[Prickthai’s Talk]
ตึก! ตึก! ตึก!
“เจ๊พริก หนุ่มเมืองของเจ๊มาร้านแล้ว >_ขุนเมือง’ หรือเมืองเป็นคนแรกเหมือนทุกที
“ฮัลโหลลล วันนี้มาทำงานสาย ระวังถูกตัดเงินเดือนนะจ๊ะ” คำทักทายซึ่งฟังดูแล้วปัญญาอ่อนถูกพ่นออกไปเหมือนๆ ทุกที ทั้งที่จริงแล้วฉันน่ะ ไม่ชอบตัวเองเวลาต้องพูดจาจีบปากจีบคอแบบนี้เลยสักนิด
“อืม” วันนี้เขาก็ยังพูดน้อย ตอบน้อย แถมยังไม่สนใจฉันเหมือนทุกที
“นี่ๆ วันนี้ฉันไปต่อลายที่หน้าอกมาแหละ เมืองเองก็สัก ฉันว่าจะมาปรึกษาเมืองหน่อย พอจะมีเวลามั้ยจ๊ะ?”
“หิวข้าว”
“...”
“อยากอาบน้ำ” ให้ตายสิ! ฉันไม่เคยคุยกับผู้ชายคนนี้รู้เรื่องเลยสักครั้ง แต่เพราะว่าคุยกันไม่รู้เรื่องนี่แหละ มันเลยกลายเป็นเสน่ห์แบบแปลกๆ ที่ทำให้ฉันหลงรักเขาแบบนี้
“คุณไมล์ ให้เด็กเตรียมอาหารสำหรับพนักงานไว้แล้ว ถ้าเมืองหิวก็ไปกินก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเสื้อสิจ๊ะ”
“...”
“เหรอ?”
“ชะ ใช่จ้า ^O^” เพราะเขาเป็นคนพูดน้อย ตอบน้อย ทำให้เรื่องที่อยากชวนคุยมันกระเด็นหลุดจากหัวเสียดื้อๆ
เพราะแบบนั้นฉันจึงต้องแสร้งพูดจีบปากจีบคอ เป็นฝ่ายหาเรื่องชวนเขาคุยอยู่ตลอด แต่ฉันกลับไม่เคยรู้สึกเบื่อที่ ต้องทำแบบนี้ทุกวัน มีบ้างบางครั้งที่แอบคิดว่าอยากจะคุยกับเขาด้วยประโยคยาวๆ คุยกันรู้เรื่อง... สักครั้ง
“พริกไทย” เสียงเข้มของเมืองที่ขานชื่อฉันเป็นครั้งแรก พานให้หัวใจวูบไหวไปตามน้ำคำ ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่เกือบสามปี นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขายอมเรียกชื่อฉันแบบนี้
“ว่าไงจ๊ะเมือง?”
“ออกไป”
“…”
“จะเปลี่ยนเสื้อ”
โธ่! อะไรกันละ นึกว่าจะพูดอกไรเสียอีก TTOTT
“โอเคๆ ไปก็ได้ แล้วอย่าลืมไปกินข้าวหลังร้านด้วยละ…” เสียงของฉันอ่อนลงในช่วงท้ายประโยค เมื่อผู้ชายเบื้องหน้านิ่งเงียบไป แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะสนใจมาทางฉันเลยสักนิด เพราะที่เขาสนใจอยู่ในตอนนี้จนฉันรู้สึกอิจฉาน่ะ มันคือซิปโป้สีเงินวาวในมือต่างหาก
ทำไมเขาถึงทำสายตาเศร้าแบบนั้นล่ะ...
[ Chernim’s Talk ]
[นี่เฌอ คิดจะไม่เล่าจริงๆ น่ะเหรอ ว่าผู้ชายที่เข้ามาเจาะแจะกับเธอในร้านอาหารเป็นใคร?]
“นี่เจ๊ ถามจังเลยนะ ขนาดแยกย้ายกันแล้วนะเนี่ย” ฉันบ่นอุบเอียงคอเล็กหน่อยหนีบโทรศัพท์มือถือ พลางไขกุญแจเข้าห้องตามความเคยชิน
[แหมก็คนมนอยากรู้นี้ เดี๋ยวนี้ รอบๆ ตัวเธอมีแต่ผู้ชายเข้าหาทั้งที่เธอเองก็มีแฟนอยู่แล้ว มันน่าอิจฉานี่!] น้ำเสียงแหลมปี๊ดออกแนวตัดพ้อ ทำฉันอดขำเบาๆ ไม่ได้ เพราะอย่างที่รู้กัน เจ๊แกะน่ะ ถึงจะหน้าตาดูเหมือนสาววัยรุ่นต้นๆ แต่ปัจจุบันเธอมีอายุสามสิบแล้วล่ะ
“ที่เจ๊ถาม เพราะเจ๊อยากรู้จักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า?” ฉันจงใจแซว
[เปล่าย่ะ ที่ถามน่ะเพราะว่าฉันไม่ใช่เหรอ ที่เข้าไปช่วยเธอตอนถูกผู้ชายคนนั้นตื้อน่ะ!]
มันก็จริงอย่างที่เจ๊บอกอีกนั่นแหละ เหตุการณ์ในร้านอาหารตอนนั้น หากไม่ได้เจ๊ที่เพิ่งกลับเข้ามาหลังจากไปกดเงิน ฉันในเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดตอบอะไรเม้าส์ไปเหมือนกัน
แล้วมันก็เหมือนเคยๆ ที่ฉันไม่สามารถทนต่อลูกตื้อของเจ๊แกะได้ จึงต้องตอบในสิ่งที่เธออยากรู้ออกไปในที่สุด
“ผู้ชายคนนั้นชื่อเม้าส์”
[หมอนั่นเกี่ยวข้องกับเธอยังไง?]
“หมอนั่นนะเหรอ...” พอถูกยิงคำถามออกมาตรงๆ แบบนั้น คำพูดก็คล้ายจะหายกลับเข้าไปในลำคอตามเดิม กลับกันในหัวฉันนี่สิ ดันผุดคำพูดในอดีตขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
“มาหาแต่เช้าเลย มีอะไรหรือเปล่า?”
“เม้าส์... คือว่าฉันกับเมืองตอนนี้น่ะ เรา...”
[เฌอ! ยัยบ้า เล่าต่อสิยะ!]
ฉันสะดุ้งเฮือก เมื่อเสียงเล็กแหลมของเจ๊ แว่วดันเข้ามาในภวังค์ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงบ่นอีกมากมาย
[พูดให้อยากรู้แล้วเงียบไปแบบนี้ มันน่าจิกหัวตบเสียจริง ฮึม!]
“จะ ใจเย็นๆ สิเจ๊... ฉันแค่กำลังเก็บของน่ะ” สุดท้ายฉันก็โกหกออกไป “เม้าส์น่ะ เป็นคนรู้จักอีกที หมอนั่นเป็นเพื่อนสนิทกับเมือง ที่ตามฉันมาก็เพราะจะพูดเรื่องเมืองนั่นแหละ”
[...]
“หมอนั่นคงอยากให้ฉันกลับไปคุยกับเมืองเหมือนเมื่อก่อนละมั้ง?”
[แล้วทำไม ไม่ลองคุยดีๆ กับหมอนั่นดูละ เมืองอะไรนั่นน่ะ?]
“...” กลับไปคุยกับเมืองเหมือนเมื่อก่อนน่ะเหรอ?
[ก็แค่คุยเองใช่ปะ? ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็แค่บอกเขาให้เข้าใจว่าตอนนี้เธอมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาเป็นได้แค่เพื่อน…]
“ไม่ได้หรอกเจ๊...” ฉันท้วงเสียงเรียบ พลางทิ้งตัวลงนอนราบบนเตียงด้วยความรู้สึกอ่อนล้า “เมืองน่ะ เขาจะทำร้ายผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้ฉัน เขาไม่ยอมให้ฉันพูดหรือคุยกับผู้ชายคนไหนนอกจากเม้าส์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท”
[...]
“ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเจอเมือง เขายังทำทุกอย่างเหมือนกับว่าฉันยังเป็นผู้หญิงของเขา เรียกเหนือซึ่งเป็นแฟนฉันว่าชู้ ตามราวีฉันเหมือนคนโรคจิต... ถ้าให้เดาที่เม้าส์พยายามบอกฉันวันนี้ว่าเมืองไม่เหมือนก่อน คงเป็นเรื่องสมองเขาที่คลับคล้ายคลับคลาคนบ้าขึ้นทุกวันละมั้ง...”
[แต่เจ๊ว่ามันน่าอึดอัดนะ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนบ้าก็เถอะ]
“...”
[ความรู้สึกของคนเราน่ะ ถ้าไม่ได้พูดออกไปให้อีกฝ่ายเข้าใจ มันก็ค้างคาใจทั้งสองฝ่ายถูกมั้ยละ? บางทีที่เขาเป็นฝ่ายไล่ตามเธออยู่ตอนนี้ อาจเป็นเพราะความรู้สึกของเขามันยังไม่เคลียร์ล่ะมั้ง...]
“...”
[ถ้าสมมุติ เฌอได้เจอนายโรคจิตนั่นอีก ลองพูดความรู้สึกออกไปตรงๆ สิ บางทีคนบ้าอย่างเขาอาจจะเข้าใจ ยอมหยุดความคิดไว้ที่เพื่อนกับเธอก็ได้นะ...]
“ฉันน่ะ เคยท้องกับเมือง ตอนสมัยเรียนอยู่ปีหนึ่ง...”
คำพูดของฉันทำอีกฝ่ายเงียบลงในทันที ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกใครหลังจากเลิกกับเมืองไปเกือบสามปี รวมไปถึงเหนือเองก็เช่นกัน
“พอเขารู้ เราก็ทะเลาะกัน...”
[ขะ เขาให้เธอเอาเด็กออกเหรอ...]
“เปล่าเจ๊... เราทะเลาะกันจากนั้น เขานั่นแหละที่พลั้งมือทำฉันตกจากบันได แท้ง...ต่อให้พูดว่าพลั้งมือก็จริง แต่มันก็ไม่ต่างจากจงใจ เพราะว่าในตอนนั้นทะเละกันอยู่”
[…]
“แล้วแบบนี้ ฉันกับเขา ยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้อีกเหรอเจ๊?”
ใช่! ฉันไม่สามารถพบหรือเจอหน้าเขาอีก ไม่ควรเจออีก เพราะถึงเจอกันอีกหนแม้แต่คำว่าเพื่อนฉันก็ไม่สามารถให้กับผู้ชายคนนั้นได้หรอก...
[ถ้าอย่างนั้น เธอจะทำยังไงละ? ถ้าหมอนั่นยังตามตื้อเธอเป็นเงาแบบนี้]
“ทนมั้งเจ๊...” อีกครั้งที่ฉันเงียบเสียงลงเมื่อในหัวนึกถึงคำพูดของเม้าส์เมื่อช่วงหัวค่ำวันนี้ ก่อนกล่าวออกมาอีกครั้งเพื่อตอกย้ำตัวเอง “ใครทำอะไรไว้ มันน่าจะรู้อยู่แก่ใจ...”
เพราะบรรยากาศที่เริ่มตรึงเครียดในช่วงเวลานั้น ทำให้เจ๊แกะรู้สึกผิด เธอกล่าวขอโทษฉันที่บีบบังคับให้เล่าเรื่องเลวร้ายในอดีตทางอ้อม ก่อนจะวางสายไป
ส่วนฉันหลงจากนั้นก็ได้แต่นอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียงตามอย่างปกติ ก่อนที่ช่วงเวลาของความเงียบจะเคลื่อนผ่านไปเพราะเสียงเตือนข้อความที่ดังขึ้น
เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : นอนยัง?
เพียงแค่เห็นชื่อเจ้าของข้อความที่ส่งมา ฉันก็อดกลั้นขำไม่ได้ เพราะมันคือชื่อLineของเหนือที่ฉันแอบเปลี่ยนไว้ในช่วงที่เขาเผลอ แต่ถึงจะรู้ว่าฉันแกล้งเปลี่ยนชื่อไว้แบบนั้นก็ตาม แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะเปลี่ยนกลับไปเป็นอย่างเดิม น่ารักจริงๆ
NimNeua : ยังจ๊ะ มีอะไรคะที่รัก?
เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : พรุ่งนี้ เปลี่ยนชื่อlineให้ด้วย
เชอะ! นึกว่าจะมีเรื่องอะไร รู้งี้ไม่ชมก็ดีหรอก -_-
เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : นิม
ข้อความสั้นๆ ต่อมาของเหนือ ทำฉันรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม้ว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่เรียกชื่อฉันว่านิมก็ตาม แต่น้อยครั้งมากที่เขาจะพิมพ์หรือเรียกแบบนี้ นอกจากเขากำลังมีเรื่องเป็นกังวลใจอยู่
NimNeua : ว่า?
เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : ผู้ชายคนนั้น มาหาเธอหรือเปล่า?
เอ๊ะ! ทำไมจู่ๆ เหนือถึงถามแบบนี้ละ? หรือว่าเมืองจะไปพบกับเหนือมา
เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : วันนี้เจอ เลยถาม ห่วง
NimNeua : หมอนั่นทำอะไรเหนือ
เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : พรุ่งนี้ค่อยเล่า
เหนือเอง ครื้นเครงดีออก : ฝันดีนะนิม
ว่าแล้วข้อความLineที่ได้รับจากเหนือก็เงียบลงไป มาพร้อมความแคลงใจที่ฉันได้รับจากข้อความที่เหนือส่งมา ให้เดาฉันว่าเมืองน่าจะไปยุ่มย่ามอะไรใส่เหนืออีกแน่ๆ หรือไม่ก็ทำในสิ่งที่เขาชอบทำเมื่อในอดีต...
เพราะหลายๆ ความคิด อีกทั้งยังหลายๆ ความรู้สึก มันทำให้เลือดในตัวพลุ่งพล่าน กลับกลายเป็นความขยับ ลุกขึ้นมานั่งเก็บห้อง เพื่อหวังให้สบายใจขึ้นบ้าง แต่ว่า
ห้องที่ฉันอยู่มาแรมปี พอได้ลองเก็บกวาดดู ทำไมมันถึงได้มีขยะกองมหึมาแบบนี้ละ T_T กว่าจะเก็บกวาดห้องจนเสร็จ สะอาดเหมือนห้องพักใหม่ๆ ก็เล็กกินเวลาไปตีสองกว่าๆ
ฉันยืนลังเลครู่ใหญ่ ก่อนตัดสินใจหิ้วถุงดำบรรจุขยะสองใบใหญ่เดินออกจากห้องเพื่อเก็บกวาดในรอบสุดท้าย เพราะอยากให้ห้องเอี่ยมไม่รกตา ฉันจึงตัดสินใจโง่ๆ เดินออกจากห้องลงไปชั้นล่าง แม้ลึกๆ จะอดระแวงเรื่องผู้ชายคนนั้นไม่ได้ก็ตาม
ดูเหมือนว่าคืนนี้โชคจะเข้าข้าง ค่ำคืนนี้บริเวณหอพักค่อนข้างเงียบ ไม่มีคนหรือรถสัญจรผ่านไปมาเหมือนในช่วงเช้าและช่วงศุกร์เสาร์
อาจเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาก็ได้ ดังนั้นฉันจึงรีบเร่งฝีเท้าขนถุงดำในมือทั้งสองข้าง เดินไปยังจุดเกิดเหตุเมื่อช่วงเย็น เพื่อหวังจะทำให้ทุกๆ อย่างเสร็จสิ้นไป ทว่า
ฉันคิดผิด
กึก...
“เฌอ...”