4-1 *******พระจันทร์ของเราสอง

1788 Words
4 *******พระจันทร์ของเราสอง เทพอู่เฉินได้รับการรักษาด้วยพลังหยินจากฝ่ามือนุ่มนวล ทั้งใบหน้าอ่อนหวานและดวงตาคู่สวยใสของนางพร่ำบอกว่าเป็นห่วงท่านนักหนา ถึงแม้ว่านางอาจแตกต่างไปจากอาเป้ยคนเดิมโดยสิ้นเชิง ด้านสำนึกรู้และจิตใจ นางยังสามารถปล่อยพลังมากมายมหาศาลจนบาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็ว เหลือเป็นรอยขีดข่วนทั้งที่ถูกโจมตีด้วยพลังรุนแรงของจ้าวอสรพิษ ใจหนึ่งท่านเริ่มไม่แน่ใจว่านางแสร้งทำเป็นจำไม่ได้ เพื่อแก้แค้นท่านหรือเปล่า อีกใจนั้นกลับคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะเสแสร้งทำ เพื่อให้สาแก่ใจนาง “ที่นี่น่าจะเป็นบ้านเกิดของข้า... จึงได้ดึงท่านลงมา เอ... หรือว่าไม่ใช่?” “เจ้าเคยพูดว่า... ข้าเป็นบ้านของเจ้า” “ข้า...” นางชี้หน้าตนด้วยปลายนิ้ว หน้าตาเหลอหลา “เคยพูดเช่นนั้นด้วยหรือ?” เทพอู่เฉินหัวเราะนาง “อื้ม... เจ้าว่าที่ใดมีข้า ที่นั่นคือบ้าน ข้าคือบ้านของเจ้า อาเป้ย” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นมองบุรุษข้างกายบนแท่นหิน ผู้ทึกทักว่านางเป็นภริยาอย่างจริงจัง นางเกือบที่จะไม่เชื่อคำพูดเหล่านั้น ทว่านางเองก็รู้สึกสนิทสนมกับท่านเหลือเกิน ยิ่งได้เห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เขี้ยวคมตรงมุมปากของบุรุษผู้กลับกลายเป็นเทพรูปงาม สวมอาภรณ์สีดำสนิทปักทอด้วยด้ายสีทองเป็นลวดลายอสรพิษ นางแสนเป็นสุขใจ คราอยู่บนโลกมนุษย์นางหาได้มีความสุขมากมาย จะมีแต่วันเหน็ดเหนื่อย ตรากตรำลำบากกับการทำงานเป็นข้ารับใช้ การฝึกวิทยายุทธ์ในยามราตรีกับท่านอาจารย์ทำให้นางได้คลายเหงา และก็ใช่ว่าเพราะท่านรูปงามนัก... คิ้วเข้มหนาขนานไปกับดวงตาเรียวรี หางคิ้วยกขึ้นสูง นัยน์ตาสีโลหิตดูก้าวร้าวดุดัน ทว่าหากมองให้ดีแล้วนางว่าสวยงามดึงดูดเหล่าอิสตรีเป็นอย่างมาก จมูกโด่งเป็นสันคมรับกับสันกรามแกร่งเยี่ยงชายชาตรี ทำให้ท่านดูองอาจและสง่างาม ริมฝีปากอมแดงอมชมพูดูนุ่มนวลอ่อนหวานประหนึ่งกลีบดอกเหมยฮวา บุรุษเทพผู้นี้รูปงามปานหยกสลัก นางหาได้เคยพบบุรุษรูปงามเท่านี้ไม่ การได้พูดคุยกับบุรุษแปลกหน้า ทำให้จิตใจของนางเริ่มเอนเอียงไปเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ท่านน่าจะเป็นสามีของนาง แต่เป็นได้อย่างไรนั้น เป็นคำถามที่จะต้องหาคำตอบ “ข้าเป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจ เป็นสามีของเจ้า อาเป้ย... เพียงแต่ข้าและเจ้ามิได้ตบแต่ง เพราะเจ้าสลายไปต่อหน้าต่อตาข้า เจ้าเป็นเครื่องสังเวย เป็นเจ้าสาวจากโลกมนุษย์” ‘ข้าไม่ใช่เทพผู้น่ากลัวเกรงถึงเพียงนั้น ข้าเสกฟ้าฝนทำลายโลกมนุษย์ไม่ได้ ท่านพ่อข้าเป็นชนเผ่ามังกรบนสวรรค์ ท่านแม่ข้าเป็นปีศาจอสรพิษ ข้าชื่ออู่เฉิน’ “ข้าชื่อ...” “อู่เฉิน...” นางพูดแทรกขึ้นมา สีหน้าสงสัยคลางแคลงใจแปรเปลี่ยนไป เหมือนว่านางเพิ่งนึกบางเรื่องออก "ท่านเป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจอสรพิษ ผู้คนยกย่องท่านว่าเป็นเทพ เพราะท่านไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใดบนเทวโลก" “สติปัญญาดีเลิศของเจ้ายังคงเป็นเช่นเดิม อาเป้ย ไม่เสียแรงที่ข้ารักใคร่เจ้านัก” “หากข้าโง่เขลาเบาปัญญา ท่านจะไม่รักข้าหรือ?” นางพูดจาน่าตลกขบขัน สีหน้าก็เป็นไปในทางเดียวกัน เทพอู่เฉินคิดว่าถึงคราท่านต้องสารภาพความในใจต่อนาง เนิ่นนานนับยี่สิบปี ทุกลมหายใจเข้าออกของท่าน แสนเจ็บปวดทรมาน “ข้าปรารถนาให้เพลิงกัลป์เผาร่างข้าไปเสีย ข้าอยากตายตามเจ้าอยู่ทุกวัน ไยข้าจะไม่รักเจ้า ต่อให้เจ้าฟื้นคืนมาเป็นสตรีวิปลาส เป็นปีศาจจอมทำลายล้างเฉกเช่นท่านแม่ของข้า หัวใจข้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจากเจ้า” “ข้าคงเป็นสักอย่างหนึ่งที่ท่านว่า บางคราข้าไร้สติ ข้าอยากทำ ข้าก็จะทำ” “ต่อให้เจ้าจะไม่รักข้าอีกต่อไป ข้าก็ยังรักเจ้า ต่อให้เจ้าจะลืมเลือนช่วงเวลาของเราสอง ข้ายังรักใคร่เจ้าอยู่ทุกลมหายใจของข้า อาเป้ย” “อืม... ข้าก็ว่าดี” นางตอบในสีหน้าเฉยเมย และนั่นเป็นเพราะนางไม่ตอบรับคำบอกรักของท่านเทพหรืออย่างไร อยู่ดี ๆ ท่านก็หน้าสลดเศร้า นึกถึงคราที่ท่านปฏิเสธความรักของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมินเฉยนาง จนสูญเสียเวลาอันล้ำค่าไปโดยเปล่าประโยชน์ นางไม่รู้เรื่องนั้นด้วยกับเทพอู่เฉินเลย ยังว่า “ท่านไม่ควรมีสีหน้าผิดหวัง ในเมื่อท่านเพิ่งลั่นวาจาไม่ทันไร ว่าไม่เป็นไร” “ข้าเปล่า...” เทพอู่เฉินกำลังน้อยอกน้อยใจนางได้ที่อยู่ทีเดียว นางว่าสมองของท่านน่าจะไม่ปรกติ ‘...ข้าคงเข้าใจผิดไปว่าท่านเป็นบุรุษเทพประหลาด การกระทำของท่านจึงมักขัดแย้งกันเองอยู่เสมอ’ นางได้ยินเสียงในหัวของนาง เป็นเสียงของนางเอง ภาพอันเลือนรางทว่ายังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเรื่องราวเป็นไปเป็นมาอย่างไร เมื่อนางคิดไม่ออก จึงเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์อันงดงาม ทอประกายสีแดงฉาน “ข้าจะให้เวลาเราทั้งสองใต้แสงจันทร์รุธิระ หวังว่าข้าจะจดจำอะไรได้บ้าง ท่านจะได้ไม่เศร้าหมองใจ ข้าเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” นางผ่อนลมหายใจ หันมาจับจ้องใบหน้าคมคายของบุรุษรูปงาม แล้วจึงพูดให้ท่านดีใจ แม้ว่านางจะไม่ได้มีเจตนาไปในทางนั้น “ว่าแต่... ข้าควรเรียกท่านว่าสามีหรือไม่?” ดวงจันทร์รุธิระทอดทอแสงสีแดงสดสวย ประกายทองอร่ามดังแสงของทองคำ ยามเคลื่อนคล้อยลงสุดท้องนภากว้าง อาจเพราะมันสวนทางกับดวงตะวันที่กำลังขึ้นจึงเกิดแสงรำไร ทำให้พื้นที่โดยรอบกลายเป็นสีแดงอมสีทองอ่อน สามีภริยาได้ใช้เวลาร่วมกันบนแท่นหินปูทับด้วยผ้าขนสัตว์ฟูนุ่ม เทียนเล่มหนึ่งมีเพลิงกัลป์ปลิวไสว เทพอู่เฉินสะบัดชายอาภรณ์เสกสรรค์สิ่งของออกมาให้นางได้นั่งชมจันทร์อย่างสะดวกสบาย เวหาอันเยียบเย็นพัดผ่านแก้มเนียนไม่ทำให้นางรู้สึกเหน็บหนาว ใช่เพียงพลังหยินเต็มล้นกาย นางได้รับไออุ่นจากอ้อมแขนแข็งแรงซึ่งโอบเอวของนางเอาไว้ นางพักพิงศีรษะลงบนอกกว้าง เงยหน้าชมเจ้าลูกกลม ๆ บนท้องนภา “รุ่งอรุณในนรกภูมิต่างจากเทวโลก ยังคงมืดครึ้มอยู่เช่นนี้ไปตลอดกาล เจ้ายังไม่เคยได้มานรกภูมิ นี่เป็นครั้งแรกของเจ้า อาเป้ย” “งดงามยิ่งนัก...จันทร์รุธิระทำให้ข้านึกบางเรื่องออก เรื่องระหว่างข้ากับท่าน ข้าเคยมีสัมพันธ์กับท่าน... สามีข้า” พลันภาพเร่าร้อนผุดเข้ามาในหัว ใต้แผงอกกว้างของบุรุษเทพปีศาจ สุดจะจินตนาการว่านางได้เคยพบเห็นอสรพิษมากมาย ทั้งบนเตียง อาวุธร้อนร้ายประหนึ่งกระบี่คมขยับเข้าออกในร่างกายของนาง มันไม่ได้นำพาความเจ็บปวดแต่ทำให้เกิดอารมณ์แสนสุขสม ความทรงจำของนางไม่ปะติดปะต่อกันมากนัก จำได้เป็นเรื่อง ๆ ไป ทว่าตอนอยู่บนโลกมนุษย์นั้นนางจดจำมันได้ทั้งหมด โดยเฉพาะคำสั่งสอนของอาจารย์ฮุ่ยหมิง “อาจารย์บอกกับข้าว่า ข้าควรต้องถือพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิต บัดนี้ข้ามีสามีเสียแล้ว” “ข้ายังไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณต่ออาจารย์ของเจ้า ไม่ได้ตอบแทนสิ่งใดต่อท่านอาจารย์ เมื่อศึกสงครามสงบลงแล้วเราจำเป็นต้องกลับขึ้นไป” “จะรู้ได้อย่างไร?” นางเงยหน้าขึ้นถามสามี