หญิงสาวมีสีหน้างุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก ท่ามกลางการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง หนึ่งอสรพิษกับเหล่าผู้คนมากหน้าหลายตานับได้กว่าสิบ นางคาดว่าพวกเขาเป็นเทพเซียนผู้มีฝีมือเก่งฉกาจทีเดียว ถึงแม้ว่าโลหิตจะหลั่งไหลนองบนพื้นพสุธา เมื่อพวกเขาเหล่านั้นถูกซัดด้วยพลังดำมืดกระเด็นไปคนละทิศทาง ได้รับการบาดเจ็บไม่น้อย หลังปะทะกับอสรพิษกายายิ่งใหญ่โอฬาร ที่ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเคียดแค้นสาหัส
ก่อนหน้านี้มีช่องว่างด้านบน เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป แต่เพียงไม่นาน ใบหน้าของอสรพิษสีดำสนิทอีกหนึ่งตนปิดช่องรูเล็ก ๆ เหนือศีรษะของนางเอาไว้มิดชิด จนไม่มีแม้แสงใด ๆ จากภายนอกลอดผ่านเข้ามา
ณ สถานที่แห่งนี้มีเพียงนางและอสรพิษ หลังจากที่เกล็ดสีนิลมากมายขดซ้อนกันเป็นวงกลม กลายเป็นกำแพงสูงชัน ส่วนหัวเลื้อยไหลลงมาชื่นชมนาง งูตัวใหญ่ยักษ์สูงกว่านางนับสิบเท่าดูน่าสยดสยอง นัยน์ตาสีแดงฉานน่ากลัว ทว่านางกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว ยามสบมองนัยน์ตาคู่คม ลึกลงไป มองเห็นความรู้สึกเป็นสุขล้นฉายประกายสว่างไสวในความมืด เสียงทุ้มละมุนอันคุ้นหูบอกผ่านริมฝีปากบนเกล็ดเป็นเงามัน
“อาเป้ยของข้า... เจ้ากลับมาหาข้าแล้วหรือ... ข้ารอเจ้านานมากทีเดียว”
ไม่ขาดคำดี อสรพิษเบื้องหน้านางก็ส่งเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวด เมื่อเพลิงกัลป์สีแดงฉานฟาดลงบนเกล็ดสีนิลจนขาดออกเป็นสอง พลันกลับกลายเป็นบุรุษรูปงามร่างโชกชุ่มด้วยโลหิต ร่างกายช่วงบนเต็มไปด้วยมัดกล้าม ครึ่งล่างนั้นไม่มีขาเยี่ยงมนุษย์ เหยียบยืนด้วยหางอสรพิษ เกล็ดสีนิลปรากฏไปทั่วกายกำยำแม้บนผิวกายและใบหน้าคร้ามคม
สำหรับนางดู ๆ ไปแล้วครึ่งมนุษย์ครึ่งอสรพิษผู้นี้ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวแต่อย่างใด ทว่าหากอาจารย์ฮุ่ยหมิงหรือนักพรตอาวุโสผู้ใดพบเห็นเข้า จะต้องถูกจับตัวไปลงทัณฑ์ด้วยน้ำมือของพวกท่านเป็นแน่แท้
“ท่านอาจารย์!”
นางเห็นท่านอาจารย์ล้มลงกองกับพื้น สำลักโลหิตตรงมุมปากอยู่ไม่ไกล ท่านยังคงยิ้มต้อนรับการกลับมาของนางอย่างใจดี ยกมือปรามบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนที่นางจะหันไปเห็นบุรุษอสรพิษล้มลง ดิ้นทุรนทุรายเพราะเพลิงกัลป์ลูกใหญ่ ซัดมาอีกลูกหนึ่ง
“อู่เฉิน เจ้าลูกชายไม่รักดี! นังแพศยา! เอาของของข้าคืนมา!”
เสียงโวยวายบริภาษต่าง ๆ นานา เท่าที่จะสรรหาถ้อยคำมาด่าทอบุตรชายได้ ดังกึกก้องไปทั่วท้องนภาสีแดงฉาน
สตรีนางหนึ่งมิได้ล่วงรู้ว่าเทพอู่เฉินปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมดแม้กระทั่งเกล็ดสีนิลและลูกแก้วปีศาจก็ไม่มีเหลือ จึงกลับคืนร่างเป็นครึ่งอสรพิษครึ่งบุรุษ
นางจดจำเรื่องราวใดไม่ได้ นอกเสียจากครั้งสุดท้ายที่นางยังอยู่ในสำนักเทียนหลง หาบน้ำขึ้นเขาไปเมื่อย่ำเข้ารุ่งอรุณ ขณะดวงตากลมโตส่ายมองเกล็ดสีนิลมากมายประกอบกัน ลอยละล่องเป็นกำแพงเหล็กกล้าบนอากาศ มันกำลังถูกเผาผลาญด้วยเพลิงสีแดง บนแผ่นหลังกว้างกำยำก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
เสียงแส้ที่ฟาดลงกลางอากาศ ทำให้เกล็ดสีนิลอันงดงามหลุดร่อนออกจนมองเห็นเนื้อสีขาวคล้ายงูลอกคราบ ทั่วทั้งร่างกายโชกชุ่มด้วยโลหิต
บุรุษครึ่งงูผู้นี้กางแขนปกป้องนางจากอสรพิษเสียงแหลมเล็ก แสนเกรี้ยวกราดก้าวร้าวนั่น
“เจ้ารีบหนีไป... อาเป้ย... เหลียนเหลียน! พานางไป”
หัวใจของนางสัมผัสถึงความเจ็บปวดรวดร้าวประหนึ่งว่าถูกทำร้ายเสียเอง นัยน์ตาเอ่อคลอหยาดน้ำใสโดยไร้เหตุผล เมื่อนางได้สติกลับมา ก็พลันกระโจนกายเข้าไปโอบรอบคอเขาผู้นั้น แทนที่จะไปกับพยัคฆ์อัคคี ซึ่งพยายามฝ่าวงล้อมเวทสีดำเข้ามารับตัวนาง ฝ่ามือเล็กฟาดผ่านใบหน้าคร้ามคม ปรากฏวงเวทสีทองอร่าม มีอักขระมากมายบนท้องนภา เวทสีขาวและดำซ้อนกันเป็นแฉกอีกชั้นหนึ่ง โต้ตอบไปอย่างกระชั้นชิด
ด้วยพลังอันมากมายมหาศาล ทำให้อสรพิษร้ายร่างใหญ่โอฬารดิ้นลงกับพื้นเพราะเป็นฝ่ายถูกทำร้ายเสียบ้าง มันส่งเสียงกรีดร้องลั่นอย่างเจ็บปวดจากแผลฉกรรจ์ นางรู้สึกสาแก่ใจนัก เกือบหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ
กลับมีเพียงรอยยิ้มหยันบนใบหน้าอันงดงาม หลังกอบกำชัยชนะเล็ก ๆ จากนั้นนางก็กระชากดึงร่างกำยำในอ้อมแขนของนาง กระโดดลงระหว่างกลางพสุธา ซึ่งแยกออกเป็นสองฝั่งเพราะแรงปะทะ
อาเป้ยไร้การยับยั้งชั่งใจในการกระทำ นางยังได้นำพาบุรุษแปลกหน้าดำดิ่งลงลึกถึงก้นบึ้งนรกภูมิ ใกล้กับถ้ำหินแห่งเพลิงกัลป์ เพลิงสีแดงส้มเจิดจ้าปะทุอยู่ตลอดจนเกิดไอควันสีดำลอยไปทั่วเหนือฝ่าเท้า
บรรยากาศโดยรอบไม่ได้มีกลุ่มควันดำอันเนื่องมาจากการเผาไหม้เหล่านั้น ทว่าเป็นสีแดงฉานจากจันทร์รุธิระสาดส่องลงมา แปลกที่มันเคลื่อนออกจากเทวโลก ติดตามนางและบุรุษอสรพิษลงมาในนรกภูมิด้วย
ร่างกำยำอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรงยังคงโอบเอวนาง จนนั่งลงบนแท่นหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งหน้าทางเข้าถ้ำ ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด นางจึงไม่อยากปล่อยบุรุษผู้นี้ไปจากอ้อมแขน
ราวกับว่านางแสนคิดถึงแผงอกกว้างแกร่งอันอบอุ่น แม้บนผิวกายขาวละเอียดปรากฏเกล็ดสีนิลอันงดงามสะท้อนแสงจันทร์ ท่านเหยียบยืนด้วยหางอสรพิษคล้ายครึ่งมัจฉาแต่มีเกล็ดที่แตกต่างไป นางไม่ได้นึกรังเกียจเดียดฉันท์แม้แต่น้อย ถึงแม้ว่านางจะจดจำเรื่องราวระหว่างนางและท่านไม่ได้ กลับหวนคิดถึงบางสิ่ง
หมู่มวลบุปผาบานสะพรั่ง เถาวัลย์หลากสีสันทิ้งตัวลงจากต้นพฤษชาติสูงใหญ่ตระหง่านตา มันแสนงดงามราวม่านน้ำตก เสียงหัวเราะของบุรุษสตรีดังอยู่ในห้วงจิตสำนึก อยู่ในที่อันแสนไกล ที่ใดสักแห่ง
“ท่านจะตายไม่ได้... ท่านตายไม่ได้...”
“ข้าจะยอมตายได้อย่างไร อาเป้ย... ข้าได้พบเจ้า ได้โอบกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนของข้า มิใช่เป็นเพียงนิมิตฝันอีกต่อไป ข้าจะไม่ยอมตายด้วยน้ำมือผู้ใด ต่อให้เป็นท่านแม่...”
เมื่อรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดอันโหยหาเหลือคณา ความอ้างว้างเดียวดายของบุรุษเทพ อันดำเนินมาอย่างเนิ่นนานราวสิ้นสุดลง นางตะเกียกตะกายกอดร่างกำยำจนลืมตัวไปว่าท่านกำลังบาดเจ็บจึงผ่อนแรงลง
ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอ ครู่หนึ่งปรากฏอารมณ์เคียดแค้นต่อผู้ที่ทำร้ายท่าน เมื่อนางเป็นฝ่ายผละออกไป
“ท่าน... เจ็บมากหรือไม่?”
“พอสมควร ยามท่านแม่โกรธเกรี้ยวไม่น่ามือเบากับข้านัก”
ร่างอรชรในอาภรณ์งดงามสีแดงสดสวย ปักด้วยลวดลายอสรพิษสีทองพาดผ่าน เฉกเช่นคราสุดท้ายที่นางหายไปต่อหน้า แม้ใจรู้ดีว่านางจำท่านไม่ได้ ก็ไม่ได้เสียใจเลย ยังถือวิสาสะเลื่อนมือขึ้นล้อมกรอบใบหน้าหวานงาม
“เป่าเป้ย... ภริยาที่รักของข้า... คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
“ข้า... ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร เพียงแต่... รู้สึกคุ้นตาข้านัก ข้าแน่ใจว่าเราเคยพบกัน ข้าจดจำภาพบางอย่างได้ ไม่ค่อยชัดเจน” ในน้ำเสียงราบเรียบของนาง เย็นยะเยือกราวกับว่าเป็นคนไม่รู้จัก ทว่าแววตานั้นกลับไม่โกหกแม้สักคำเดียว “ลึกซึ้ง... เราสองมีบางอย่าง มากกว่ามิตรสหาย”
“เจ้าควรให้เวลากับร่างกายของเจ้า ให้จิตใจของเจ้าได้ปรับตัว” เสียงทุ้มแผ่วเบาลง ในใบหน้าซีดขาวราวกระดาษปรากฏรอยยิ้มอิ่มเอมใจ ก่อนทิ้งร่างกายอันเจ็บปวดลงนอนบนแท่นหิน “ข้าไม่มีเรี่ยวแรงเสกสรรสิ่งใด ก้อนหินนี้ก็แข็งนัก เจ้านอนบนเกล็ดของข้าได้ ภริยาข้า”
อาเป้ยหลุบตาลงมองบาดแผลบนกายอันเต็มไปด้วยเกล็ด โลหิตสีแดงฉานหลั่งไหลออกจากเนื้อที่ปริแยกออกจากกัน บนหน้าอก หน้าท้องเป็นลอนหนา แม้กระทั่งแผ่นหลัง ทำให้ท่านต้องนอนตะแคงมองนาง เหมือนปลาที่ถูกขอดเกล็ดแล่เนื้อออกเป็นชิ้นจนเห็นถึงเนื้อสีขาวภายใน แม้เห็นอยู่ว่าเป็นอสรพิษผู้มีเกล็ดแสนงดงาม
ลมหายใจเข้าออกนั้นแผ่วเบาลง เปลือกตาหนากะพริบถี่ ๆ มองนาง ในสีหน้าเรียบเฉยไม่สามารถปกปิดอาการบาดเจ็บ ร่างกายเข้มแข็งของบุรุษเทพยามนี้แทบแตกเป็นเสี่ยง การจะให้นางล้มตัวลงนอนบนร่างของท่าน เป็นไปไม่ได้เลย
“ท่าน... เจ็บมากหรือไม่ ไยท่านต้องปกป้องข้าจนทำให้ตนบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ข้าได้ยินนางเรียกท่านว่าลูก แต่นางเป็นแม่ประสาอะไร จึงทำร้ายบุตรชายได้อย่างโหดเหี้ยม”
“เจ้าจำได้หรือไม่? ท่านพ่อข้าเป็นชนเผ่ามังกรบนสวรรค์ ท่านแม่ข้าเป็นปีศาจอสรพิษ”
“ข้าจำไม่ได้... แต่ข้าเจ็บปวดเหลือเกินยามท่านบาดเจ็บ ราวกับว่าข้าเป็นผู้ถูกทำร้ายเสียเอง แถมผู้ใดทำร้ายท่าน ข้าปรารถนาจะสังหารมันเสีย”
หากเป็นอาเป้ยคนเดิมผู้มีเมตตาสม่ำเสมอ จะไม่มีวันพูดเช่นนี้แน่ เทพอู่เฉินเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง กับการฟื้นคืนมาของนางด้วยอิทธิพลของหยกพันปี
หยกสีดำสนิท เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความมืดมิด ความชั่วร้ายของปีศาจ
จะอย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปคือแววตาอันเต็มไปด้วยความรักใคร่ ดวงตาคู่สวยใสปลดปล่อยทุกความรู้สึกออกมา นางเริ่มสะอึกสะอื้นไห้ เอามือลูบไล้บาดแผลบนเรือนกายกำยำด้วยใบหน้าที่ทุกข์ตรม
“ข้าทำให้ท่านบาดเจ็บ... ท่านเจ็บมากหรือไม่...”
“เจ้าอย่าได้เสียน้ำตาเพราะข้า อาเป้ย... ข้าอยากเห็นรอยยิ้มอันงดงามของเจ้า แล้ว... อาจารย์ของเจ้าเพิ่งบอกกับท่านแม่ว่า การแก้แค้นเป็นงานของคนโง่เขลา”
เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงพร้อมรอยยิ้มอำลา เทพอู่เฉินตั้งใจว่าท่านคงหลับใหลลงสักพักหนึ่ง เพื่อพักฟื้นร่างกาย ทว่าทันใดนั้นเอง
เพียะ!
ฝ่ามือเล็กฟาดลงบนแก้มสากอย่างเต็มกำลัง จนเกิดรอยแดงเป็นรอยนิ้วทั้งห้า บุรุษร่างกำยำถึงกับตื่นเต็มตา เมื่อนางยกมือปาดน้ำตาลวก ๆ น้ำเสียงประกาศิตสั่ง
“ท่านต้องมีสติ เมื่อข้ากำลังจะรักษาท่าน!”