ตอนที่13

3114 Words
“เป็นของแปลกที่ไม่เคยกินอีกอย่างนะเนี่ย” นรากรพูดขึ้นมาตาก็มองมณนิชากับกัณภัค ช่วยกันเอามีดแคะเม็ดออกจากเปลือกที่มีหนาม “รสชาติมันคล้ายกับเกาลัดนั่นแหละไนซ์ แต่เปลือกมันแข็งหน่อยต้องใช้อะไรทุบน่ะ” “คนเมืองอย่างพวกเรานี่ไม่เคยกินของพวกนี้จริง ๆ นะ ถึงไปเจอก็คงไม่รู้ว่ามันกินได้” ชาลิศาพูดขึ้นมาให้สองสาวนางแบบเออออเห็นด้วย “แบบนี้ต้องพาเข้าป่าบ่อย ๆ แล้วล่ะ จะได้รู้ว่าในป่าคือแหล่งรวมของกินอย่างดี ที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อสักบาทเลยเจ๊” “ม่อนพูดถูกเวลาพี่ต้องไปสำรวจวิจัยพวกดินหินนะ บางทีอยู่ในป่าเกือบเดือนเงินไม่ได้ใช้สักบาท ยิ่งถ้าได้พรานที่ชำนาญป่าไปด้วยเขาจะช่วยทีมได้เยอะเลย ทั้งเรื่องอาหารเรื่องความรู้การเอาตัวรอดในป่า พี่ได้ความรู้มากมายได้กินอะไรที่หาไม่ได้ในเมือง เพราะเข้าป่าบ่อยนี่แหละค่ะ” อัญญาวีพูดเสริมขึ้น “รู้สึกว่าคุ้มค่าจริง ๆ ที่ได้มารู้จักทุกคนและได้มาร่วมรายการนี้น่ะ” กรนันท์กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นั่นสิคะได้เรียนรู้อะไรตั้งเยอะแหนะ ต่อไปพวกเรานัดรวมตัวกันอีกนะคะสักปีละครั้งดีมั้ย แล้วมาใช้ชีวิตในป่าแบบนี้น่ะ” นรากรเสนอขึ้นให้แต่ละคนก็เห็นด้วย และยินดีกับมิตรภาพดี ๆ ที่จะสานต่อไปในภายหน้า “ไหน ๆ ก็ชวนกันไว้แบบนี้แล้ว ก็พากันไปเที่ยวที่ทำงานใหม่พี่ด้วยนะ รับรองกันดารน้อยกว่านี้อย่างน้อยก็ยังมีห้องน้ำใช้น่ะ” กิ่งกานต์เปรยขึ้นให้น้อง ๆ มีท่าทีสนใจไม่น้อย “ที่ไหนคะพี่หมอ” “บนยอดดอยติดเขตชายแดนพม่าเลยค่ะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ไม่ถึงร้อยหลังคามั้งคนที่นั่นมีทั้งเชื้อสายไทใหญ่ปนกระเหรี่ยงด้วย แต่ก็ยังถือว่าเป็นคนไทยนั่นละค่ะ ที่พี่มารายการนี้ก็หวังเผื่อได้เงินรางวัลจะได้เอาไปเป็นกองทุน ซื้อพวกอุปกรณ์การแพทย์แล้วก็ยาน่ะ เพราะสถานที่ตรงนั้นนอกจากกลุ่มทหารกับตำรวจชายแดนแล้ว ภาครัฐเขาก็ยังดูแลไม่ทั่วถึง” “แบบนี้พวกเราขอลงขันด้วยเลยนะพี่หมอ” “ใช่ ๆ พี่ ร่วมด้วยช่วยกันเพราะเงินที่ได้ ก็คิดจะเอาไว้ทำบุญอยู่แล้วค่ะ” “ขอบคุณพวกเรามากเลยนะคะ อีกอย่างถ้าใครพอจะรวบรวมพวกหนังสือหรือพวกอุปกรณ์เครื่องเขียนได้ ก็ช่วยกันมานะคะที่นั่นมี เด็ก ๆ วัยกำลังเริ่มเรียนรู้ พวกเขาจะได้มีความรู้พื้นฐานติดตัวบ้าง พวกเสื้อผ้าก็ได้ที่นั่นอากาศเย็นเกือบทั้งปีเลย” “งั้นม่อนจะประกาศให้พวกเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่บ้าน เอาหนังสือเรียนมาบริจาคนะพี่รับรองเยอะจนขนไม่ไหวแหละ ว่าแต่จะเอาไปยังไงละคะอยู่บนดอยน่ะ” “เดี๋ยวพี่ให้ที่อยู่หน่วยประสานงานในกรุงเทพไว้นะ ถ้าใครรวบรวมของอะไรได้ให้ส่งไปที่นั่น เขาจะนำส่งขึ้นไปให้พี่ทางฮอร์จ๊ะ” “นี่แค่คิดจะทำความดีก็รู้สึกอิ่มบุญเลยนะนี่” ฮ่า ๆ “เมื่อกี้ยังพากันหิวอยู่เลยใช่มั้ยพี่ณัฐ” “ว่าแต่พี่หมอถูกย้ายให้ไปอยู่ที่นั่นเหรอคะ” เรวิกาถามด้วยความสงสัยเพราะเธอก็เป็นลูกทหาร พอจะรู้เรื่องการย้ายบุคลากรไปประจำในที่ต่าง ๆ “ก็ไม่เชิงว่าถูกย้ายหรอกค่ะ เอาตรง ๆ ก็ไม่มีใครอยากไปอยู่ในที่ลำบาก ห่างไกลความเจริญแบบนั้นพี่ก็เลยอาสาไปเองน่ะ” “หูยสวยแล้วยังแม่พระอีกนะพี่เราเนี่ย” มณนิชาเอ่ยเย้าให้ทุกคนยิ้มขำไปด้วย แต่ก็อดชื่นชมพี่หมอไม่ได้ผู้หญิงวัยนี้แถมหน้าตาก็ใช่จะขี้ริ้วขี้เหร่ ต้องผันตัวเองไปอยู่กลางป่ากลางดอยแบบนั้น ถ้าใจไม่รักและศรัทธาในอาชีพตัวเองก็คงไม่ยอมไปหรอก “แล้วครอบครัวพี่หมอไม่เป็นห่วงแย่เหรอคะ ผู้หญิงไปอยู่ในที่ลำบากแบบนั้นน่ะ” เนย่าเอ่ยถามในสิ่งที่หลายคนก็คิดเหมือนกัน “ไม่หรอกค่ะพ่อแม่พี่ก็ไม่อยู่แล้ว ส่วนพี่น้องเขาก็มีครอบครัวมีการงานที่ดีทำกันทุกคน พี่ก็เลยไม่มีห่วงอะไรน่ะ ไปอยู่ไหนก็ได้ถ้าเราจะมีประโยชน์ต่อพวกเขานะ” “นี่ถ้ามีหมอที่คิดแบบหมอกิ่งสัก 80% ประเทศเราคงมีหมอดี ๆ ประจำทุกดอยนะเนี่ย” “นั่นสิพี่อัญ ขนาดบ้านม่อนนะว่าไม่ได้ไกลปืนเที่ยง แต่เจ็บป่วยไปหาหมอทีรอกันเป็นวัน เพราะหมอมีไม่ถึงยี่สิบคนแต่คนไข้นี่หลักร้อยทุกวัน นี่ถ้าม่อนหัวดีมีกะตังค์กว่านี้ก็อยากเรียนหมอเหมือนกันนะ คิก ๆ พ่อไม่มีปัญญาส่งเลยได้แค่นี้อ่ะ” น้องเล็กพูดไปแล้วก็ขำในสิ่งที่ตัวเองเคยคิด “แล้วแบบนี้พวกเราจะติดต่อพี่หมอได้ทางไหนละคะ บนดอยมันมีเครื่องมือสื่อสารมีสัญญาณโทรศัพท์หรือเปล่า” กัณภัคถามขึ้นบ้าง “สัญญาณพอมีค่ะ ถ้าเป็นพวกเจ้าหน้าที่จะใช้โทรศัพท์ใช้คอมที่มีในศูนย์ได้ แต่สัณญาณมันก็คงไม่ดีเหมือนข้างล่างหรอกนะ แต่ก็พอได้ติดต่อเวลามีอะไรฉุกเฉินน่ะ” คำตอบของคุณหมอก็พอให้น้องถอนหายใจโล่งอกกัน “นึกว่าจะไม่มีช่องทางติดต่อกันซะอีก แบบนี้ก็ยังได้รู้ข่าวคราวกันบ้าง ถ้าพี่หมอมีเรื่องอะไรให้พวกเราช่วยก็แจ้งมาเลยนะคะ ออกจากเกาะไปพวกเราตั้งไลน์กลุ่มเอาไว้ติดต่อกันดีกว่านะ มีอะไรก็จะได้พูดคุยกันได้” กรนันท์เอ่ยขึ้นให้ทุกคนเห็นด้วย เพราะยังไงก็คงต้องมีเบอร์ไว้ติดต่อกันอยู่แล้ว “อืม ใครจะจีบกันในกลุ่มหรือจีบกันหลังไมค์ก็ตามสบายนะ หึ ๆ ” ฮ่ะ ๆ “พี่ณัฐนี่รู้ทันจริง ๆ เลย” นรากรขำถูกใจ ส่วนคนที่โดนหางเลขมาตลอดอย่างเนย่าต้องนิ่งสงบปากสงบคำเอาไว้ เพราะที่ผ่านมาแสดงให้เห็นเป็นอย่างดี ว่าทุกคนจ้องจะแซวเธอทุกครั้งที่มีโอกาส ขนาดว่าอยู่เงียบ ๆ ยังไม่วายโดนแซวทางสายตาอยู่นี่ไงล่ะ    กว่าสาว ๆ จะกลับออกมาจากป่าตะวันก็เริ่มเอียงแล้ว ของกินได้หลายอย่าง มากพอที่จะเป็นเสบียงไปได้ถึงวันพรุ่งนี้กันเลย “ป่ะ ลงน้ำไปดูกับดักกันดีกว่าร้อนด้วยเหนียวตัว” นรากรรีบเอ่ยชวน “ใครจะไปดูกับดักปูฝั่งโน้นคะ เผื่อมีอะไรติดนะ” กัณภัคเอ่ยถามคนที่เหลือ “เดี๋ยวพี่ไปกับณัฐก็ได้ นันท์ล่ะไปด้วยกันมั้ย” อัญญาวีหันไปถามน้องอีกคน “ไปค่ะ งั้นให้พี่หมอกับสามสาวนี่จัดการเรื่องผักกับเห็ดรอแล้วกันนะคะ ถ้าไม่ได้อะไรยังไงก็ต้องได้หอยกลับมาแน่ ๆ ล่ะ” “ว่าแต่น้ำกินเราเหลือพอมั้ย จะได้เอากลับมาด้วย” “เหลือพอกินกับทำอาหารอยู่นะ ไว้ตอนน้ำลงพวกเราค่อยลอดอุโมงค์ไปช่วยกันขนก็ได้ค่ะ” เรวิกามองจำนวนกระบอกไม้ไผ่ กับน้ำที่กรองใส่ขวดพลาสติกไว้สำหรับทำอาหาร “โอเคค่ะ ถ้างั้นก็ป่ะพวกเราแยกย้าย อากาศมันคลึ้มแต่ก็ร้อนอบอ้าวนะสงสัยฝนจะตกจริง ๆ” “ฝนตกก็ดีนะพี่จะได้อาบน้ำฝนบ้าง” “ฮึ่ย ถ้ามันตกแรงมากที่พักเราจะรั่วสิ ให้ทำที่กันสาดก่อนเหอะค่อยตก” อัญญาวีณัฐพัชและกรนันท์แยกกันไปลากแพลงน้ำ มุ่งไปยังอีกด้านของเกาะที่วางกับดักไว้เมื่อวาน ส่วนกัณภัคมณนิชากับนรากรก็ลอยคอเล่นน้ำกัน “พวกเราก็ลงล้างเหงื่อกันสักหน่อยมั้ย ดูท่าแล้วอีกนานกว่าแต่ละกลุ่มจะขึ้นมา” กิ่งกานต์เอ่ยขึ้น หลังพากันเอาเห็ดบางส่วนที่เก็บมาได้ กับผักไปล้างเรียบร้อยแล้ว “ก็ดีนะคะเหนียวตัวอยู่เหมือนกัน” เมื่อตกลงกันได้ทั้งสี่คนก็ผลัดเปลี่ยนชุด เป็นกางเกงขาสั้นก่อนจะลงน้ำทะเลไป “ที่รักอยากเล่นน้ำกับเค้าเหรอคะ” นรากรฉีกยิ้มพร้อมเอ่ยแซว คนที่แหวกว่ายอยู่ไม่ไกล “แค่ลงมาฉี่ค่ะ” พรืด ฮ่า ๆ ๆ คำตอบที่ได้ยินเล่นเอาทุกคนขำกลิ้ง “ถ้าจะตลกแบบนี้ ไปเปิดค่าเฟ่กันเถอะพี่” มณนิชาอดไม่ได้จนต้องแซวออกไป ถึงมันจะจริงอย่างที่พี่เขาพูดก็เถอะ     เวลาผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีถึงได้พากันเอากับดักขึ้นมา และก็ไม่ผิดหวังเมื่อสัตว์หมดบุญก็ยังหลงมาติดกับเช่นทุกวัน “หือปลาเก๋าตัวใหญ่ซะด้วยนะเนื้อมันคงเข้ากันดี กับแกงกะทิเต่าร้างพี่แน่ ๆ แล้วนั่น ปลากระเบนใช่มั้ยหลงมาได้ยังไง ม่อนระวังด้วยนะหางมันมีพิษนะ” กิ่งกานต์บอกน้อง เมื่อวันนี้มีปลากระเบนหลงมาติดกับดักด้วย “ปูเกาะนี้คงเยอะนะคะติดมาได้ทุกวันเลย เดี๋ยวรอดูฝั่งพี่อัญจะได้อะไรมา” กัณภัคเอ่ยขึ้นเมื่อมองดูสิ่งที่ติดมามีปูสองตัว ปลากระเบนตัวไม่ใหญ่มากน่าจะสักหนึ่งโล แล้วก็ปลาเก๋าตัวใหญ่พอสมควรแถมด้วยปลาอะไรก็ไม่รู้อีกสองตัว “แค่ที่มีนี่ก็อิ่มมื้อใหญ่แล้วนะคะ เราทำแค่ปลาก็น่าจะพอแล้ว ส่วนปูมันไม่ตายง่าย ๆ เราเก็บไว้เป็นมื้อเย็นก็ได้” เรวิกาเสนอและทุกคนก็เห็นด้วย จากนั้นอาหารที่ได้มาก็ถูกจัดการ “ม่อนตัดหางทิ้งเลยนะ แล้วเอาไปขุดหลุมฝังในป่าโน่น” กัณภัคบอกน้องที่กำลังจัดการเจ้าปลากระเบน “ม่อนไม่เคยกินเลยนะเนี่ย ปลากระเบนหนังมันเหนียวมั้ยพี่” “ถ้าสุกแล้วก็ไม่เหนียวหรอกค่ะ ก็อร่อยดีนะนาน ๆ จะมีโอกาสกินเหมือนกันแหละ” นรากรที่เคยกินมาบ้างเล่าให้น้องฟัง “นี่ถ้าไม่ได้มาติดเกาะก็ไม่เคยกินเหมือนกันนะ ไปตามร้านอาหารก็ไม่เคยสั่งสักที” ชาลิศาพูดขึ้นมาบ้าง “อาหารหลายอย่างบนเกาะนี้ เหมือนจะเป็นครั้งแรกของหลายคนนะคะ ต้องขอบคุณทางรายการที่พาเรามาติดเกาะแห่งนี้นะพี่ว่า” กิ่งกานต์กล่าวขึ้นให้น้อง ๆ ต่างพากันเห็นด้วย “โอ้โหพี่ อะไรมันจะขนาดนั้นน่ะ” นรากรร้องขึ้นด้วยความตื่นตา เมื่อเห็นพี่สามคนช่วยกันยกกับดักอีกตัวมา ปูเต็มไปหมด แม่เจ้า นี่มันแหล่งปูทะเลชัด ๆ เลย “ดีนะที่ไปกันสามคนพี่เห็นทีแรกยังตกใจเลย ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้น่ะ กินยันพรุ่งนี้เลยที่จริงมีปลาติดเข้าไปเหมือนกัน แต่เจอปูพวกนี้เขมือบจนเหลือแต่ซากน่ะ” อัญญาวีวางกับดักลงแล้วบอกเล่าให้ฟัง ปูทะเลสิบกว่าตัวเบียดเสียดกันในกับดัก เห็นแล้วยังตกใจ “หรือว่าปูมันชอบเหยื่อที่เราใส่หรือเปล่าพี่” “อืมอาจจะมีส่วนนะแต่พี่ว่า ฝั่งนั้นปูคงอาศัยอยู่เยอะด้วยล่ะ เพราะโขดหินซอกหินเป็นที่หลบของเขาเลย” กรนันท์อธิบายไปด้วย “ถ้าไปซื้อเขากินนี่หลายตังค์เลยนะนี่ลาภปากพวกเราที่ได้กินฟรี ขอบคุณเจ้าหน้าที่และทีมงานนะคะ” ณัฐพัชกล่าวพลางยกมือไหว้ผ่านกล้องส่งถึงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในรายการนี้ และนั่นก็ทำให้ทุกคนที่เหลืออดพูดตามไม่ได้ จะว่าไปพวกเธอก็เห็นทีมงานหาของทะเลกินเหมือนกัน แถมยังมีอุปกรณ์ทันสมัยในการจับอีกต่างหาก งานนี้เรียกว่าจ่ายเงินมากินของบนเกาะนี้จริง ๆ แต่สิ่งที่พวกเธอคิดไม่ถึงหลังจากนี้ไป เกาะร้างแห่งนี้อาจจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว สำหรับคนที่อยากจะมาตามรอยพวกเธอก็เป็นได้ นั่นจะทำให้กรมอุทยานมีรายได้ขึ้นมาอีกทางหนึ่งด้วย เมนูกลางวันสำหรับวันนี้คือแกงกะทิยอดเต่ารั้งใส่เนื้อปลา แค่ได้กลิ่นก็เล่นเอาท้องร้องโครกครากกันแล้ว “ตั้งแต่เรามาอยู่เกาะนี่ รู้สึกเหมือนน้ำหนักจะเพิ่มจริง ๆ นะ” ณัฐพัชพูดขึ้นให้คนที่ได้ยินถึงกับขำไปด้วย “นั่นสิพี่ ทำไมมันอร่อยทุกอย่างเลยทั้งที่เครื่องปรุงเราก็มีอยู่แค่เนี่ย” นรากรพูดเสริมขึ้นมามือก็ชี้ไปยังเครื่องปรุงหลัก ที่มีแค่เกลือแถมสกัดกันเองแบบพอกินได้ด้วย น้ำผึ้งที่แยกเก็บไว้จากวันแรกส่วนความเปรี้ยวก็ได้มาจากพืชบางชนิด กับผลตะลิงปลิงแถมมาอีกอย่างคือวันนี้คุณหมออยากลองของ เลยขูดเนื้อระกำลงไปในแกงด้วยหน้าตาก็ธรรมดาที่ไหนล่ะ เห็นแล้วไม่นึกถึงข้าวก็ให้มันรู้ไปสิ มณนิชายืนมองหม้อแกงทำท่ากลืนน้ำลายเอื้อก จนคุณหมออดขำปนเอ็นดูไม่ได้ “หิวมากเหรอม่อนกลืนน้ำลายใหญ่เลย” แหะ ๆ คำแซวนั้นทำเอาเจ้าเด็กกินจุออกอาการเขินให้เห็น จนต้องอมยิ้มตาม “มันหอมยั่วกระเพาะมากเลยค่ะพี่หมอ อยากมีข้าวสวยสักจานใหญ่ ๆ ราดน้ำแกงนี่คงอร่อย” งื้อ อื้อ ๆ "เจ๊" “มาอยู่เกาะสี่วันพี่ว่าแก้มเธอเริ่มย้วยแล้วนะ” ชาลิศายื่นมือไปบีบแก้มแดงอย่างนึกหมั่นเขี้ยว ดูมายืนยิ้มมองหม้อแกงเหมือนเด็กจริง ๆ “ก็ของมันอร่อยทุกอย่างจริง ๆ นี่เจ๊บางอย่างก็ยิ่งหากินยากด้วย พรุ่งนี้ทำเมนูแกงยอดมะพร้าวกันนะพี่ อีกสามวันเราต้องกลับแล้วอ่ะ” “จัดไปค่ะเล็งต้นไหนไว้ล่ะ” คุณหมอสาวกล่าวเอาใจ พลางตักน้ำแกงขึ้นชิมรสไปด้วย “อืมสำหรับพี่มันพอดีแล้วนะ แบมกับม่อนลองชิมซิ” สองสาวหยิบช้อนเปลือกหอย มาลองตักชิมดูก็พยักหน้าให้ “อร่อยพี่ หวานมันอมเปรี้ยวนิด ๆ” “งั้นก็ไปจัดโต๊ะเลยค่ะ” “โต๊ะจัดรอตั้งแต่กลิ่นนำมาแล้วค่า พี่หมอ” นรากรร้องบอกพร้อมนั่งเตรียมอุปกรณ์ประจำตัวรอเรียบร้อย แกงหม้อใหญ่ถูกยกไปวางตรงกลางก่อนที่จะถูกตักแจกจ่ายให้ทุกคน “ม่อนชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลยค่ะ เหมือนพวกเราเป็นครอบครัวใหญ่มีอะไรก็แบ่งกันกินแบบนี้ ออกจากเกาะไปม่อนต้องคิดถึงพวกพี่มาก ๆ เลยอ่ะ” “อ้าว ๆ อย่าเพิ่งมาทำซึ้งตอนกินซิเจ้าม่อน” หึ ๆ กัณภัคเอ่ยแซวน้องรักที่ตาแดงเหมือนจะร้องออกมาจริง ๆ ให้คนที่นั่งข้าง ๆ อย่างชาลิศาต้องยกมือลูบหัวปลอบเด็ก อดที่จะขำไม่ได้เหมือนกันเห็นกวนประสาทแถมออกจะร่าเริง จู่ ๆ บทจะงอแงขึ้นมาก็มีด้วย “จะร้องทำไมเนี่ย เดี๋ยวว่างก็ได้เจอกันอยู่แล้วล่ะ” “เจ๊จะไปหาเค้ามั้ยอ่า” “เดี๋ยวนะ ที่งอแงนี่คือจะอ้อนสาวให้ไปหาตัวเองหรือเปล่าม่อน” อัญญาวีเอ่ยแซว ให้คนที่ทำท่าจะร้องเมื่อกี้อดขำไม่ได้ “ไม่ใช่นะพี่ ม่อนก็อยากให้พี่ทุกคนไปเที่ยวบ้านม่อนหมดแหละ เพราะยังไงไปเมื่อไหรก็เจอม่อนกับพี่กัณ แต่ถ้าให้ม่อนมาหาพวกพี่อันนั้นมันคงยาก เพราะแต่ละคนก็คงยุ่งงานกันทั้งนั้นใช่มั้ยล่ะ” “อืมมันก็ใช่อะนะ ก็เดี๋ยวรวมตัวกันอีกทีตอนเปิดโฮมสเตย์ไง เดี่ยวพวกพี่ไปเปิดปฐมฤกษ์ให้เลยดีมั้ย” นรากรบอกให้แต่ละคนก็เห็นดีตามนั้น “บ้านม่อนต้องดังแน่ ๆ เลย คิก ๆ มีคนดังไปรวมตัวกันน่ะ” ดูซิเศร้าได้ไม่ถึงห้านาทีตอนนี้กลับมาหัวเราะคิกคักได้แล้ว ชาลิศากับกัณภัคส่ายหน้ากัน ยิ้ม ๆ “เมนูวันนี้อร่อย จริง ๆ นะหมอ เอาไป 5 คะแนนเลยค่ะ” เมื่อลงมือกินไปสักพัก อัญญาวีก็เอ่ยชมแม่ครัวคนคิดเมนูขึ้นมา “ทำไมให้น้อยจังล่ะพี่อัญ รสชาติดีเหมือนในร้านอาหารต้องมากกว่านี้นะ” นรากรแย้งขึ้นมาเพราะเป็นเมนูที่เพิ่งเคยกินครั้งแรก และเธอก็ว่ารสชาติมันอร่อยมากเลยแหละ “นั่นน่ะมากสุดแล้วน้อง เพราะคะแนนเต็มห้านะ” 555 “เล่นมุขไม่เลือกเวลาแบบนี้ ไม่กลัวน้ำแกงมันจะพุ่งออกทางจมูกเลยนะพี่” กรนันท์ที่ยกมือปิดปากแทบไม่ทันหันมาส่งค้อนให้รุ่นพี่ ได้หัวเราะขำ “เขาว่าอาหารอร่อยบางทีมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องปรุงเท่าไหรนะคะ แค่ใส่ใจและใครทำให้เรากินมากกว่า” “อื้อหือ คมกริบเลือดซิบเลยอ่ะกัณ” แต่ละคนทั้งขำทั้งเห็นด้วย กับคำคมเสี่ยวนิดหน่อยของสาวหน้าคม “คนหาอะไรอัญ” กิ่งกานต์ถามคนที่ใช้ทัพพีไม้ไผ่คนเหมือนหาอะไรในหม้อ ทั้งที่อาหารก็เหลืออยู่ตั้งค่อนหม้อ “หาใจไง ก็กัณบอกอาหารอร่อยแค่ใส่ใจ หมอใส่ลงไปหรือเปล่า” พรวด แคร่ก ๆ ฮ่า ๆ ฮ่ะ ๆ “โอ้ย ๆ ไนซ์ขอโทษพี่อัญทำไมพี่เป็นคนแบบนี้” นรากรยกมือขอโทษขอโพย ที่เมื่อกี้ถึงกับพ่นแกงออกจากปาก ดีที่หันออกด้านข้างทัน นี่โต๊ะอาหารหรือว่าคาเฟ่ตลกกันแน่แล้วดูหน้าพี่หมอสิ ไม่รู้จะขำหรือจะเขิน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD