5

1691 Words
พรลักษมีทุ่มตัวลงที่นอน หงุดหงิดเพราะเจอสองคนนั่น ป่านนี้คงพากันคุยเรื่องเธอเสียๆหายๆกันไปแล้ว จะสนทำไมล่ะ อยากให้ใครมองเธอดีนัก นายคนนั้นอย่างนั้นเหรอ ทำไมต้องอยากให้เขามองตัวเธอดีดีด้วย ไม่อยากเลยสักนิด เสียงโทรศัพท์ดัง จึงยกตัวขึ้นแล้วควานหามันในกระเป๋า กดรับสายเกือบไม่ทัน ดีที่เครื่องดังอยู่นานทีเดียว พอเชื่อมต่อสัญญาณได้ ปลายสายทักทายทันที “ว่าไงตัวแสบ” หน้าสวยค่อยยิ้มได้เรียกปลายสายอ้อนๆ “อาสิด หวัดดีค่ะ” “ใกล้จบรึยัง” “ระดับไหนแล้วคะ” “ราคาคุยเหอะ” ปลายสายเย้ามา “ศุกร์นี้อาไปรับนะ มีเซอร์ไพรส์ด้วย” “อะไรน้อ บอกก่อนไม่ได้เหรอคะ” “ไม่ต้องมาอ้อนเลย วันศุกร์หกโมงเย็นนะ” ประสิทธิ์ชายกลางคนที่เคยเป็นทนายให้พ่อของแม่ ท่านเป็นรุ่นน้องของอาคมที่แอบรักมารดาของเธอ คนที่ใครๆต่างพากันพูดว่ารักแม่เธอเหลือเกิน แต่แม่ก็รักผู้ชายคนนั้น รักหัวปลักหัวปลำ ทำไมแม่ไม่รักคนที่รักแม่นะ แล้วถ้าเป็นเธอ เธอจะทำอย่างไร ถ้าเป็นเธอ เธอจะไม่รักใครเลยสักคน เธอเกลียดความรักพวกนั้น ผู้ชายคิดแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ต่อให้เพอร์เฟคหรือย่ำแย่แค่ไหนก็ชอบเสาะแสวงหาหญิงสาวให้มาล้อมหน้าล้อมหลังจนวุ่นวายไปหมด คงสนใจแต่เรื่องบนเตียงเพียงอย่างเดียว แล้วภาพของจักพรรดิก็แทรกเข้ามา เธอจะนึกถึงเขาอีกทำไมกัน   เย็นวันศุกร์ก่อนหกโมงเย็นไม่กี่นาที พรลักษมีเห็นรถยุโรปรุ่นเก่าแต่รักษาสภาพตัวรถและเครื่องอย่างดีขับมาจอดที่ด้านหน้าของที่พัก แม้สภาพอากาศจะขมุกขมัวไม่เป็นใจให้ออกไปไหนแต่เธอก็จะไป ประสิทธิ์มักพาไปรับประทานอาหารข้างนอกทุกเดือน บางเดือนก็สองถึงสามครั้ง แล้วแต่ว่าเธอจะอ้อนได้แค่ไหน ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะฝนที่ตกลงมาตั้งแต่ช่วงบ่าย ประสิทธิ์เลยต้องขับรถวนเข้ามารอถึงหน้าประตูทางเข้าตึก เหตุผลนั่นเพราะไม่อยากให้เธอเปียกฝน เดี๋ยวไม่สวย เธอยิ้มก่อนจะยกมือไหว้ท่าน ประสิทธิ์เปรียบเหมือนพ่อแท้ๆ เพราะเกิดมาเธอก็เห็นเพียงแต่ท่านที่คอยใส่ใจ เลี้ยงดู เผลอๆท่านอาจเลี้ยงเธอมากกว่าพ่อแท้ๆเสียอีก “วันนี้จะพาไปกินที่ไหนคะ” “อยากไปไหนล่ะ” “ใจจริงอยากไปที่บ้านเจ้าสัวมากกว่านะคะ” ประสิทธิ์จุ๊ปากอย่างปรามๆ “อย่าเรียกแบบนี้ต่อหน้าท่านนะ” “รู้หรอกค่ะ งั้นไปร้าน...” เธอบอกชื่อร้านอาหารริมแม่น้ำที่เคยไปด้วยกันบ่อยๆเมื่อประสิทธิ์มารับ “น้อมรับบัญชาครับเจ้าหญิง” ประสิทธิ์บอกล้อๆขับรถออกไปทันทีเมื่อได้ยินชื่อร้านที่แทบเดาได้ว่ายัยตัวแสบที่เขารักเสมือนลูกจะต้องเลือกที่นี่ “รักอาสิดที่สุด” “อย่ามาพูดเลย มีแฟนขี้คร้านจะลืมอา”         “ไม่มีวันค่ะ ลูกหมีจะไม่รักใคร” ประสิทธิ์ละมือที่จับคันเกียร์มาลูบหัวอย่างเอ็นดูกึ่งเห็นใจ “ไม่รักใครได้ยังไง อีกหน่อยต้องแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก จะได้ไม่เหงาแบบอา” “ถ้ามีใครแล้วต้องมานั่งน้ำตาตก ลูกหมีไม่มีดีกว่าค่ะ” พรลักษมีเหมือนพรพรรณตรงนิสัยใจคอนี่เอง รักแรงเกลียดแรง แต่ดูท่าคนลูกจะแรงกว่ามาก นอกนั้นไม่มีอะไรเหมือนกันเลย หน้าตาสาวน้อยจะไปละม้ายคล้ายทางบิดาของเธอมากกว่าเสียอีก แต่เขาไม่อยากพูดถึง รู้ว่าตัวแสบไม่ชอบให้พูดเขาก็จะเงียบเอาไว้ บ้านทรงไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยาสงบเงียบ ถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหารไทย มีรถอยู่เกือบเต็มลานจอดโชคดีที่ทั้งคู่มาถึงและเป็นคันสุดท้ายพอดี เนื่องจากร้านค่อนข้างจำกัดเรื่องที่จอด หากเต็มต้องใช้สถานที่ถัดไปอีกห้าสิบเมตร และตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดประปรายมาบ้างแล้ว พนักงานจึงกางร่มเข้ามารับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเอง พรลักษมีเปิดประตูแล้วเดินตรงลิ่วไปยังสวนริมน้ำ ที่นั่นมีพนักงานต้อนรับที่คุ้นเคยกันดียืนรออยู่ ทักทายด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ควงสาวคนนี้มาอีกแล้วนะครับคุณประสิทธิ์” “ไม่ได้สิ คนนี้รักจริงๆนี่นา” ประสิทธิ์บอกแล้วเอื้อมมือไปยีผมดำขลับอย่างมันเขี้ยว จนเจ้าตัวมุ่ยหน้าใส่ “ทำไมอินทักแบบนั้นคะ อาสิดพาใครนอกจากลูกหมีมาที่นี่อีก” เจ้าตัวทำท่าคาดคั้นทันที เธอเป็นคนขี้หวง และประสิทธิ์ก็รู้ดีแต่แกล้งพูดออกไปว่า “จะใครเล่า ทำท่าหวงอาทำไมเนี่ย ก็ถ้าเรามีใครมาจีบ อาถามแบบนี้บ้างได้ไหม” พรลักษมีมองค้อนนิดๆก่อนจะคิดว่าเธอไม่คิดจะมีแฟนเหมือนที่ประสิทธิ์บอกแน่ แล้วพากันเดินเข้าไปด้านใน เมื่อสั่งอาหารจนเรียบร้อย ประสิทธิ์ยื่นกล่องกำมะยี่สีดำวางไว้ตรงหน้า “คุณแม่เราเขาให้อาเอามาให้ตอนเราเรียนจบปริญญาตรี” พูดถึงมารดาที่ลาลับไปแล้วหน้าสวยหวานสลดวูบลงทันที ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “แสดงว่าถ้าต่อโทจะมีอีกกล่องและใหญ่กว่านี้ใช่ไหมคะ” เจ้าตัวย้อนยิ้มกว้างขึ้นเอื้อมมือมาเปิดฝากล่องแล้วลูบพลอยสีน้ำเงินรูปหัวใจบนหัวแหวนอย่างแผ่วเบาก่อนปิดลง เลื่อนมันคืนประสิทธิ์ เงยหน้าถามกวนๆ “เรียบจบจะใส่ทำไมคะของแบบนี้ อาสิดก็รู้ ว่าลูกหมีไม่ชอบใส่เครื่องประดับ” “ก็จบแล้ว อีกไม่นานคงได้แต่งงานน่ะสิ แล้วแหวนนี่ก็ไม่ได้ให้เราใส่ มันเป็นของว่าที่สามีเราต่างหาก” เจ้าตัวยิ้มรับ “ไม่แต่งหรอกค่ะ ลูกหมีกลัวเจอผู้ชายแบบ…” ประสิทธิ์จุ๊ปากอย่างปรามๆอีกครั้งไม่ให้เธอพูด เขารู้ว่าตัวดีหมายถึงใคร คงไม่พ้นผู้ชายที่เธอค่อนว่าดีแต่ให้กำเนิดแต่ไม่ให้ความรักเอาใจใส่อีกเหมือนเคย “เอ้านี่ เอาเช็คไปด้วย” แม้จะจัดแจงเงินเข้าบัญชีให้ทุกเดือนแต่ประสิทธิ์รู้ว่าเงินนั่นอาจไม่พอ เพราะค่าครองชีพที่มากขึ้นตามยุคสมัย และกิจการของพรพรรณก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วเพราะยกให้เป็นชื่อของสามีหมด จะมีก็เงินจำนวนหนึ่งที่กระเบียดมาให้ คงอย่างที่ใครๆบอก ท่านเจ้าสัวชัยรัชไม่ได้รักนักหรอก ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือหลานสาวท่านก็ไม่เคยนึกดูดำดูดี “ใจดีจัง พรุ่งนี้มาอีกได้ไหมคะ” “อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกันว่า...เบื่ออาสิดแล้วค่ะ ไม่ต้องมารับลูกหมีแล้วนะคะ” ประสิทธิ์ดัดเสียงเล็กเลียนแบบจนเจ้าตัวหัวเราะไม่หยุด “เออนี่ เราได้ข่าวหรือเปล่า ว่ามีคนมาเทคโอเวอร์...” ประสิทธิ์เอ่ยชื่อผับที่เคยเป็นของนภาลัย พรลักษมีเงียบรอฟัง เธอรู้มาแล้วในเรื่องนี้ แต่ยังอยากถามรายละเอียดให้มากกว่านี้อีกหน่อย “ใครเหรอคะอาสิด” “คุณคิง” “รวยมากหรือไงคะ ได้ข่าวว่าเที่ยวเทคโอเวอร์ไปทั่ว” “รวย เอาเรื่องเลยล่ะ” “สู้เจ้าสัวได้รึเปล่าคะ”ถามด้วยใบหน้าทะเล้น มั่นใจว่าคงไม่มีใครรวยเกินผู้มีศักดิ์เป็นตาของเธอ “ถ้าเป็นทรัพย์สินของคุณคิงคนเดียวอาจไม่เท่า แต่ก็เกือบๆเลยล่ะ แล้วถ้านับรวมกับของพ่อและแม่คุณคิงล่ะก็…” ประสิทธิ์ทำเสียงจิ๊กจั๊กๆคล้ายๆอิจฉาแต่ดูแล้วรู้ว่าท่านแกล้งทำเสียมากกว่า ก่อนเล่าต่อ “และไอ้ที่ถือเป็นหุ้นนั่นอีก คนวงในลือกันว่าตัวเลขในพอร์ตเยอะกว่าของท่านเจ้าสัวไปแล้วนะ ทั้งที่อายุขนาดนี้ท่านเจ้าสัวยังเพิ่งตั้งตัวได้อยู่เลย” “โธ่อาสิดคะ มันก็แค่ตัวเลขในกระดาษ เราเลิกคุยเรื่องนั้นเถอะค่ะ” พรลักษมีตัดบทก่อนจะถามไปถึงอีกคน “อาสิดจำนายตฤนได้ไหมคะ” “คนที่เคยมีเรื่องกับเราที่ผับน่ะเหรอ” “ค่ะอา นายตฤนเขามีพี่ด้วยเหรอคะ” “ลูกคนเดียวนี่นา แต่... อ้อ มีพี่ แต่พี่ต่างแม่ ก็คุณคิงนี่ไง” ที่แท้ก็พี่น้องกันจริงๆ พรลักษมีคุยนำไปยังเรื่องอื่นต่อจากนั้น ทั้งคู่ทานอาหารต่อไปอีกร่วมสามชั่วโมงกว่าจะพากันออกจากร้านอาหารและขอแวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อก่อนกลับห้อง พรลักษมีโบกมือไหวๆให้ประสิทธิ์ที่ขับรถจากไปแล้ว เจ้าตัวจึงเดินเข้าลิฟต์เพื่อตรงขึ้นห้อง มือน้อยควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าแล้วล้วงออกมาพอดีตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก สะดุ้งเล็กน้อย เพราะเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า เลยเดินสวนออกไปเสียเฉยๆ ไม่นึกอยากทักทายอะไรเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ที่สำคัญเขาสนิทกับพวกนั้นด้วย นั่นเท่ากับว่าเธอและเขาเหมือนอยู่กันคนละฝั่ง “เหมือนจะได้ยินคุณบอกว่าไม่มีเงิน” เจ้าตัวหันมาเลิกคิ้วหน่อยๆ มองคนพูดและเห็นบางอย่างในมือเขา เช็คที่ประสิทธิ์ให้ไว้ไปอยู่กับเขาได้อย่างไร เธอเลยเดินกลับมายืนประจันหน้าแบมือออก “ขอคืนด้วยค่ะ” เขามองตัวเลขก่อนจะเลิกคิ้วผิวปากหวือทำนองล้อเลียนได้กวนประสาทนัก แล้วเลยคืนให้ “ผมไปดื่มอะไรที่ห้องคุณหน่อยได้ไหม มีเรื่องจะคุยด้วย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD