‘นี่ ถามอะไรหน่อยสิ?’
‘ว่า?’
‘ถ้าตอนนี้ฉันท้อง นายจะทำไง?’
‘พูดอะไรโง่ๆ อย่าถามอะไรแบบนี้อีก’
ฉันนั่งฟุบหน้า กอดกระชับตัวเองในท่าชันเข่า กลิ่นไหม้จางๆ บริเวณปลายผมทำให้ในอกหวาดหวั่นกับวินาที่ระทึกที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าไม่ได้
นับว่าเป็นโชคดีที่หอพักแห่งนี้เป็นหอพักสตรี ที่ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนก็ไม่อาจจะผ่านคนเฝ้าหน้าทางเข้าเข้ามาภายในได้ ไม่อย่างงั้นฉันคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าฉันจะเป็นยังไง ถ้าหากผู้ชายคนนั้นวิ่งตามเข้ามาภายในหอพักแห่งนี้ได้
เสียงของเมือง ท่าทาง และแววตา พอยิ่งได้มองใกล้ๆ มันยิ่งยอกย้ำว่าเขาไม่ต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่นิดเดียว เขายังกระทำทุกอย่างเพื่อความต้องการและความสุขของตัวเอง ท่าทางที่บ่งบอกว่าเป็นเจ้าของ
น้ำเสียงข่มขู่คอยปรามให้ฉันเข็ดหลาบ เหมือนเดิมราวกับว่า ความสัมพันธ์ของเราสองคนยังไม่จบลง ทั้งที่คนที่ทำให้ทุกเรื่องพังพินาศลง...
มันก็เขานั่นแหละ…
ปี๊บ! ปี๊บ!
ฉันเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้องพักแล้วกดรับสาย
[เฌอ ตอนนี้แกอยู่ไหนอะ?] เสียงร่าเริงของเจ๊แกะ บ่งบอกถึงท่าทางที่ดูมีความสุข ฟังแล้วมันช่างน่าอิจฉา...
“อยู่ห้องน่ะเจ๊ มีอะไรหรือเปล่า”
[วันนี้ฉันถูกหวยย่ะ ออกมาหาที่ร้านอาหารร้านเดิมได้มั้ย ฉันเลี้ยงข้าว อิอิ]
“ฉันไม่กล้าออกไปคนเดียวอ่ะเจ๊”
[อะไรกันละ? อ๋อจริงสิ เพราะนายเหมืองอะไรนั่นปะ? หมอนั่นยังตามติดเธออีกเหรอ?]
“หมอนั่นชื่อเมืองเจ๊...”
[เออนั่นแหละ! อารมณ์เสียจริงๆ รอสักยี่สิบนาที ฉันจะขับรถไปรับที่หน้าหอ] พูดเพียงแค่นั้นเจ๊แกะก็ตัดสายไปโดยที่ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ
ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีดีตามอย่างที่เธอบอกไว้ เจ๊แกะก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักฉันได้ดั่งคำพูด วันนี้เธอแต่งกายด้วยชุดสบายๆ เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงยีนขาสั้น แถมตอนนี้ยังเอาแต่จ้ำจี้ให้ฉันลุกออกจากเตียงไปแต่งตัวอีกแหนะ
“ลุกจากเตียงสิยัยบ้า ฉันหิวท้องกิ่วแล้ว”
“ฉันไม่อยากออกจากบ้านเลยเจ๊...” ฉันพูดเนือยๆ ในสภาพนอนฟุบหน้ากับหมอน
“นี่หล่อน เจ๊ขับรถมาจากหอเพื่อมาพาเธอไปเลี้ยงข้าวเลยนะ เธออย่างมาทำตัวบ้าบอแบบนี้ รีบลุกไปเปลี่ยนชุด” ปากว่า มือพลางเขย่าตัวฉันคล้ายกับเร่งให้ลุก เพราะความอึดอัดต่อสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ฉันจึงพลั้งปากเพื่อหวังระบายความรู้สึกออกไปบ้าง
“วันนี้ ฉันเจอหมอนั่นอีกแล้ว...” แรงเขย่าตามตัวหยุดลงทันทีที่ฉันพูดขึ้น “หมอนั่นบอกอยากฆ่าฉัน แล้วก็จุดไฟ... แล้วพูดว่าต้องการฉัน”
“จะ... จุดไฟ...”
“ฉันควรทำยังไงดีเจ๊... กลัวว่ะ”
“แจ้งตำรวจจับเลยดีมั้ย?” เธอเสนอ
“...”
“เธอบอกหมอนั่นสมัยคบกับเธอเคยติดยาด้วยนี่ ไม่แปลกหรอกที่ตอนนี้หมอนั่นถึงได้สมองวิปริต ตามทำร้ายเธอแบบนี้” มันก็ถูกของเจ๊ เมืองคล้ายคนโรคจิตมากในตอนนี้ คงเพราะฤทธิ์ยาที่เขาเสพเข้าไปเกินขนาดแน่ๆ
ตอนนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น...
“แต่เฌอไม่ต้องกลัวนะ อยู่กับเจ๊ เจ๊มีญาติเป็นตำรวจ ถ้าหมอนั่นเข้ามาทำอะไรเธอ เจ๊นี่แหละจะลากมันเข้าคุกเข้าตารางเอง!” ได้ยินแบบนั้นฉันรู้สึกชื้นใจขึ้นมาหน่อย คงเพราะได้พูดระบายออกไปบ้างแล้ว ซึ่งฉันรู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่ใกล้เธอ ไม่ต่างจากเหนือเลยสักนิด
สุดท้ายหลังจากเจ๊พยายามเกลี่ยกล่อมให้ฉันลุกไปแต่งตัว เธอก็พาฉันนั่งรถไปยังร้านอาหารประจำที่เราทั้งคู่รวมไปถึงเหนือพากันไปนั่งบ่อยๆ
ไม่อยากจะพูดแต่ก็ต้องพูด ว่าร้านอาหารแห่งนี้อยู่ห่างจากผับNicotinออกไปเพียงสี่หัวมุมถนนเท่านั้น ทั้งที่พยายามไม่สนใจ แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อเย็น มันจึงอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าผู้ชายคนนั้นบางทีอาจจะป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ ร้านอาหารแห่งนี้
“เหม่อไรอ่ะเฌอ -_-” เสียงเจ๊แกะที่ดังท้วงขึ้น ทำฉันสะดุ้งเฮือก รีบเบือนสายตาที่เหม่อมองออกไปนอกร้านกลับมาที่หน้าเธอโดยทันที “กังวลเรื่องแฟนเก่าอยู่หรือไง?”
“ก็นิดหน่อย” ฉันตอบกลับไปแบบไม่เต็มเสียง
“เธอนี่นะ เจ๊บอกแล้วไงว่าอยู่กับเจ๊ไม่ต้องกลัว”
“…”
“ตั้งแต่ตาแฟนเก่าโรคจิตเธอกลับเข้ามาในชีวิต เธอก็คล้ายกับเป็นโรคหวาดระแวงขึ้นทุกวัน”
รู้ไหม? ฉันไม่คิดปฏิเสธคำต่อว่านั่นของเจ๊แกะเลยสักนิด ลึกๆ ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
ฉันเหมือนคนเป็นโรคหวาดระแวง มันจะไม่เป็นแบบนั้นเลยถ้าหากผู้ชายคนนั้นต่างคนต่างอยู่ ไม่ทำกับฉันเหมือนที่เคยทำในอดีต
“นี่เฌอ” อีกครั้งที่เจ๊เรียกฉันด้วยน้ำเสียงไม่ต่างไปจากเดิม แถมจ้องมองฉันด้วยสีหน้า ท่าทางอยากรู้ “สรุปแล้ว นอกจากเรื่องที่หมอนั่นทำร้ายร่างกายเธอ มันยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย สาเหตุที่เธอกับหมอนั่นเลิกกันน่ะ”
คำถามของเจ๊ในคราวนี้ ทำฉันสะอึกไปชั่วขณะ ลิ้นฉันมันแข็ง ขยับปากพูดได้อย่างยากลำบาก ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะสายตาของเจ๊นั่นแหละ
“งั้นไว้ก่อนก็ได้ ไว้เธออยากเล่าค่อยเล่าแล้วกัน” เหมือนเจ๊เองก็คงจะอ่านความรู้สึกฉันผ่านทางสีหน้า ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น “นั่งรอเจ๊แป๊บนะ เดินไปกดเงินแป๊บ”
“ไม่ชิ่งใช่มั้ย?” ฉันแกล้งแซวเธอที่ทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะ จนคนฟังย่นคิ้วมองค้อนฉันเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม
“ระวังไว้เถอะ!” เธอขึ้นเสียงใส่ปนเสียงหัวเราะ ก่อนจะลุกปลีกตัวออกไปนอกร้าน เหลือทิ้งฉันไว้เพียงลำพังกับอาหารจานรู้ตรงหน้าซึ่งยังกินไม่หมดดี
ถ้าถามถึงเหตุผลจริงๆ ที่ฉันเลิกกับเมือง มันเพราะอะไรกันนะ...
‘พูดบ้าอะไรวะ ไร้สาระจริงๆ’
‘ฉันพูดจริงๆ นะ!!’
‘เงียบปากไปได้แล้ว เฌอ!’
กึก!
‘อ๊ะ!’
โครม!
“เฌอนิม...” ฉันสะดุ้งตัวโยนหลุดจากวังวนอดีต นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ ตรงหน้ามีผู้ชายอีกคนถือวิสาสะนั่งลงบริเวณที่นั่งของเจ๊แกะแบบไม่ได้รับอนุญาต
“หนะ นาย...”
“โชคดีจริงๆ ที่เจอเธอที่นี่” เขาพูดแบบไม่ดูสถานการณ์ แถมสีหน้ายังฉาบไปด้วยรอยยิ้ม “เรื่องวันนี้ ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
“ออกไปนะ!” ฉันตวาดเสียงปรามอย่างสุดจะทน พลางขยับตัวลุกขึ้นจากที่นิ่งของตัวเอง เพื่อปลีกตัวออกห่างผู้ชายคนดังกล่าว ทว่า หมอนั่นดันไวกว่า คว้าข้อมือฉันไว้ได้ทัน พร้อมด้วยคำพูดสั้นๆ
“ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย”
“...” เขาเองก็เป็นอีกคน ที่ฉันไม่อยากเจอหน้าในตอนนี้
ผู้ชายที่อยู่ใกล้ตัวของเมือง คนที่เห็นเหตุการณ์ในช่วงเวลาสุดท้ายระหว่างฉันกับเมือง ที่สำคัญเขาคือคนๆ เดียวกับที่เข้ามาช่วยเหลือฉันเมื่อตอนเย็น
เม้าส์...
“ฉันรู้ว่ามันผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เธอยังรู้สึกใช่มั้ย?”
“จะพูดอะไร ปล่อย!” ฉันย้อนกลับไปแบบไม่เต็มเสียงพร้อมทั้งพยายามสะบัดมือให้หลุดจากฝ่ามือหนาของเขา ทว่า อีกฝ่ายกลับบีบกระชับข้อมือฉันแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บไปหมด พร้อมคำถามต่อมา
“เธอยังรู้สึกกับไอ้เมืองใช่มั้ย?”
“...” ทะ ทำไมเขาถึงถามแบบนั้น
“ตอนนี้ ไอ้เมืองมันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ เฌอนิม”
ฟึบ!
“ฉันไม่อยากรู้!!” ฉันตวาดเสียงดงลั่นไปทั่วทั้งร้านอาหาร พลางสะบัดมืออีกครั้งอย่างสุดแรงจนสามารถหลุดเป็นอิสระได้ในที่สุด “ฉันมีแฟนแล้ว พวกนายเลิกยุ่งกับชีวิตฉันสักที!!”
เสียงฮือฮาดังอื้ออึงไปทั่วภายในร้านอาหาร สายตานับสิบคู่จับจ้องมาที่เราทั้งคู่เป็นตาเดียวกันอย่างสนอกสนใจ
“เพราะว่าเธอมีแฟนใหม่ ฉันถึงอยากบอกให้เธอรู้” ทั้งที่พูดออกไปขนาดนั้น แต่เขาก็ยังไม่หยุด “เธอน่าจะรู้ดี ไอ้เมืองไม่มีทางปล่อยเธอไปเด็ดขาด”
“...”
“มันเกิดอะไรขึ้น ใจเธอรู้ดีจริงมั้ย?”