกระชับอ้อมกอดแน่นมากขึ้นทุกวินาที จนฉันเริ่มอึดอัดหายใจไม่ออก ได้แต่ดิ้นพยายามผลักไสเขาออกห่าง “ปล่อย!!” “คิดถึงเฌอนะ” “ปล่อย!!!” ฟึ่บ! สิ้นเสียงตะโกนร้องเพราะความหวั่นวิตก ร่างของเราทั้งคู่ก็ถูกแยกออกจากกันด้วยแรงกระชากจากมือของใครอีกคน ตัวของฉันถูกวงแขนเรียวเล็กและฝ่ามือนุ่มดึงเข้าไปกอดคล้ายกับรักษาอาการตกใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ต่างจากร่างสูงซึ่งฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวฉันอย่างถือดี ผัวะ! ผลัก!! ร่างของเขาถูกเหนือซัดหมัดพุ่งใส่หน้าแบบเต็มๆ ไม่ยั้งแรง จนล้มลงไปกองกับพื้น ฉันได้แต่มองภาพเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างคนทั้งคู่แบบนึกหวาดๆ อยู่ในอ้อมกอดและคำถามเชิงเป็นห่วงของเจ๊แกะที่ดังขึ้นแข่งกับเสียงดนตรี “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย เฌอ?” ผัวะ! หูฉันแทบจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใด ต่างจากสายตาที่เอาแต่ลอบมองเหนือที่เอาแต่พุ่งหมัดเข้าใส่เด็กเสิร์ฟคนเดิมแบบไม่สนใจสถานการณ์รอบตัว ที่น่าตกใจก็คงจะเป็นสายตาของเด็กเสิร์ฟคนนั้น ดูจะไม่ได้สนใจบุคคลที่กำลังทำร้ายร่างกายเขาอยู่เลย แต่มันดันพุ่งเป้ามาทางฉันแต่เพียงเท่านั้น “เด็กเสิร์ฟคนนี้มัน...คนเดียวกับที่ลวนลามเฌอเมื่อตอนหัวค่ำนี่!” คราวนี้เจ๊แกะเริ่มเป็นฝ่ายโวยวายเสียงดังเมื่อเธอเริ่มสังเกตเห็นใบหน้าของเด็กเสิร์ฟคนดังกล่าวแบบเต็มตา ยิ่งสร้างเสียงฮือฮาของบรรดาผู้เห็นเหตุการณ์ให้ดังมากขึ้นกว่าเก่า “ฉันต้องการพบเจ้าของร้าน ปล่อยให้คนวิปริตแบบนี้เข้ามาทำงานที่นี่ได้ยังไง!” ผัวะ! ท่ามกลางสถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ร่างของเด็กเสิร์ฟคนเดิมยังคงนอนหมอบอยู่บนพื้น สภาพบอบช้ำแบบหมดทางสู้และไร้เรี่ยวแรง เขาน่าสงสารจนฉันเผลอหลุดปากร้องห้ามเหนือ ซึ่งกำลังง้างหมัดเตรียมพุ่งทำร้ายเขาอีกครั้ง “เหนือ...พอแล้ว!” คนถูกห้ามเหลือบหางตามองฉัน แววตาของเขาในเวลานี้มันต่างออกไป แววตาที่เคยนิ่งเฉยกับทุกสิ่ง กำลังแสดงอาการตกใจออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน วูบหนึ่งที่เขากำมือตัวเองที่ง้างไว้แน่นจนสั่น ก่อนจะยอมลดมือลงแบบไม่เต็มใจนัก “ห้ามเหนือทำไม คนแบบหมอนี่น่ะ สมควรแล้วจะโดนแฟนเธอต่อยแบบนั้น!” เจ๊แกะเริ่มโวยวาย แทบยังแสดงท่าทางโมโหแทนเหนือซึ่งถูกฉันห้ามไว้แบบนั้น ทว่าในตอนนั้นเอง “แฟนเหรอ...” เสียงทุ้มกล่าวขึ้นแทรกแบบไม่เต็มเสียงนัก ทำให้เธอเงียบเสียงลงโดยทนที อีกทั้งยังรีบปรายตามองไปยังร่างของเด็กเสิร์ฟ ซึ่งใบหน้าบอบช้ำหลังจากถูกทำร้าย หัวใจฉันมันกำลังเต้นแรงมากกว่าที่เคยเป็น ในหัวเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความหวาดระแวงอย่างสุดจะทน เมื่อผู้ชายตรงหน้าเงียบเสียงลงใช้หลังมือปาดคราบเลือดจางๆ บริเวณมุมปาก โดยยังคงจับจ้องสายตามองมาที่ฉันสลับกับเหนือไปมา “เฌอ...ยุ่งกับคนอื่นเหรอ?” คำถามต่อมาจากเด็กเสิร์ฟคนเดิมกระตุกใจฉันให้หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มทั้งที่เขาไม่ได้แสดงท่าทางโมโหร้ายออกมาเลยก็ตาม “อยะ อย่าเข้ามานะ!” ปากฉันเริ่มสบถปรามทันที เมื่อบุคคลตรงหน้าเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย สาวเท้าเดินตรงเข้ามาหาพวกเราทั้งหมดอีกครั้ง “บอกว่าอย่าเข้ามายังไงละ!!!!” เขาไม่ฟังเสียงห้าม แถมยังจับจ้องสายตาไปที่เหนือ ซึ่งเหมือนจะรู้ตัวอยู่แล้วตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตา และในวินาทีที่คนทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากันแบบตรงๆ คนที่เป็นฝ่ายนิ่งงันไปดูจะเป็นเหนือเสียเอง “แดกเมียชาวบ้าน... สนุกเลยมึง” เขาถามเสียงนิ่งใส่เหนือที่เอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา แถมยังแสดงสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไร ต่างจากน้ำเสียงและคำพูดที่กล่าวออกมาโดยสิ้นเชิง “...” “กับเมียกูอะ...มันส์มากมั้ย?” คำพูดของเด็กเสิร์ฟ มันชักเริ่มทำฉันทนต่อท่าทีและน้ำเสียงใจเย็นแบบนั้นของเขาไม่ไหว และก่อนที่เขาจะทำหรือพูดอะไรใส่เหนือมากไปกว่านี้ ฉันจึงไม่รอช้ารีบผละตัวออกจากอ้อมกอดของเจ๊แกะ เข้าขวางกั้นระหว่างบุคคลทั้งคู่แบบไม่เกรงกลัว “นายน่ะ พอสักทีได้มั้ย!” เขาละสายตาจากหน้าเหนือ มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ก่อนจะทำเรื่องน่าตกใจอีกครั้ง เมื่อชายคนดงกล่าว รั้งตัวฉันเข้าไปแนบชิดแนบลำตัวเขาอีกครั้งราวกับแสดงความเป็นเจ้าของ พร้อมทั้งประกาศก้องแบบไม่แยแสใครหน้าไหน รวมไปถึงเหนือบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าแฟนฉันก็ตาม “เนี่ยเมียกู อย่างดี มึงก็ได้แค่ชู้” อีกแล้ว คำพูดของเขาเริ่มทำให้ฉันหวาดกลัวขึ้นมาอีกแล้ว แต่คนที่ดูจะประหลาดใจมากกว่าใครคงจะไม่พ้นเจ๊แกะ ที่ได้แต่เบิกตามองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสับสนและแคลงใจ ต่างจากฉันที่ในหัวดันนึกถึงคำพูดของใครคนหนึ่งเมื่อปีครึ่งที่ผ่านมา ‘ไอ้เมืองไม่มีทางปล่อยเธอให้หลุดมือ เธอไม่มีวันหนีไปจากมันได้หรอกเฌอ...’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD