เจ้ากรรมนายเวรในรูปแบบลุงรหัส

1691 Words
ตึ่ง ตึ่ง -LINE- (Kita- เจ็ดโมงแล้วนะ ตื่นรึยังเดี๋ยวก็สายหรอก) ตึ่ง ตึ่ง -LINE- (kita- ตายแล้วรึยังอ่านแล้วถึงตอบไม่ได้) -สายเรียกเข้า LINE-Kita -สายเรียกเข้า LINE-Kita โถ่เว้ย! อีตาหน้าปลาดุกคนนี้นี่มันจะอะไรกับฉันกับชีวิตของฉันกันนักกันหนาวะเนี่ย ว่างมากแหละน้องมาวินคนที่สวยๆ ดูออก เพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียคนอย่างพี่คีตะก็คงจะไม่ล้มเลิกที่จะจองล้างจองผลาญฉันไปโดยง่ายอย่างแน่นอน ฉันจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะรีบลงมาชั้นล่างแล้วพบว่ามีผู้ชายบางคนมันกำลังยืนหน้างอคอหักเป็นปลาทูอยู่ข้างรถคูมาเรียลคันหรู ทั้งๆ ที่วันนี้ฉันมีเรียนคาบแรกตอนสิบโมงเช้าแท้ๆ แต่กลับต้องตื่นขึ้นมาแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวแทบตายเพียงเพราะเหตุผลที่ว่าเขากำลังรอฉันอยู่ "ช้าแบบนี้เดี๋ยวสายกันพอดี" ฮัลโหลๆ สติเนอะ นี่ก็ไม่ได้ร้องขอให้ใครขับรถมารับนะคะ เสนอหน้ามาเองแล้วยังจะมีหน้ามาต่อว่าชาวบ้านเขาอีก นิสัย! "ตอนนี้พึ่งเจ็ดโมงกับยี่สิบ สำคัญไปกว่านั้นคือฉันเข้าเรียนสิบโมงค่ะวันนี้" ฉันกลอกสองลูกกะตาอย่างรู้เหลืออดเหลือทนกับไอ้คนหน้าหล่อแต่เสือ กปากปีจอ และชักที่จะเริ่มเบื่อขี้หน้ามันขึ้นมาละ "หนู!" ยังคิดในใจไม่ทันเสร็จ มันเอาอีกละ! ก็เห็นอยู่ว่านี่เป็นคนแต่ก็ยังจะให้แทนตัวเองว่าหนูอยู่นั่นแหละ ไอ้คนบ้า! "พอดีวันนี้หนูมีเรียนสิบโมงค่ะ เลยกะว่าจะนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปมหาลัยสักตอนเก้าโมง แต่ถ้าพี่รีบก็อัญเชิญไปก่อนหนูได้เลยนะคะไม่เป็นไร" ฉันแนะนำเชิงไล่กลายๆ เผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาออกไปไปให้พ้นๆ หน้าฉันสักที! "ฉันก็มีเรียนเก้าโมงเหมือนกัน" แล้วนั่นพี่แกจะรีบตื่นไปหาพระแสงอะไรตั้งแต่ไม่ทันจะได้เจ็ดโมงเช้าวะเนี่ย คนสวยงง? "แล้วคุณพี่จะให้ดิฉันแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาทำไมไม่ทราบรึเจ้าคะ!" เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อคืนฉันทำรายงานวิจัยทั้งคืนและฉันก็พึ่งจะได้นอนไปแค่สามชั่วโมงนิดๆ ละทุกคนดูสิ่งที่หมอนี่มันทำกับน้องมาวินสิคะ กระซิกๆ "หิว" ฮัลโหลสติสำคัญมากจริงๆ นะคะทุกคน หิวก็ไปกินข้าวสิคะมาเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยวะเนี่ย! คนเขาจะนอนเว้ ยไอ้หมาบ้า! นายได้ยินไหม! "จะชวนเดท ว่างั้น" ชอบน้องมาวินคนสวยคนดีคนนี้ก็ไม่ยอมบอกกันดีๆ ละเอ๊อ ฮ่าๆ "เธอนี่...นอกจากจะโง่ นอนตื่นสาย แล้วยังหลงตัวเองอีกต่างหาก" "กรี๊ด! ไอ้... ไอ้คนบ้า!" เปลี่ยนใจทีหลังเชิญคิวถัดไปนะคะบอกเลย หึ่ย! หลังจากนั้นตลอดระยะทางฉันก็เลือกที่จะไม่พูดไม่ถามอะไรออกไปอีก เพราะรู้ดีว่ายิ่งพูดเท่าไหร่มันก็ยิ่งเพิ่มเปอร์เซ็นความน่าจะเป็นว่าเราสองคนจะทะเลาะกันมากขึ้นเท่านั้น! "ร้านนี้อร่อยมาก ฉันกินประจำ" "ชิ" ฉันทำเสียงในคออย่างไม่อยากจะรับฟังในประโยคบอกเล่าข้างต้นของเขา แต่พอได้เงยหน้าขึ้นมาดูชื่อร้านโปรดของคนปากเปรตเท่านั้นแหละ แม่บุญโภชนา "อ้าว... บังเอิญจังนี่ร้านอีกสาขาของยายหนูเองค่ะ" ตากับยายของฉันท่านมีกิจการร้านอาหารเล็กๆ พึ่งจะเริ่มขยับขยายสาขาไปตามทำเลดีๆ ต่างๆ ในตัวจังหวัด "ถามจริง แล้วเมนูที่รังสรรค์ออกมาขายนี่คิดสูตรหรือซื้อเขามาอะอีกทีเหรอ!" ละจำเป็นต้องตาโตอะไรขนาดนั้นไหมอะพ่อคุณ "ระดับยาย ฝีมือล้วนๆ จ้า" ได้ทีก็อวดยายให้ลุงรหัสของตัวเองได้ฟังซะเลย ฮ่าๆ "สุดยอด นี่ขนาดแม่ครัวทำนะ ละถ้าเจ้าของสูตรทำเองจะอร่อยขนาดไหน" "^-^" มาวินคนสวยยิ้มจนแก้มแทบแตกแล้วจ้าทุกคน "ฉันชมยาย ไม่ได้ชมเธอ" ค่ะ! ช็อตฟีลตลอด! ฉันแค่ดีใจแทนยายเนอะ ผู้ชายอะไรทำไมปากร้ายชะมัดเลย! "สั่งสักทีเถอะก็ไหนใครบ่นว่าหิว" "นี่! อันนี้สิเด็ด มาทุกครั้งฉันต้องได้กินแกงส้มชะอมกุ้ง กับผัดตับไก่ใส่ขิงเยอะๆ" น้ำลายหกแล้วจ้ะพ่อคุณ แต่ก็ยอมรับเลยว่าสองเมนูของคุณยายฉันนั้นเด็ดดวงอย่าบอกใคร! "แล้วเธอไม่กินรึไง ทำไมถึงไม่หยิบเมนูขึ้นมาสั่ง" เขาเงยหน้าขึ้นจากเมนูก่อนจะเอ่ยถามฉันที่ในตอนนี้กำลังนั่งกอดอกและมองเขาที่กำลังนั่งอ่านเมนูของร้านอย่างตั้งอกใจตั้งใจ "ไม่อ่ะ... หนูไม่ชอบกินข้าวเช้า" ฉันปฏิเสธเพราะโดยปกติแล้สฉันจะทานแค่มื้อเที่ยงกับมื้อเย็น หรือบางทีก็มื้อดึกๆ เลยทีเดียวในหนึ่งวัน "ถึงว่า สวยแต่โง่ ขนาดคำใบ้ง่ายๆ ยังหาไม่เจอ" ฉันเริ่มมีความคิดที่ว่าอยากจะฆ่าคนขึ้นมาแล้วซะสิทุกคน! "อ่ะ! กินซะ ฉันสั่งข้าวเปล่ามาเผื่อแล้ว ละนี่! น้ำกระเจี๊ยบสูตรยายเธอ โคตรดีเลยบอกตรงๆ" เขาว่าขณะที่ตาคู่นั้นก็ลุกวาวขึ้นเหมือนเด็กเล็ก บางมุมเขาก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย พ่อหนุ่มตาตี่ "ค่ะ ขอบคุณค่ะ" ฉันก็เลยต้องจำใจที่จะทานข้าวตามเขาว่าเพราะไม่ปรารถนาที่จะได้ยินคำพูดเน่าๆ ออกมาจากปากของเขาอีกนั่นเอง "ก็แค่นี้" เขาฉีกยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ เออ...เอาเถอะยอมให้ครั้งนึงก็ได้ แต่ถึงยังไงฉันก็จะขอยืนยันคำพูดเดิมของตัวเองว่าฉันเกลียดนายคีตะ! ผู้ชายอะไร๊ปากร้ายซะยิ่งกว่านางร้ายนางมารในละครหลังข่าว สาบานเลยว่าถ้ามีพี่คีตะเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในโลกที่แสนกว้างใหญ่นี้ ฉันขอยอมตายไปเสียยังดีกว่าต้องตกปลงใจใช้คำว่าคู่ชีวิตกับตาแก่ปากร้ายคนนี้ เหอะๆ "ทำไมมึงทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตกยังไงยังงั้นวะมาวิน" แพรไหมเอียงคอดูท่าทางของเพื่อนสาวที่กระแทกก้นลงนั่งตรงข้ามเธอด้วยความสงสัย "กูง่วง" "ง่วงแล้วมึงออกมาจากแมนชั่นทำหอยอะไรตั้งแต่ไม่ทันได้เจ็ดโมงเช้าวะอีห่า" แพรไหม...ซึ่งค่อนข้างจะเป็นคนขี้สงสัย(เสือก) ยังคงเลือกที่จะเซ้าซี้ฉันไม่เลิกจนฉันเริ่มที่จะรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาจริงๆ "เสือก! มันเรื่องของกูป่ะอีแพร" ฉันขว้างลิควิดใส่เบ้าหน้าหวานๆ ของมันอย่างนึกหมั่นไส้เป็นที่สุด "มึงกำลังปิดบังอะไรกูอยู่ อย่ามาทำไก๋ กูรู้นะ!" แพรไหมจ้องฉันตาเขม็งเพื่อเค้นหาความจริงที่มันมั่นใจว่าฉันเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ไม่ให้มันได้รู้ "กูไปกินข้าวกับพี่คีที่ร้านของยายมา ทีนี้มึงพอใจรึยัง" เพราะฉันรู้ดีว่าสันดานขี้เสือกอย่างมันหากไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่มันปรารถนาจะรู้แล้วนั้น มันก็จะคาดคั้นอยู่อย่างจนคนที่ถูกตั้งคำถามอย่างฉันทนความรำคาญอีกไม่ไหวและหลุดปากพูดออกมาเองในที่สุด "พี่คี? คีไหนอีกวะ" เชื่อเถอะถ้ามันไม่ใช่เพื่อนรักของฉันๆ ถอดคัชชูตบเบ้าหน้าสวยๆ ของมันไปแล้วอย่างแน่นอน "จะคีไหน ก็มีอยู่คีเดียว คีตะ" "พี่คีตะเขาจะจีบมึงอย่างนั้นนะเหรอมาวิน" แพรไหมถึงกับดวงตาแพรวพราวด้วยความรู้สึกอิจฉาที่ชีวิตของเพื่อนสาวนั้นล้วนแต่มีเทพบุตรรูปหล่อพ่อรวยโคจรเข้ามาในวงจรชีวิตอย่างไม่ขาดสาย ผิดกันกับเธอที่ไม่ว่าจะแวะเวียนกันเข้ามากี่คนก็หน้าตาเหมือนปลาสวายชนเขื่อนไปเสียแทบจะทุกคน พอบทจะมีบุญได้เจอหนุ่มรูปหล่อกับเขาสักที ก็เสือกมีเจ้าของแล้วไปเสียได้... "ประสาท! ผู้ชายชวนไปกินข้าวด้วยกันไม่เห็นจำเป็นต้องจีบฉันเลย ไม่อย่างนั้นพิทักษ์พี่ชายฝาแฝดของมึงก็ตามจีบกูด้วยอย่างนั้นสิเพราะเห็นพี่เขาชวนกูกินข้าวออกบ่อยหนิ" "พี่ทักษ์เขาไม่ได้จีบมึงหรอกมาวิน เขาก็จะจีบไม่ติดเพราะเขาไม่หล่อ" แพรไหมเลือกที่จะไม่พูดความจริงที่ว่าพี่ชายของเธอมีความรู้สึกดีๆ ต่อมาวิน ทั้งที่จริงๆ แล้วพี่ชายฝาแฝดของเธอนั้นชอบพอมาวินมากเสียจนบีบบังคับให้เป็นแม่สื่อรักให้เขาอยู่บ่อยๆ "ดีแล้วเพราะกูก็คงไม่รับ... แต่ไม่ใช่เพราะพี่เขาไม่หล่อนะ แต่เพราะกูไม่อยากผิดใจกับมึงต่างหากถ้าหากกูกับพิทักษ์ไปกันไปรอดขึ้นมา" ซึ่งจริงๆ แล้วเหตุผลของแพรไหมที่ไม่ยอมเป็นแม่สื่อรักให้พี่ชายตัวเองกับเพื่อนรักอย่างมาวิน ก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่มาวินพูดออกมาไม่ต่างกัน... "นี่ ตอนเช้ามึงรีบจนลืมรายงานวิจัย กูก็เลยเอามาให้" แพรไหมมันคงสังเกตเห็นว่าบรรยากาศมันเริ่มกระอักกระอ่วน มันก็เลยชวนฉันพูดคุยในเรื่องอื่นๆ แทน "โอ๊ยตาย! สมองกู" ฉันเอามือเคาะหัวตัวเองเบาๆ เพื่อเช็คว่าเนื้อสมองมันยังสมบูรณ์ดีอยู่หรือเปล่า "ขอบใจมึงนะแพร"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD