“จะลงโทษยังไงดี เฌอ?”
“อื้อ... อ่อย...อ่อยอั้น…ฮึก” ยิ่งอ้อนวอน ยิ่งร้องขอเขาก็ยิ่งทำ เหมือนทุกครั้ง
สายตาฉันในเวลานี้แทบมองไม่เห็นสิ่งอื่นใด นอกจากเปลวไฟสีส้มที่เลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมน้ำคำน่ากลัวๆ
“เคยเตือนเฌอไปแล้ว...ทำไมไม่จำ”
ความร้อนของเปลวไฟที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เส้นผมที่ปรกใบหน้าถูกเผาไหม้เล็กน้อย ส่งกลิ่นเหม็นชวนหวาดผวามากขึ้นไปอีก ทั้งที่เป็นแบบนั้น ทว่า แรงบีบรัดบริเวณปากจากฝ่ามือของเมือกลับค่อยๆ เบาลง จนกระทั่งเขายอมปล่อยออกในที่สุด
ร่างของฉันทรุดลงช้าๆ ราวกับว่าเรื่องน่ากลัวทุกอย่างถูกถาโถมเข้ามาในเวลาเดียวกันจนจิตใจรับเรื่องต่อๆ ไปอีกไหว กลิ่นไหม้ของเส้นผมยังคงลอยแตะปลายจมูกราวกับตอกย้ำการกระทำแสนน่ากลัวนั่นของเขาแบบไม่รู้จบ
เมืองย่อตัวลงนั่งจนหน้าของเขาอยู่ระดับสายตา และใช้สายตาน่ากลัวจ้องลึกผ่านนัยน์ตา คำถามสั้นๆ ถูกกล่าวขึ้นในทันที
“กลัวเหรอ เฌอ?”
“หนะ นายอย่าทำอะไรฉันเลยนะ...ฮึก เมือง” บอกไม่ถูกเลยว่าความมั่นใจตลอดสองปีที่ห่างจากเขาไปมั่นหายไปไหนหมด ทั้งที่ปกติแล้วฉันน่ะ เป็นฝ่ายขี้แกล้งคนอื่นอยู่เสมอๆ แต่ในตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว
มือสั่นเทาพยายามพนมแนบอก อ้อนวอน ร้องขอให้เมืองปล่อยฉันไป น้ำตาพรั่งพรูออกมาราวกับว่าภายในไม่กี่วนาทีข้างหน้า ลมหายใจฉันกำลังจะถูกมัจจุราชพรากไป
“เฌอ...ไม่ร้อง” คนตัวใหญ่พูดน้ำเสียงเอื่อย ใช้มือจับมือทั้งสองข้างซึ่งยกพนมออกจนพ้นทาง ก่อนเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะของเขาได้อย่างชัดเจน
ปลายลิ้นเลียปาดข้างแก้มเบาๆ คล้ายกับจะชำระคราบน้ำตาให้เหือดแห้งไป ถึงอย่านั้นฉันก็ยังไม่วายร้องขอชีวิตตัวเองอยู่ดี
“อยะ อย่าทำอะไรฉันเลย ฮึก... ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
แต่
“คิดมาตลอด อ้อนวอนพระเจ้าเพื่อหวังที่จะพบเธอ...” เขากลับพูดพร่ำบางอย่างออกมา ราวกับไม่ได้ยินน้ำเสียงหวาดหวั่นร้องขอ แถมเสียงของเขามันก็ใกล้ใบหูเอามากๆ โดยเฉพาะรดหายใจอุ่นที่เป่ารดแก้มนั่นก็ด้วย “แต่การสวดอ้อนวอนพระเจ้า มันไม่ได้ช่วยอะไร...”
“...”
“เพิ่งรู้...ว่าตัวฉันเองนี่แหละคือพระเจ้า”
บ้า! บ้าไปแล้ว เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ตั้งแต่เจอเธอ...ฉันก็คิดมาตลอด ว่าอยากจะทำมันอีกสักที” สิ้นเสียงของเขา คือวินาทีเดียวกันกับที่เราสบสายตากันแบบตรงๆ แววตาของเขาไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา ขณะที่มือแกร่งกำบีบฝ่ามือของฉันซึ่งทาบชิดกันไว้แน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
“อยะ อย่า...จะทำอะไร!?”
“ฉันอยากฆ่าเธอ...อยากเผาเธอให้มอดไหม้มันเสียตอนนี้...” ว่าแล้วซิปโปในมือก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง แถมเขายังเลื่อนมันเข้ามาใกล้ใบหน้าฉันมากขึ้น จนต้องเอี้ยวตัวหลบความร้อนนั่นโดยอัตโนมัติ
“หนะ นายต้องการอะไรอีก...ปล่อยฉันไปเถอะ”
ไม่มีเสียงตอบจากคนตัวใหญ่ตรงหน้า ทว่า เมืองกลับบีบบังคับแรง โดยการจับมือฉันที่พนมค้างไว้เคลื่อนลงต่ำไปยังระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา โดยยังจ้องลึกผ่านนัยน์ตาฉันอยู่แบบนั้น
ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ ว่าในหัวเขาตอนนี้กำลังคิดอะไร
“อยะ หยุดนะ!” เพราะรู้ จึงพยายามยื้อแรงไว้เพื่อให้หลุดจาดฝ่ามือดังกล่าว แต่มันก็คงไม่ทัน เมื่อผู้ชายท่าทางน่ากลัวตรงหน้าบีบบังคับให้ปลายนิ้วทั้งสิบสัมผัสเข้ากับเป้ากางเกงของเขาโดยตรง
และคำตอบสั้นๆ
“ต้องการ...เฌอ” ความคิดในหัวหยุดลงพร้อมกับความต้องการของผู้ชายตรงหน้าที่กล่าวออกมา คล้ายกับร่างกายถูกเหวี่ยงออกจากพันธนาการของเมืองในเวลานั้น แล้วย้อนกลับมายังอดีตแสนน่ากลัวที่อยากลืม
เพียะ!
“เชิญนายเอากับผู้หญิงพวกนั้นให้พอใจ พอกันที ฉันจะไปแล้ว!”
“ตบฉันเหรอเฌอ?” เสียงของเขาในตอนนั้นสั่นเพราะพยายามระงับความโกรธ ส่วนฉันได้แต่จ้ำเท้าหันหลัง เก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวที่จะไป “ถามก็ตอบดิวะ เฌอ!!”
“หยุดเรียกชื่อฉันสักที...อื้ออ!” ทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน มันรุนแรงมากจนคิดอยากจะหนี แต่ทุกครั้งที่คิดจะไป ร่างกายของฉันต้องถูกเรี่ยวแรงมหาศาลบีบบังคับ ฉุดรั้งไว้ สุดท้ายมันจะจบลงบนเตียง
“ต้องการ...เฌอ” และคำๆ นั้นก็มักจะถูกพ่นออกมาให้ได้ยิน มันสามารถทำให้ฉันสยบยอมความร้ายกาจนั่นได้อย่างไม่มีข้อครหา
ฉันแพ้น้ำเสียงที่ขานเรียกชื่อจากปากของผู้ชายสารเลวคนนี้...
“เฌอ...”
ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆ ร่างใหญ่ตรงหน้ากดทับกายฉันในท่านั่งจนเสียกายทรงตัว ริมฝีปากของเขาโฉบผ่านบริเวณต้นคอจนรู้สึกร้อนไปถึงใบหู เขากำลังจะเริ่มมันอีกแล้ว เซ็กซ์บนเตียงที่มีไว้สำหรับกักขังร่างกายฉัน..
“ปะ..ปล่อยนะ เมือง!”
“เฌอ...ต้องการเฌอ”
“ปล่อยฉันนะ เมือง!!”
ตึก ตึก ตึก!
เสียงฝีเท้าของคนแปลกหน้า ไม่อาจทำให้การกระทำเลวร้ายของเมืองหยุดลงได้ เมื่อเขายังคงขึงกายฉันด้วยเรียวแรงทั้งหมดที่เขามี จู่โจมฉันด้วยริมฝีปากร้อนนั่นแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ไอ้เมือง พอสักที!”
ฟึ่บ!
อีกครั้งที่โชคเข้าข้าง เมื่อชายอีกคนซึ่งดูคุ้นเคยดี พุ่งเข้ารวบตัว ออกแรงกระชากร่างกำยำของขุนเมืองให้ออกห่างจากฉันแล้วเหวี่ยงออกไปอีกทาง
“มึงทำบ้าอะไรอยู่วะ!?” เสียงของชายคนดังกล่าวตวาดดังขึ้นอย่างหัวเสีย พลางเหลือบมองฉันที่เอาแต่นั่งขดตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ วูบหนึ่งที่เขาเลื่อนสายตาผ่านไปก่อนหันกลับไปเผชิญหน้ากับเมืองตรงๆ อีกทั้งกล่าว “มึงคิดจะจุดไฟเผาเฌอจริงๆ หรือไง บ้าหรือเปล่า...”
หูของฉันมันอื้ออึงด้วยเสียงตวาดลั่นของชายหนุ่มคนดังกล่าว แต่รู้ไหม เขาก็เป็น ผู้ชายอีกคนที่ฉันรู้จักดีไม่ต่างอะไรไปจากเมืองนัก
ไม่ต้องรอให้ใครเรียกตัว ฉันรีบตั้งสติลุกไปจากสถานการณ์น่ากลัวเบื้องหน้าโดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมอง ท่ามกลางเสียงโวยวายของชายแปลกหน้าทว่ารู้จักกันดี
ร่างกายมันสั่นเทิ้มแบบห้ามไม่ได้ขณะวิ่งพาตัวเองตรงไปยังหอพักเพื่อหลบหนีความจริงอันแสนเลวร้าย ราวกับตอนนี้เรื่องระยำในอดีตกำลังกลับมารวมตัวกัน ทั้งเรื่องของเมือง เหนือ รวมไปถึงผู้ชายคนนั้น
เม้าส์...