ซึ่งปิดตาลงไม่นาน เมื่อดวงตาคู่คมเบิกกว้าง ปรากฏเปลวเพลิงสีแดงฉาน นางไม่รู้ว่าท่านทำสิ่งใด “ใกล้แล้ว พวกเขาได้รับการรักษาตัวเรียบร้อยดี” “ท่านมองเห็นพวกเขาผ่านการปิดตาหรือ?” สีหน้าสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะซุกซบลงบนอกเช่นเดิม เทพอู่เฉินยิ้มออกมา มือหนาเลื่อนขึ้นลูบเส้นผมนุ่มหอมของนางอย่างเอ็นดู “ข้ามีตรีเนตร พลังของปีศาจอสรพิษ เบิกเนตรครั้งหนึ่งมองเห็นทุกสิ่งเท่าราชาแห่งสวรรค์ผู้มีเนตรแห่งการหยั่งรู้ เพียงแต่ข้ามิได้ใช้มันตลอด เพราะนอกจากมันจะทำให้ข้าและท่านแม่มองเห็นทุกสรรพสิ่ง มันสามารถที่จะเผาผลาญทำลาย” “เป็นวิชาแสนร้ายกาจทีเดียว อาจารย์ของข้าไม่เคยเล่าให้ฟัง ตำราเล่มใดก็คงจะไม่มีเรื่องประหลาดเยี่ยงนี้ ดีล่ะ... ข้าจะได้ไปเล่าเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิง เหล่านักพรตแห่งสำนักเทียนหลงฟัง” “เจ้ากล้านำความลับของสามีไปแพร่งพรายเชียวหรือ?” พูดพลางเบิกตากว้างมองภริยาในอ้อมแขน หลังเปลวเพลิงในดวงตาสงบลง เทพอู่เฉินยกปลายนิ้วขึ้นดีดหน้าผากของนางเบา ๆ “นี่แน่ะอาเป้ย เมื่อก่อนเจ้าก็มีตรีเนตร บนหน้าผากของเจ้า” “ท่านพูดจริงหรือ แล้ว... ข้าจะมีมันอีกในร่างนี้ได้หรือไม่?” “ย่อมได้... ภริยาข้า” เสียงหัวเราะดัง ริมฝีปากหนาหยักได้รูปประทับจุมพิตลงบนหน้าผากเนียนอย่างอ่อนโยน ราวร่ายเวทลงบนนั้น ประกายแสงวูบวาบนำพาเส้นสีแดงซึ่งวาดขึ้นอย่างงดงามอ่อนช้อย เป็นรูปลักษณ์ของเพลิงกัลป์ นางทำตาใสแป๋วมองท่านพูด “เจ้าเคยบ่นว่าเหมือนตรางูบนหน้าผากของเจ้า จะเหมือนกลีบดอกไม้ก็ท่าทางว่าจะไม่ใช่ เจ้าทำให้ข้าเผลอหัวเราะออกมาในห้องนอนของข้าลำพังผู้เดียว” “สรุปว่ามันคืออะไร?” “เพลิงกัลป์แห่งตรีเนตร ข้าจะมองเห็นทุกสิ่งผ่านหน้าผากของเจ้า ข้าสามารถจำแลงกายเป็นไออสรพิษลอดผ่านหน้าผากของเจ้า ติดตามเจ้าไปในที่ ๆ เจ้าอยู่” “งั้นเอาออกไปดีกว่า เผื่อว่าข้าอยากหนีสามีไปเที่ยวไหนบ้าง” “อาเป้ย... จะเอาออกได้ยังไงเล่า ข้าให้เจ้าไปแล้ว เจ้าควรเก็บรักษามันเอาไว้” เสียงที่เข้มขึ้นคล้ายจะดุนาง ทว่าคงไม่ใช่ สีหน้าเริงร่าของเทพอู่เฉินเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เมื่อนางยกมือขึ้นลูบหน้าผากไปมา “ก็ได้ ข้าจะยอมเก็บอาวุธอานุภาพร้ายแรงของท่านไว้บนหน้าผากของข้า”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD