"กรี๊ด!" ทันทีที่เดินมาจนถึงห้องพักฉันก็รีบวิ่งเขาห้องน้ำไปปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในใจมาตลอดสามชั่วโมงก่อนหน้าในทันที
"มาวิน มาวิน! มาวินมึงเป็นอะไรรึเปล่า"
เมื่อกรีดร้องระบายออกมาจนรู้สึกพอใจฉันถึงจะได้ยินเสียงแพรไหมที่กำลังลงแรงทุบประตูห้องน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะเป็นห่วงฉันที่อยู่ข้างใน
เมื่อพอที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้บ้างแล้ว ฉันจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องน้ำมาเผชิญหน้ากับแพรไหมก่อนจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้นางฟังทุกอย่างตั้งแต่ในตอนที่ฉันไปขอลายเซ็นพี่คีตะยันในตอนที่เขามาส่ง
"อ๊าย! พี่คีตะมาส่งแกเหรอ อิจฉาจัง" แพรไหมทำตาลุกวาวเมื่อได้ยินประโยคบอกเล่าลำดับสุดท้ายของฉัน เออดูเอาเถอะ...ถ้าคนเรามันจะมองเห็นแค่ความดีอันน้อยนิดของตาแก่คนนั้นมากขนาดนี้อะนะ
"แพร มึงต้องสงสารกูสิอีเพื่อนเลว!"
"เอาน่า... อย่างน้อยๆ พี่คีตะก็หล่ออยู่นา" ยัง มันยังไม่หยุด และไม่มีท่าทีว่าจะยอมหยุดไปโดยง่ายอย่างแน่แท้เชื่อมาวินเถอะ!
"นี่พรุ่งนี้ก็ต้องออกไปมหาลับพร้อมกันกับหมอนั่นอีก เซ็งชะมัดเลย" ฉันพูดจากใจจริง เพราะในตอนนี้ฉันเริ่มที่จะเกลียดวาจาที่มันผรุสวาทออกมาจากช่องปากของเขาขึ้นมาเอาซะแล้วนะสิ!
"อ๊าย! มารับมาส่ง อ๊าย! อิจฉามึงอะอีวิน" เหอะ! ก็บอกไปแล้วยังไงละว่าคนอย่างนังแพรไหมมันไม่มีทางที่จะยอมหยุดการกระทำสิ้นคิดของตัวเองไปแต่โดยง่ายหรอก!
"มึงก็ไปกับพี่เขาสิ กูจะนั่งวิน" ฉันว่าอย่างโยนก้อนปฏิกูลไปให้แพรไหม ซึ่งเชื่อฉันเถอะว่าถ้าสามารถที่จะทำแบบนั้นได้ ยัยแพรไหมมันจะทำอย่างแน่นอน!
"เออนี่... อีแพร บ้านพี่คีตะเขาทำงานทำการออะไรกันเหรอมีรถ Kumarial(คูมาเรียล) ขับแถมยังใช้โทรศัพท์มือถือ T-Nouser2020(ทีนูเซอร์2020) อีกต่างหาก" ฉันถามเพราะความรู้สึกอิจฉาและอยากที่จะมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้อย่างเขาบ้าง
"ก็..." แพรไหมลากเสียงยานคางก่อนจะทรุดตัวลงมานอนหนุนตักฉัน "เห็นเค้าว่าบ้านพี่เขาทำไอ้...เขาอะไรนะ อ๋อ! ธุรกิจส่งออกเครื่องประดับและอัญมณีอะกับนำเข้าซุปเปอร์คาร์ชั้นนำอันดับหนึ่งของประเทศไทย ละก็...เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของธุรกิจซุปเปอร์มาเก็ตขนาดย่อมภายในประเทศไทย ถ้าจำไม่ผิดกํรู้สึกว่าเจ้าของธุรกิจซุปเปอร์ขนาดย่อมนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นของพ่อกับแม่ของเพื่อนสนิทพี่คีตะ ที่ชื่อ...อะไรแล้วหว่า... อ้อใช่! โทโมะ"
ฉันถึงกับอ้าปากหวอหลังจากที่ได้รับรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยมากแค่ไหน
"มึงจะอึ้งกว่านี้อีกอีวิน ถ้ามึงได้รู้ในสิ่งที่กูจะพูดต่อจากนี้ ก็คือบ้านพี่แกเขาเป็นตระกูลมาเฟียเก่าแก่ที่เปิดคาสิโนอยู่ทั้วแถบโซนเอเชียหลายแห่งด้วยนะ"
"ฮะ!"
ยอมรับว่าข้อมูลข้างต้นมันทำให้ฉันรู้สึกตกตะลึงได้จริงๆ อย่างที่แพรไหมได้คาดการณ์เอาไว้
ก็ว่าอยู่แหละ... มนุษย์ที่มีปากเป็นน้องโบ้แบบนั้นแต่ยังมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ มันเพราะเหตุผลในข้อนี้นี่เองสินะ..
"ถ้าให้พูดนะ...พี่โทโมะนี่นิสัยต่างกันสุดขั้วกับอีตาคีตะนี่เลย เป็นเพื่อนกันได้ยังไงก็ไม่รู้" ฉันเบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้เมื่อนึกไปถึงผู้ชายนิสัยไม่ดีที่ชื่อว่าคีตะ
"มึงได้เจอพี่โทโมะด้วยอย่างนั้นนะเหรอ! เป็นไง ละเขาหล่อมั้ย?" ฉันละอยากที่ขะให้มันได้กลายมาเป็นสายรหัสกับหนึ่งในไอ้ผู้ชายกลุ่มคนนี้บ้างจังเลย มันจะได้รู้แจ้งแก่ใจสักทีว่าวนรกบนดินนั้นมันมีอยู่จริง!
"พี่โทโมะก็หล่อนะ แต่พี่คีตะหล่อกว่า" ฉันพูดไปตามเนื้อผ้าและตาเห็น
"ฮั่นแน่ โอ๊ย! เจ็บนะเว้ยอีวินปามาได้" ฉันปาขวดโลชั่นใส่หัวมันเองแหละทุกคน มันน่าหมั่นไส้ยิ่งนักไอ้ท่าทีล้อเลียนคนอื่นของอีแพรเนี่ย!
"ฮั่นแน่! ฮั่นแน่พ่อมึงสิอีแพรไหม"
"กูนอนแล้ว" มันทำท่ากระฟัดกระเฟียดก่อนที่ยกหัวเน่าๆ ของมันให้ออกห่างไปจากหน้าตักฉัน
"หุบปากได้สักที" แล้วฉันก็รู้สึกโล่งอกเหลือเกินที่แพรไหมมันยินยอมที่หุบปากของมันไปได้สักที
"อ้าวเวร! ลืมทำวิจัยจนได้!" เมื่อคิดขึ้นได้แบบนั้นฉันก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นมานวดขมับให้กับความไม่ตั้งใจต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังศึกษาเล่าเรียน
"โชคยังดีพึ่งจะทุ่มเศษๆ" ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคิดขึ้นได้ว่ามันยังไม่ดึกจนเกินไปสำหรับการที่จะทำรูปเล่มวิจัยให้แล้วเสร็จภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ส่วนแพรไหมมันก็คงจะทำของมันเสร็จไปแล้วมั้ง เพราะทั้งเครื่องปริ้น, กระดาษเอสี่แล้วก็คอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คสำหรับค้นคว้าข้อมูลมันก็มีครบแล้ว ในขณะที่ฉันต้องค้นเอาจากโทรศัพท์มือถือและสั่งปริ้นจากในโทรศัพท์มือถือไปอีกที อันที่จริงมันก็เคยบอกให้ฉันใช้ของมันนั่นแหละแต่ฉันเกรงใจเพราะยี่ห้อข้าวของที่มันใช้ค่อนข้างที่จะมีราคาสูงอยู่พอตัว ส่วนในเรื่องของเครื่องปริ้นฉันก็ซื้อมือสองมาจากในห้างสรรพสินค้าเมื่อช่วงใกล้เปิดเรียน
"สู้โว้ย!"
กรี๊ดมันออกมาค่ะอีน้องแม่เข้าใจหัวอกลูกสาวดี ส่วนไอ้พี่มันจะรู้ตัวบ้างไหมนะว่าอีน้องมันเครียดหนักจนต้องไปหาพบหมอจิตเวชแล้วนะนั่น สภาพ!